แก้โรคกระเพาะอาหาร ด้วยสมุนไพรไทยใกล้ตัว
2016-03-08

โรคกระเพาะอาหาร กลายเป็นโรคที่หลายคนกำลังเผชิญ โดยมีอาการแน่นท้อง เป็นๆ หายๆ รู้สึกไม่ค่อยสบายในท้อง มีลมมากในท้อง ต้องเรอหรือผายลมจึงจะดีขึ้น ถ้าให้เจาะจงลงไปก็คือ การปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เหนือสะดือ มีอาการท้องอืด ทั้งยังเป็นได้ทั้งเวลาท้องว่าง หรือเวลาหิว บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แสบร้อนบริเวณยอดอกร่วมด้วย แต่เพื่อนๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะโรคกระเพาะอาหารนั้นแก้ได้ด้วยสมุนไพรไทย ตามไปอ่านกันได้ในบทความนี้ ซึ่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้แนะนำตำรับยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างได้ผล พร้อมด้วยสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะอาหาร ให้ทุกคนได้ระมัดระวังตัวกันค่ะ

 

 

หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า โรคกระเพาะอาหาร คือ โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารโดนน้ำย่อยกัดจนเป็นแผล แต่ความจริงแล้วมีผู้ป่วย 60-90% เป็นโรคกระเพาะอาหารชนิดไม่มีแผล พบเพียงการอักเสบเล็กน้อยเท่านั้น แล้วโรคกระเพาะอาหาร เกิดจากอะไร? สาเหตุนั้นพบได้หลากหลาย ทั้งการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร หรือมีการหลั่งกรดในกระเพาะมากเกินไป อาจเกิดจากความเครียด การทานอาหารรสจัด การดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคาเฟอีน รวมถึงพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การทานอาหารไม่เป็นเวลา การสูบบุหรี่ ที่ทำให้อัตราการเป็นแผลกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น แผลหายช้า เป็นใหม่ได้ง่ายและตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาได้ผลไม่ดีนัก รวมไปถึงการทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen, diclofenac, piroxicam ที่มีผลในการระคายเคืองกระเพาะอาหารบ่อยๆ 

 

สำหรับสมุนไพรไทยที่ช่วยในการรักษาโรคกระเพาะอาหารก็มีอยู่หลายตำรับ ดังนี้

 

1.ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้ง ชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 3 - 4 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 5 วัน จะช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร และรักษาโรคลำไส้อักเสบได้ นอกจากนี้ ขมิ้นชันยังช่วยขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และมีผลต้านเชื้อ H.pylori ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ที่สำคัญคือ ช่วยต้านการเกิดมะเร็งในทางเดินอาหารได้

 

2.ใช้วุ้นสดว่านหางจระเข้ ขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 4 เซนติเมตร แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ ช่วยสมานแผล และลดการอักเสบของกระเพาะอาหาร 

 

3.ใช้กล้วยน้ำว้าดิบ ฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดอ่อนๆ จนแห้ง โดยห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารที่มีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะจะสูญเสียไป จากนั้นนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ก่อนอาหารวันละ 3 เวลา โดยอาจจะผสมกับน้ำผึ้งด้วยก็ได้

 

4.ใช้กระเจี๊ยบเขียวฝักอ่อนตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด แบ่งใช้ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยละลายกับน้ำ หรือนม หรือน้ำผลไม้ รับประทานวันละ 3 - 4 เวลา หลังอาหาร มีการศึกษาพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ H. pylori ได้

 

5.ใช้ใบเปล้าน้อย 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละครึ่งแก้วกาแฟ วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร อย่างน้อย 2 เดือน โดยต้องเปลี่ยนใบยาทุกวัน มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหารที่ดีมาก     

 

6.ลูกยอ ช่วยในการป้องกันหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน ช่วยเร่งการสมานแผลของกระเพาะอาหารในหนูทดลอง และลดการอักเสบของกะเพราะอาหารเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์ ลดการหลั่งกรดได้ดีเทียบเท่ากับยารานิทิดีนและแลนโซพราโซล และยังช่วยเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหารได้ดีกว่ายาซิสซาพรายด์

 

7.เพชรสังฆาต มีการศึกษาในหลอดทดลองพบว่า ออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์หลั่งกรดเหมือนกับยาแผนปัจจุบัน omeprazole ลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร โดยมีผลลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากแอสไพรินในหนูทดลอง และยังมีผลต้านเชื้อ H.pylori ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

 

ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพียงเพื่อนๆ ใส่ใจในการรับประทานอาหารด้วยการลดการทานอาหารรสจัด ทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่ซื้อยาแก้ปวดทานเองโดยไม่จำเป็น เท่านี้ก็จะช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารไม่ให้มากวนใจ

OpenRice TH Editor