นักรีวิวร้านอาหาร

Mrs. Vinder Balbir ผู้ก่อตั้งร้าน "Mrs.Balbir's Indian Thai Cuisine" กว่า 40 ปีมาแล้ว ร้านอาจจะไม่ได้เน้นโฆษณามากนัก แต่ว่าเป็นลักษณะการบอกความอร่อยแบบปากต่อปาก จนโด่งดังไปถึง BBC, New York Times, Lonely Planet ที่สำคัญ Vinder ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับครัวการบินไทย สำหรับอาหารบนเครื่องบิน นอกจากร้านอาหารแล้วยังมี cooking class ที่สาขาสุขุมวิท 11/1 อีกด้วย ร้านมีหลายสาขาทั้งที่ซอยสุขุมวิท 11/1 ที่เป็นสาขาแรก สาขาโรบินสัน สีลมคอมเพลกซ์ เซ็นทรัลพระราม 9 เซ็นทรัลลาดพร้าว รวมกันถึง 9 สาขา

วันนี้เรามาลองที่สาขา ctw ซึ่งอยู่ใน food hall ที่ชั้น 7 ใกล้กับ supermarket ด้วย วิธีการเดินทางก็แสนสะดวกสบายลงบีทีเอสชิดลมก็มีทางเชื่อมเข้าห้างแล้ว ขึ้นลิฟท์ตรงดิ่งมาชั้น 7 ได้เลย

ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก มีบริการเสิร์ฟถึงโต๊ะ แถมไม่คิด service charge + vat เพิ่มให้รำคาญใจ

Tandori Chicken (180 บาท) เนื้อไก่ส่วนอกหมักเครื่องเทศย่าง ไม่ว่าจะเป็น โยเกิรต์ พริกแดงป่น การัมมาซาลา ลูกผักชีป่น ขมิ้นผง ผงยี่หร่า อบเชย ไก่เนื้อนุ่มสีแดงย่าง เราว่าไก่มาไม่ค่อยร้อนเท่าไรเหมือนทำไว้สักพักแล้ว กินแล้วเลยรู้สึกไม่ค่อยหอมเท่าไร เราจิ้มกับพริกสีเขียว Mint Chutney ของร้านเป็นสะระแหน่ ผักชี พริกเขียว น้ำมะนาว กระเทียมปั่น อร่อยแซ่บเลยค่ะ บีบมะนาวอีกนิดเพิ่มความหอมและเปรี้ยว นอกจาก Mint Chutney ก็ยังมีซอสมะขามรสออกหวานให้จิ้มคู่ด้วย

Garlic Nann (90 บาท) นานโรยด้วยกระเทียมสดหั่นบาง ย่างมาร้อน ๆ หอมกลิ่นกระเทียมและผักโรย เหนียวนุ่ม หอม ๆ เราชอบเมนูนี้มากค่ะ ราคาอาจสูงสักนิด แต่คุณภาพคับจอจริง ๆ เมนูนี้

Chicken Biryani (180 บาท) ข้าวผัดเครื่องเทศ อกไก่ ข้าวผัดมาแบบแห้ง ๆ ร่วน ๆ หอมกลิ่น saffronและเครื่องเทศนานาชนิด โรยหน้าด้วยหอมเจียว เพิ่มรสชาติด้วยการบีบมะนาวนิด อร่อยดีค่ะเมนูนี้ เหมาะสำหรับคนชอบกลิ่นเครื่องเทศค่ะ

โดยรวมอาหารใช้ได้ค่ะ ราคาสูงตามมาตรฐานอาหารอินเดียทั่วไป ดีที่ไม่คิด vat + service charge เพิ่มให้รำคาญใจ เป็นร้านที่น่ามาลองค่ะ

"Bake Cheese Tart" ขนมทารต์ชีสชื่อดังจากเมือง Sapporo เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ที่คุณวิลลี่ และ แหม่ม แคทลียา แมคอินทอช ซื้อเฟรนส์ชายมา เคยดูสัมภาษณ์คุณวิลลี่ บอกว่าชอบกินเจ้า Cheese Tart นี้อยู่แล้ว แต่ถ้าอยากกินต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ ละ ซื้อเฟรนส์ชายมาขายเองซะเลย จะได้หากินได้ง่ายที่เมืองไทย

