นักรีวิวร้านอาหาร

แวะไปเดินงานแสดงสินค้าที่ Impact เมืองทองธานีมา ก่อนจะกลับบ้านเลยแวะหาไรกินนิดหน่อย มีคนบอกว่าให้ลองมาที่ Food Center ของเมืองทองธานี ใกล้ๆตลาดนัดต้นประดู่ ที่นี้มีร้านเยอะ ราคาอาหารไม่แพงนัก วันนี้ก็เลยลองแวะมาดู มีร้านอาหารมากมายจริงๆตามคำแนะนำ เดิน Survey ดูรอบนึงแล้วก็ไปสะดุดตา กับร้านซูชิร้านหนึ่งในโซน A เพราะว่าร้านนี้มีคนมามุงหน้าร้านเยอะมาก ขณะที่ร้านอื่นๆ มีคนบ้าง ไม่มีคนบ้าง สัญชาตญาณบอกว่า ร้านนี้ต้องอร่อยแน่ๆร้านไข่หวาน บ้านซูชิ เป็นร้านขายซูชิหลากหลายรสชาติ ดูตอนแรกเหมือนร้านซูชิ 5 บาท ตามตลาดนัดอะไรอย่างงี้ แต่พอเห็นซูชิที่ปั้นวางเรียงรายบนถาดให้เลือกดูหน้าร้าน แล้วบอกเลย มันไม่เหมือนซูชิ 5 บาทร้านทั่วไปที่กินไปแล้วก็เสียดายตังค์ เพราะใช้ปลาคุณภาพต่ำ วัตถุดิบราคาประหยัดไรงี้
แต่มาเห็น Salmon Sushi , Salmon Roll ชิ้นนึงนี้ปลาใหญ่จนกลบข้าวซะเกือบมิดเลย แถมแซลมอนลายสวยเอามากๆอีกด้วย ส่องดูราคา ก็ค่อนข้างเซอร์ไพร์เพราะ ขายเป็นคำ เริ่มต้นที่ 10 บาท 15บาท 20 บาท ตามชนิดของหน้าซูชิที่เลือก แถมยังมีโปร ซื้อ10ฟรี1อีกด้วย
เห็นซูชิชิ้นใหญ่ๆ ราคาอย่างงี้ ใครจะอดใจไหว ต้องลองเลยซิครับ คือขนาดชิ้นเทียบกับราคาของร้านนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากมาย
-Salmon Sushi คำละ20 บาท , ซูชิหน้ายำสาหร่าย 10บาท ,โรลไข่หวาน20บาท , โรลแซลมอน20บาท , ซูชิหน้าสลัดหอยเป๋าฮื้อ15บาท , ซูชิหน้าสลัดปูอัด10บาท , แคลิฟอเนียมากิ 15 บาทคือตักมาเต็มจานเลย ฟินมาก แถมร้านยังให้โชยุ วาซาบิ พร้อมผักเคียงให้อีกเยอะเลย ไม่ห่วงของด้วย ชอบมากๆระหว่างเอามานั่งกินที่โต๊ะใน ฟู้ดคอร์ท ก็ดูคนที่มาเลือกซูชิที่ร้านนี้ พบกว่า เป็นร้านที่ขายดีมากๆ หน้าร้านจะมีคนมุงแน่นตลอด (แปลว่าสัญชาตญาณเราไม่พลาดจริงๆ คนย่านนี้คงทานกันมานานแล้วแน่ๆ )ก่อนกลับเลยสั่งใส่กล่องกลับบ้าน มาอีกหนึ่งชุดเลยครับ กล่องที่ใส่ซูชิก็ไม่ใช่เป็นกล่องโฟม ก๊องแก็งค์แบบร้านอื่นๆนะ ที่นี้ใช้กล่องพลาสติกที่แบ่งเป็นช่องๆไว้มีฝาปิดดูดีเลยละ
คือบอกเลยว่าถึงแม้จะดูเหมือนซูชิ5บาท แต่ทำคุณภาพออกมายังกะไปกินร้านซูชิดังๆย่านทองหล่อเลยทีเดียวละ เหมือนเจอขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ศูนย์อาหารเมืองทองจริงๆ อิจฉาคนย่านนี้ มีร้านซูชิดีๆอร่อยราคาถูก ที่แวะมาได้บ่อยๆ อย่างเราเป็นคนอยู่ไกล คงมาแวะซื้อได้เฉพาะเวลามาเดินงาน Expo อะไรสักอย่างในอิมแพ็ค อารีน่าเท่านั้น ใครแวะไปย่านเมืองทองธานีลองแวะดูสักหน่อยนะ แล้วจะติดใจ
 

