กินเจอย่างไร ให้ สวย ใส สุขภาพดี
ใกล้ถึงช่วงเทศกาลกินเจ ประจำปี 2555 เข้ามาทุกที ในปีนีนี้ตรงกับวันที่ 15 – 23 ตุลาคม เทศกาลถือศีลกินผัก หรือที่เรียกกันว่ากินเจนั้น เดิมทีจะเป็นช่วงที่งดรับประทานเนื้อสัตว์และหันมารับประทานผักหรืออาหารที่ไม่ได้มาจากสัตว์ พร้อมทั้งประพฤติปฎิบัติดีอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม แต่วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารเจบางอย่างทำมาจากแป้งและมีน้ำมันมาก ดังนั้นแทนที่จะมีสุขภาพที่ดี กลับกลายเป็นว่าต้องเผชิญกับสภาพอ้วน ที่เกิดจากแป้งและน้ำมันจากอาหารเจด้วย
เพื่อให้การกินเจใน ปี 2555 นี้ของคุณเป็นไปอย่างดีทั้งกาย วาจา และใจ ก็ต้องเริ่มจากการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม และมีสุขภาพดีควบคู่ไปด้วย ดังนั้นเราต้องรู้ก่อนว่าอาหารชนิดใดที่สามารถให้สารอาหารที่เทียบเท่ากับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้บ้าง และควรรับประทานอย่างไรให้ถูกวิธี
เนื่องจากเนื้อสัตว์มีสารอาหารหลัก คือ โปรตีน ดังนั้นอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนนอกจากเนื้อสัตว์ก็คือ พืชตระกูลถั่ว ทั้งยังมีธาตุเหล็ก ช่วยลดคอเลสเตอรอล และในปัจจุบันมีการนำมาแปรรูปเป็นโปรตีนเกษตร ทำออกมาให้คล้ายกับเนื้อสัตว์แต่ไม่มีไขมัน จึงสามารถนำมาประกอบอาหารเจได้อย่างไร้ความกังวล
ในส่วนของผักและผลไม้ ก็ควรรับประทานผลไม้หลากหลายสี เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน ที่สำคัญคือ เส้นใย ที่จะช่วยขับถ่ายของเสียและสารพิษตกค้างออกจากร่างกายด้วย
ข้อแนะนำจากพญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลปะ รองกรรมการผู้จัดการบัลวี-ศูนย์ธรรมชาติบำบัด สำหรับผู้ที่กลัวว่าการกินแป้งและน้ำมันในอาหารเจจะทำให้อ้วนนั้น มีวิธีการดังนี้
1.เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่างๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว
2.เลือกกินผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงานและปริมาณแป้งน้อยกว่า
3.เลือกกินของนึ่ง ต้ม ตุ๋น ดีกว่าของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง
4.กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่ากินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่ ถ้ามีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้เช่นกัน
5.อดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่างๆ ออกมาได้ ทั้งช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย
เครดิตภาพ : อินเทอร์เน็ต