ร้านเปิดสาขาแรกที่ Emquartier เมื่อปลายปี 58 ที่ผ่านมา คนต่อคิวกันล้นหลาม ถึงขั้นต้องจำกัดจำนวนชิ้นในการซื้อ เราเลยรอคนซาก่อนค่ะ ค่อยมาลอง สาขานี้มีแค่เป็นร้านสำหรับอบและซื้อกลับบ้านนะคะ ไม่มีที่ให้นั่งกิน ร้านอยู่ชั้น G ของฝั่ง Glass Quartier แต่ถ้าใครอยากซื้อแล้วชิมเลย แนะนำให้ลงบันไดเลื่อนไป 1 ชั้น จะเจอ Food Hall นั่งกินได้เลยค่ะ

หน้าร้านจะมีแปะป้ายเขียนไว้ว่า "Japan No.1 Cheese Tart from Hokkaido to Bangkok" มีแปะป้าย Bake Policy เอาไว้ว่า "The Best Cheese Tart in your life ever for you" ซึ่งนโยบายการอบของเค้าจะเน้น อบแบบสดใหม่ แพ็คตามออเดอร์ หลังจากอบจะต้องปล่อยให้เย็นในระดับที่เหมาะสม สำหรับตัวชีสทารต์นี้วัตถุดิบทั้งหมดนำเข้าจากฮอกไกโด มีเพียงแค่มาทาหน้าด้วยไข่แดงแล้วนำเข้าเตาอบที่สาขาเท่านั้น

ร้านจะมีขายแค่เพียงชีสทารต์อย่างเดียวเท่านั้น ขายชิ้นละ 80 บาท หรือ 6 ชิ้นจะแพ็คใส่กล่อง ๆ ละ 450 บาท วันนี้เราเห็นแถวไม่ยาวเท่าไร เลยลองต่อคิวซื้อดูค่ะ พอสั่งเสร็จแล้วก็ลงไปนั่งชิมที่ Food Hall เลยข้อดีของการชิมเลยคือจะได้ชิมแบบร้อน ๆ ตัวพายอบมีกลิ่นหอมของเนยและชีส พายด้านนอกจะกรอบนอกและนุ่มกำลังดี รสออกเค็มนิด ๆ ตรงกลางจะเป็นชีสแบบนุ่ม ๆ ไม่แข็งหรือเหลวจนเกินไป ตรงกลางสุดจะมีรสเปรี้ยวคล้ายรสโยเกิรต์ ตัวกลิ่นชีสจะไม่แรงเท่าไร เวลากินแนะนำให้กัดพร้อมกันทั้งตัวพายและตัวชีส จะผสมผสานรสเค็มของพายกรอบ คู่กับรสเปรี้ยวของตัวชีส ลงตัวสุด ๆ ค่ะ พายตัวนี้สามารถกินได้ทั้งแบบร้อนหรือจะแช่ช่องฟรีซกินแบบเย็นก็อร่อยไปอีกแบบนะคะ แต่เราชิมจนหมดค่ะ เลยไม่ได้เหลือลองชิมแบบฟรีซดู สรุปโดยรวมนะคะ ชีสทารต์ตัวนี้อร่อยมากค่ะ ใช้วัตถุดิบชั้นดีในการทำ แพคเกจสีสันสดใสสวยงาม แต่ราคาก็ถือว่าสูงพอสมควรค่ะ แต่เราชอบนะคะ คงกลับไปอุดหนุนอีกแน่ ๆ ตอนนี้ร้านมีอีกสาขาที่ CTW เพิ่งเปิดใหม่ไปเองค่ะ ใครสะดวกสาขาไหนลองดูได้นะคะ

เราซื้อ Voucher Dinner Set ราคา 699 บาท ของร้าน "Smith Resturant and Bar สุขุมวิท 49" ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์ Contemporary Nose-to-Tail-eating เต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย โดยเชฟเอียน กิตติชัย แห่งเชฟกระทะเหล็ก และเชฟปีเตอร์ พิทักษ์วงศ์