งานนี้พอดีได้รับเชิญจากทาง Openrice T้hailand ให้มาร่วมงาน OpenRice Exclusive Dinner กันที่ร้าน Water Library & God Father กับสมาชิก Openricer และ Food Blogger อีกหลายๆท่าน ขอบคุณทางโอเพ่นไรซ์ด้วยนะครับ ที่ให้เกียรติมาร่วมโต๊ะในครั้งนี้

-พิกัดร้าน-
ร้าน Water Library Brasserie สาขา Central Embassy ตั้งอยู่ที่ชั้น5 การเดินทางก็สะดวกดี เพราะติดกับสถานี BTS เพลินจิต ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine Dining ที่มีสาขาอยู่4สาขาตอนนี้ ทั้งจามจุรีสแควร์, 1881 by Water Library ที่ Groove@Central World และ The Capital by water library ที่ตึกเอ็มไพร์ โดยแต่ละร้านจะมีสไตล์การตกแต่งและคอนเซ็ปที่ร้านที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงเมนูอาหารที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสาขา เพื่อสร้าง Perception ที่แตกต่างกัน -Decor-
โดยร้านในห้าง Central Embassy นี้ทำออกมาแนวของ French Brasserie มองจากทางหน้าร้านจะเห็นเป็นเส้นโค้งๆ คือทำให้มีฟิลลิ่งเหมือนอยู่ใต้ซุ้มโค้งของหอไอเฟล (เก๋จริงเชียว)
บรรยากาศด้านใน ตกแต่งให้บรรยากาศดูหรูหราแบบวินเทจ ออกครึมๆหน่อย มีโซฟาหนังตัวใหญ่และเก้าอี้ไม้บุกำมะหยี่สีออกแดงๆเลือดหมู แต่ยังคงคอนเซ็ปของห้องสมุด โดยชั้นวางน้ำแร่และเครื่องแก้วจากทั่วโลกมาวางไว้ตามมุมต่างๆ แต่วันนี้โต๊ะที่เราเข้าไปนั่ง จะอยู่ด้านในสุด ติดกระจกบานใหญ่ มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลได้ชัดเจน และเหมือนจะเป็นโซนที่ดู private กว่าด้วย 

-Food Review-
ที่นี้ทุกโต๊ะที่มารับประทานอาหาร ทางร้านจะเสิร์ฟ Potato Bread มาพร้อมกับเนยเห็ดทรัฟเฟิล  เป็น Complimentary ให้กับลูกค้าทุกโต๊ะด้วยเวลาทาน ก็ใช้มีดหั่นครึ่ง แล้วปาดเนยทรัฟเฟิล ลงไป ทานเหมือนสโคนนั้นแหละ
กรอบนอกนุ่มใน แต่ควรทานตอนมาร้อนๆนะครับ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะแข็งเกินไป ทานไม่อร่อย

-Starter-

เริ่มต้นด้วยจานแรก Ravioli of Lobster and Scallops (490฿) 
เป็นราวิโอลี่ที่ด้านในเป็นไส้กุ้งล็อบสเตอร์และหอยเชลล์ผสมกัน ราดด้วยซอสทรัฟเฟิลตกแต่งจานนี้มาสวยดีครับ ด้านบนจะมีอาร์ติโชคอบแห้ง ท็อปปิ้งมาด้วย เพิ่มรสสัมผัสกรุบๆเวลาทาน