วิธีการเดินทางสามารถลงบีทีเอสทองหล่อแล้วเดินเข้าซอยสุขุมวิท 49 หรือถ้าขับรถมาทางร้านมีบริการ Valet Parking ร้านตกแต่งแบบสไตล์ดิบ เดิมเคยเป็นโกดังเก่าเก็บเฟอร์นิเจอร์มาก่อน แล้วมาดัดแปลงให้ดูทันสมัย ภายในตกแต่งด้วยอุปกรณ์ช่างตีเหล็กให้เข้ากับความหมายของร้าน Smith ตรงกลางร้านตกแต่งด้วยประตูเหล็กแบบโบราณ ฝาผนังประดับตกแต่งด้วยรางวัลการันตีความอร่อยจากหลายสถาบัน ร้านทั้งโซน outdoor และ indoor แต่อากาศร้อนแบบนี้ขอ indoor เท่านั้นคร่าา

เราซื้อ 2 Set เลยเลือกให้ต่างกัน เพื่อที่จะได้ลองให้ครบทุกเมนูเลยค่ะ

มีเสิร์ฟ ขนมปังอบพร้อมเนยสดโรยด้วยพริกไทยดำ เป็น Complimentary

Dinner Set ประกอบด้วย
1.ของทานเล่น (Starter)
* เลือกได้ 1 เมนู (select one) แต่เรามี 2 set เลยสั่ง 2 อย่างเพื่อได้ลองชิม
- สลัดไข่ดาว (Fried Egg Salad) เป็นคล้าย ๆ ไข่ต้มมากกว่า ทอดมาแบบเปลือกไข่ข่าวกรอบ ส่วนไข่ด้านในยังไม่สุกดี คล้าย ๆ ไข่ลูกเขย เสิร์ฟพร้อมผักสลัดการ์เด้นสีเขียวสด แอปเปิ้ล โรยด้วยชีส ถั่วพิตาชิโอ และริคอตต้า
- หมึกกล้วยทอด (Fried Arrow Squid) เราปลื้มปริ่มเมนูนี้มาก ๆ ค่ะ เป็นปลาหมึกชุปแป้งทอด ตัวปลาหมึกนุ่มไม่เหนียวเรย ชุบแป้งแบบกรอบ ๆ รสออกเค็มนิด ๆ ของผงปรุงรส เสิร์ฟพร้อมอะโวคาโดชุบแป้งทอด และ Wing Bean

2.อาหารจานหลัก (Main course)
* เลือกได้ 1 เมนู (select one) เมนูเลือกสั่งเหมือนกันค่ะ เลยไม่ได้ลิ้มลอง 3-day Pork Belly เลย
- อกไก่ (Chicken Breast) เป็นเนื้ออกไก่ย่าง 3 ชิ้น ย่างมาด้วยหนังแบบกรอบ ราดด้วยซอสน้ำตาลรสหวาน เราว่าออกจะรสหวานไปสักนิด โรยบนข้าวผัดคล้าย ๆ ข้าวผัดแบบเสปน แต่ตัวข้าวจะนิ่มกว่า และตัวข้าวจะมีความฉ่ำมากกว่า ผัดคล้าย ๆ ครีมซอส เสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ฝรั่งและคีนัว ตกแต่งด้วยมะนาวผ่าซีกเคลือบด้วยผงน้ำตาลด้านบน เราไม่รู้ว่าเค้าใช้ตกแต่งหรือว่าให้เพิ่มรสชาติ แต่เราว่าอาหารรสออกหวานไปสักนิด บีบมะนาวเพิ่มความเปรี้ยว รสชาติลงตัวเลยค่ะ
- หมูสามชั้น (3 - Day Pork Belly) ไม่ได้ลองสั่ง