- Main Course-
วันนี้มีเมนคอร์สให้เลือก 3 เมนู ของผมเลือก Lobster Pasta มา (แต่ก็แอบไปลองชิมอีก 2 เมนูมาด้วยนิดหน่อย)Lobster Pasta (690฿) ทางร้านใช้เส้น Capellini มาทำซึ้งถือว่าเป็นเส้นพาสต้าที่ขนาดเล็กที่สุด เป็นเส้นกลมยาว บางคนเรียกว่า Angel hair (เส้นผมนางฟ้า) ในจานนี้ทางเชฟใส่เนื้อกุ้งลอบสเตอร์มาให้อย่างเยอะเลย เนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ให้รสสัมผัสดีมาก เด้งดึ้งๆในปากเวลาเคี้ยว เห็นในชามอาจดูจานไม่ใหญ่ ทานจริงๆนี้อย่างเยอะเลยนะจานนี้ คุ้มมากCrispy Tasmanian Salmon (660฿) เป็นสเต็กปลาแซลมอนเสิร์ฟมาพร้อมกับครีมผักโขม ซอสมะเขือเทศ และมันฝรั่งผสมเนื้อปู ได้ลองชิมไปนิดนึง เนื้อแซลมอนนุ่มอร่อยมากๆ ตรงผิวนอกของแซลมอนกริลล์มาให้กรอบแข็ง แต่เนื้อแซลมอนด้านในยังคงความนุ่มแน่นเนื้ออยู่  ตัวซอสก็ทำรสชาติออกมาได้ดีเลยทีเดียว เมนูนี้ทางร้าน Water Library เพิ่งเปิดตัวใหม่ เริ่มขาย กรกฎาคม 58 นี้เองเมนคอร์สอีกตัวที่เพิ่งเปิดใหม่คือ Rack of Australian Lamb (890฿) เป็นซี่โครงแกะออสเตรเลียย่าง เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ด-กะหล่ำและซอสมะกอกดำ ได้ลองชิมไปนิดนึงเหมือนกันจานนี้ ต้องยอมรับเลยว่า ซึ่โครงแกะที่นี้ ทำออกมาได้ดีจริงๆ ไม่มีกลิ่นคาวเลย และเคี้ยวง่ายด้วย ไม่เหนียว เสียดายชิมไปนิดเดียวเอง วันหลังอาจจะกลับไปลองใหม่เมนูนี้

- Dessert -
วันนี้จัดเมนูของหวานมาเป็น Chocolate Coupe (390฿) เป็นไอศกรีมช็อกโกแลตมาพร้อมกับอีกสารพัดอย่าง ทั้งกล้วยสไลด์ ข้าวพองอบกรอบเคลือบคาราเมล ,บราวนี่,เมอแรงค์ (สีขาวๆด้านบน) พร้อมราดซอสช็อกโกแลตมาอีกด้วย ส่วนตัวผมว่าจานนี้หวานไปหน่อย  แต่หากใครเป็น Chocolate Lover ต้องชอบแน่ๆละของหวานอีกเมนูที่ร้านจัดมาคือ Apple Tart ชิ้นใหญ่เลย เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลลาอีก 1 ลูก
ทาร์ตแอปเปิ้ลของที่ร้านนี้ คือกรอบ ฟู มากๆ แป้งไม่หนา ตรงกลางเป็นชิ้นแอปเปิลออกรสเปรี้ยวๆหวานๆ ทานคู่กับ ไอศกรีมวนิลลาก็เข้ากันดี อาหารทั้งหมดวันนี้รังสรรค์โดยเชฟบี (เชพประพันธ์) ซึ้งถือเป็นเชฟคนไทยคนเดียวในเครือของร้าน Water Library 
ใครสนใจมาทานอาหารสไตล์ฝรั่งเศส อร่อยๆ มีดีไซน์ มาลองกันได้ที่ Water Library Brasserie ที่สาขานี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 -22.00 น. 

คร่าวนี้มารีวิวร้านเนื้อย่างเปิดใหม่ ย่านวัชรพล ร้านเดอะแกรนด์ บาร์บีคิว The Grand BarBQ เป็นร้านเนื้อย่างระดับพรีเมี่ยมสไตล์ออกแนวญี่ปุ่น แต่ว่าร้านใช้เนื้อวัวพันธุ์ไทยเป็นหลัก และทีเด็ดคือมีเนื้อสูตรเฉพาะของร้านที่บ่มแห้งแบบพิเศษคิดค้นขึ้นมาเองอีกด้วย ร้านนี้ตั้งอยู่ในห้างเนเบอร์เซ็นเตอร์ Neighbour Center ใกล้ๆ 5แยกวัชรพล ตรงข้ามกับปั้ม ปตท. ตัวร้านเดอะแกรนด์บาร์บีคิว จะอยู่ชั้น2 เป็นร้านเปิดใหม่มาสัก2-3เดือนนี้เองครับ ใครเคยมากินร้าน "เมี่ยงปลาหมุน 5แยกวัชรพล" ที่มีปลาเผาอร่อยๆออกทีวีมาแล้วหลายๆรายการ ก็นั้นแหละครับ สถานที่เดียวกัน จอดรถได้มากอยู่สัก 30-40 คันสบายๆดูเมนูของทางร้านต้องบอกเลยว่า ที่นี้เน้นไปทางปิ้งย่างอย่างเดียวเลย โดยจะมีเนื้อวัวเป็นหลัก มีแทบทุกส่วนของวัวเลยแหละ แต่หากใครไม่ทานเนื้อ ก็ยังมีชุดหมู ไก่ และซีฟู้ด มาเป็นออปชั้นให้เลือกได้อีกหลายเมนูเช่นกัน แต่ถ้าเป็นประเภท Meat Lover นี้มาร้านนี้จะต้องชอบแน่ๆละ เพราะร้านมีเนื้อแทบจะทุกส่วนชำแหละออกมาให้เลือกทานตามใจชอบวันที่พวกผมไปทานเจอเจ้าของร้าน ชื่อพี่อั๋น มารับออเดอร์และพาเราไปดูตู้แช่เนื้อส่วนต่างๆ พร้อมกับชาร์จบอกส่วนประกอบว่า แต่ละส่วนของวัว อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ส่วนไหนของวัวที่ตัดออกมาเป็น Sirloin , Rib , Chuck , T-bone , Brisket พี่เขารู้หมดเลยว่าส่วนไหนมีมันเยอะ ส่วนไหนเนื้อเยอะ เนื้อนุ่ม หรือเหนียวกว่า ,ส่วนไหนเหมาะเอาไปย่าง ไปทำสเต็ก หรือเอาไปอบไปตุ๋น ไอ้ชาร์จนี้เคยเห็นอยู่บ้างสมัยเรียน ป.ตรี แต่ก็ไม่เคยจำเลย เวลาไปกินร้านสเต็ก ร้านเนื้อย่าง ก็สั่งๆไป ไม่เคยจำได้หรอกว่าเนื้ออะไร มันคือส่วนไหนของวัว 555 พอเราดูเปรียบเทียบระหว่างเนื้อในตู้โชร์กับชาร์จ Beef Cut ด้านบนแล้วก็มาสั่งได้เลยว่าอยากจะทานส่วนไหน มีพี่เชฟค่อยอธิบายส่วนประกอบของเนื้อว่าตรงไหนเรียกว่าอะไร แต่ละส่วนให้ฟังคุยไปคุยมากับพี่อั๋น เจ้าของร้าน ถึงเพิ่งมารู้ว่า พี่เขาเคยทำงานอยู่แผนกเนื้อในห้างใหญ่ชื่อดังมากว่า 10ปี เป็นตำแหน่งถึง Master Butcher เลยรู้เรื่องการชำแหละเนื้อ การหั่นเนื้อเป็นอย่างดีทุกโปรเซส พี่เขาบอกว่าเนื้อที่ร้านเอามาย่าง ส่วนใหญ่เป็นเนื้อสายพันธุ์ไทยวากิวและพันธุ์ชาโลเล่ ที่เลี้ยงในภาคอีสานบ้านเรานี้แหละ ทางร้านจะไปซื้อซากวัวมาทั้งตัวจากโรงเชือดมาเลย ไม่ได้อิมพอร์ตเนื้อมาจากเมืองนอก และท้าให้ลองรสชาติความอร่อยของเนื้อที่ร้านใช้เพราะการันตีความอร่อย ไม่แพ้เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศเลยนะ
เราเลยสั่งจัดมาลองซัก 2-3 ชุดดังนี้- Set Premium Beef 899 Baht เป็นรวมเนื้อพรีเมียมของร้าน4อย่าง (เนื้อสันคอพิเศษ,เนื้อท้องวัว,เนื้อกล้ามขาเกรดเอ,สันนอกพิเศษ พร้อมผักออกานิคอีก1ชาม) ดูลายของไขมันที่แทรกในเนื้อแล้ว บอกเลยแหล่มมั๊กๆ- Set Grand Pork 355 baht (สันคอหมู,หมูสามชั้น,ไส้กรอกญี่ปุ่น พร้อมผักออกานิคสำหรับห่ออีก1ชาม)- Dry Aged Beef ส่วน ribeye 900 baht เป็นเนื้อบ่มแห้ง ที่เป็นสูตรพิเศษของทางร้านทำขึ้นมา ไม่เหมือนใคร โดยการนำเนื้อมาบ่มไว้ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 - 2 องศา ในความชื้นที่เหมาะสม บ่มทิ้งไว้ประมาณ 21 -30 วัน พี่เขาบอกว่าเนื้อบ่มแห้ง ในเนื้อมันจะมีเอนไซม์ในตัวมันออกมาทำปฎิกริยากับตัวเนื้อทำให้มีความหอมและนุ่มมากยิ่งขึ้น เวลานำไปย่าง- "แก้มหมู" 200 บาท เมนูนี้ร้านอื่นๆไม่ค่อยมีกัน เป็นส่วนของแก้มหมู มีเอ็นแทรกอยู่เยอะพอควร ตอนทานจะค่อนข้างเคี้ยวหนึบหนับมากกว่า ชิ้นส่วนอื่นๆของหมู (คือจะเหนียวกว่า นั้นเอง)
โต๊ะอาหารที่ร้านนี้ เป็นแบบมีหลุมถ่านเตาอยู่ในตัวโต๊ะเลย พอเตาถ่านมาลง ไฟกำลังแรงๆ ก็คีบเนื้อลงเตาไปเลย (เนื้อพรีเมี่ยมจะไม่ราดซอส แค่โรยเกลือและพริกไทดำ ก็อร่อยแล้ว) พี่บอกว่าเนื้อดีๆถ้าหมักซอสแล้วไปย่าง จะทำให้ลิ้นเราไม่ได้รับรสชาติของเนื้อที่แท้จริง แต่จะได้รสชาติของซอสไปแทนที่ร้านแนะนำวิธีปิ้งเนื้อย่างแบบให้ได้สัมผัสรสเนื้อแบบเต็มๆ คือให้คีบลงเตาไฟแรงๆ เบิร์นให้น้ำในเนื้อค่อยๆซึมออกมา พอสีเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำตาลก็พลิกกลับอีกด้าน