3.ของหวาน (Desserts)
* เลือกได้ 1 เมนู (select one) ความตั้งใจแรกอยากสั่ง 2 เมนูมาลองชิม แต่ทางร้านแจ้งว่า บานาน่าสปลิตหมด อดลองเลยสิเรา เลยเจอไฟท์บังคับ ได้ลองแค่เค้กชอคโกแลต
- บานาน่าสปลิต (Banana Split) หมดค่ะ
- เค้กช็อกโกแลต (Chocolate Indulgence) เป็นเหมือนพุดดิ้งชอคโกแลตเนื้อเนียนนุ่ม เย็นนิด ๆ เคี้ยวเพลินดีค่ะ แว้บแรกรู้สีกว่าออกหวานไปสักนิด เสิร์ฟพร้อมบราวนี่เนื้อนุ่มเข้มข้น ราดด้วยซอสชอคโกแลต และผงชอคโกแลต พอกินบราวนี่เสร็จกลับไปกินตัวพุดดิ้งรู้สึกรสหวานน้อยลง อาจเพราะตัวบราวนี่หวานกว่าค่ะ

โดยรวมอาหารของร้านเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีค่ะ ตกแต่งสวยงาม ดูใส่ใจในการทำค่ะ แต่บางเมนูเหมือนออกไปทางรสหวานสักนิดนึง บรรยากาศร้านแบบดิบ ๆ ดีค่ะ บริการดีแบบมืออาชีพค่ะ

"จิบไถ่" เป็นภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งแปลว่ารวมไทย เป็นร้านเก่าแก่เปิดมาตั้งแต่สมัยอากงที่มาจากเมืองจีน ที่ถ่ายทอดมาสู่รุ่นหลาน ที่ยังคงชื่อร้านไว้แบบเดิมเพื่อให้นึกถึงบรรพบุรุษที่เคยบุกเบิกมา เจ้าของร้านเป็นเจ้าของไส้กรอกบีลัคกี้ด้วยนะคะ ส่วนร้านตกแต่งแบบคาเฟ่ให้ดูทันสมัยขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายรุ่นเก๋าอย่างโต๊ะเก้าอี้ไม้แบบโบราณ ทีวีตู้ปลาแบบเก่าแก่ มีมุมโซฟาสีสีนสดใสให้ถ่ายรูปเพลิน ๆ

วิธีการเดินทางมาไม่ยาก ร้านอยู่บนถนนโลคัลใต้อาคาร CEC สังเกตกันสาดสีเขียวให้ดีแปลว่าถึงร้านแล้ว ร้านอยู่ข้างวัดเสมียนนารีและโรงเรียนวัดเสมียนนารี หน้าร้านมีที่จอดรถสะดวกสบาย

ร้านนี้เค้าดัง ไข่กระทะ ใครมาเป็นต้องสั่ง นอกจากนี้ยังเน้นขายเครื่องดื่มพวกชา กาแฟ น้ำอิตาเลียนโซดา เรามาถึงไม่พลาดสั่งเมนูเด็ดของร้าน ชุดจิบไถ่ ไข่กระทะ (90 บาท) ข้อดีของร้านนี้สามารถสั่งเมนูนี้ได้ทั้งวัน ในเซ็ตจะมีไข่กระทะ 2 ฟอง โรยหน้าด้วย แฮม ไส้กรอกยี่ห้อบีลัคกี้ เบค่อนกรอบแบบไม่หวงเครื่อง ราดด้วยซอสมะเขือเทศสดหอมอร่อยดี โรยหน้าด้วยผักชี ในชุดจะมีขนมปังปิ้ง 1 แผ่น เสิร์ฟพร้อมเนยสด และน้ำส้มคั้นแก้วเล็กอยู่

ชามะนาว (40 บาท) เป็นชาแบบฝรั่ง ผสมน้ำมะนาว แต่รสจะออกไปทางหวาน ๆ เปรี้ยวนิด ๆ ยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไร

กาแฟจิบไถ่เย็น (65 บาท) กาแฟ Signature ของร้าน เป็นกาแฟเอสเปรสโซ่ ผสมน้ำเชื่อม นมข้นแบบหวานมันสูตรเด็ดของทางร้าน เราชอบนะคะ เมนูนี้หอมมัน ไม่หวานจนเกินไป กลิ่นกาแฟหอมเตะจมูก

นอกจากนี้ยังมีเมนูข้าวผัดหนักเครื่อง (65 บาท)ที่ในเมนูเขียนว่าเป็นเมนูเด็ดประจำร้าน ซึ่งใส่เครื่องหนักมากจนแทบมองไม่เห็นข้าว มินิพิซซ่า (40 บาท) พิซซ่าอบ (50 บาท) ซึ่งเราสั่งแบบกลับบ้านฝากคนที่บ้าน แต่เราไม่ได้ลองชิมนะคะ คงมีโอกาสได้ลองในครั้งถัดไป

"Boteya" หนึ่งในตำนานแห่งสุดยอดยากิโซบะและโอโกโซบะ ร้านอาหารแบรนด์จากญี่ปุ่น เปิดครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1946 ด้วยสูตรเด็ดเคล็ดลับความอร่อย 3 อย่าง คือ ซอส เส้น แบะการผัดแบบเทปัน ตัวเส้นจะเหนียวนุ่มและมีความยืดหยุ่น โดยผัดกับซอสสูตรพิเศษซึ่งมีส่วนผสมของเครื่องเทศและผักกว่า 30 ชนิด

ทางร้านซื้อแบรนด์มาจากญี่ปุ่น วัตถุดิบในการปรุงอาหารส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น โดยมีเชฟจากคนญี่ปุ่นมาประจำ 1 คน ส่วนเชฟคนไทยได้มีการบินไปหัดเทรนที่ประเทศต้นตำรับด้วย รูปแบบร้านเป็นแบบสไตล์เรียบ ขรึม มีครัวเปิดทำให้มองเห็นเชฟปรุงอาหารได้อย่างเพลิดเพลิน นั่งนับ ๆ ดู มีทีมเชฟและช่วยเกือบ 10 คนเลยทีเดียว

อาหารที่นี่เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบจานเดียว จานขนาดค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับคนกินจุ ถ้าใครกินไม่จุแนะนำว่าให้ลองสั่งมาทีละน้อยดูปริมาณก่อนจะดีกว่าค่ะ

โอซาก้ายากิโซบะหมูคอมโบ (270 บาท) เส้นโซบะผัดกับหมูชิ้นบางหอมอร่อยรสชาติเข้มข้นดี ในขุดจะมีเสิร์ฟไก่คาราเกะทอด ดูหน้าตาสีเข้ม ๆ ไม่เหลืองนวลเท่าไร แต่พอลองกินไก่ทอดมากำลังดี กรอบนอกนุ่มใน รสชาติดูดีกว่าหน้าตาค่ะ

ข้าวหน้าหมูย่างคารูบิ (280 บาท) หมูย่างหั่นชิ้นหนาไปหน่อย เลยรู้สึกเหนียวนิด ๆ ย่างมากับซอสรสหวาน แต่ส่วนตัวเราว่ายังไม่ค่อนฝยโดนเด่นในตัวรสชาติและความหอมของกลิ่นหมูย่าง ให้มาปริมาณเยอะมากค่ะ สารภาพว่ากินคนเดียวไม่หมดค่ะ เสิร์ฟมาพร้อมสลัดผักสดรสชาติดีเพื่อสุขภาพ

ทั้ง 2 เซ็ตมีเสิร์ฟน้ำซุปมาให้ด้วยค่ะ น้ำซุปที่นี่กลมกล่อมหอมและรสชาติดี ประทับใจมาก ๆ ค่ะ เราซดหมดชามเรย

น้ำเปล่า (20 บาท) ราคาปกติทั่ว ๆ ไปค่ะ ไม่โหดร้าย

อ้อเราชอบร้านนี้อย่างนะคะ ราคาในเมนูนี่ Net แล้ว ไม่คิด Vat หรือ Service Charge เพิ่มค่ะ ดูราคาในเมนูแล้วก็คำนวณได้เป๊ะ ๆ เลย สามารถใช้คะแนน The 1 card 10 คะแนนลดได้เพิ่ม 10% ด้วยค่ะ