เพียงรอบเดียว ปิ้งสุกประมาณมีเดียมแล ก็พอ แล้วให้ลองชิมเนื้อแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มดู จะได้รับรู้ถึงรสเนื้อแท้ๆว่าหวานชุ่มนุ่มลิ้นเพียงใด แล้วชิ้นต่อไปค่อยจิ้มน้ำจิ้ม เพื่อเปรียบเทียบกัน
มาต่อกัน- ซุปหางวัวแบบญี่ปุ่น 180 baht เป็นซุปน้ำข้นๆออกสีครีมๆ ทำจากเอ็นข้อวัว ใส่หางวัวที่ตุ๋นจนเปื่อย เนื้อนุ่มๆ น่าจะตุ๋นนานหลายชั่วโมงเลย น้ำซุปก็ข้นได้ใจทีเดียว- ร้านมีข้าวกระเทียม และข้าวญีปุ่น ให้สั่งมาทานคู่กับเนื้อย่าง เลยลองสั่งข้าวกระเทียมมากิน (45 บาท) รสชาติดีทีเดียว- ของหวาน เห็นที่ร้านมีไอติม Haagen-Dazs เป็นถ้วยๆแช่อยู่ในตู้ แต่ไม่ได้ลองเลยไม่รู้ราคาสรุปโดยรวม ถือว่าเป็นร้านเนื้อย่างระดับพรีเมียม ที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับคนรักเนื้อ ควรต้องมาลองทานกัน ถ้าได้เจอพี่อั๋น Master Butcher ด้วยจะยิ่งได้ความรู้เรื่องเนื้อมากขึ้นอีกตะหาก แต่หากไม่ทานเนื้อวัว ก็ยังมีหมู-ไก่และซีฟู้ด เป็นออปชั่นให้เลือกสั่งกันได้ ร้านมีโต๊ะประมาณ 10 กว่าตัว น่าจะรองรับคนได้สัก 50 -60 คนได้เลย ใครอยู่ย่านวัชรพล อยากหาทานกินยากินิคุ แบบเนื้อคุณภาพดีๆ แนะนำมาลองทานร้านเดอะแกรนด์บาร์บีคิว กัน อ่านต่อได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/187584AP-the-grand-bar-b-q?ref=ct

ได้ไปลองร้านเฝอหม้อไฟ เปิดใหม่อยู่หลังราม ชื่อร้าน Pho2you หรือเฝอทูยู นั้นเอง ร้านอยู่ตรงข้ามกับสนามกีฬาราชมังคลา เลยคับหาไม่ยาก ในเวิ้งเดียวกันร้านอาหารหลายๆร้านในโซนนั้น ข้างๆจะเป็นร้านกินปลา ร้านบ้านบางแสน อยู่ติดๆกันร้านนี้ขายเฝอหม้อไฟ เป็นหลัก ซึ้งจริงๆมันก็เป็นประเภทเดียวกับสุกี้ ชาบู ที่เราคุ้นเคยกันนั้นแหละ แต่ว่าของที่ร้านนี้เขาจะมีน้ำจิ้มเป็นสไตล์เวียดนาม ซึ้งรสชาติเด็ดมากทีเดียว เคยไปกินชาบูญี่ปุ่นมาหลายๆร้านว่าอร่อยแล้ว มาเจอน้ำจิ้มฮอยซินสไตล์เวียดนามคร่าวนี้ หลงรักเลย นอกน้้นยังมีพวกแหนมเนือง กุ้งพันอ้อย แหนมซี่โครงหมูทอด เพื่อให้สมกับเป็นร้านอาหารสไตล์เวียดนามเต็มตัวอีกด้วยมาเข้ากันที่อาหารกัน ที่ร้านมีขายทั้งแบบ
1.บุฟเฟ่ต์ หัวละ 269 บาทเนตแล้ว (ทานได้2ชม.) จำกัดว่าชุดบุฟเฟ่ต์ยังไม่รวมน้ำและเมนูพวกซีฟุ้ดพวกกุ้งสด,หมึกสด,เบคอนรมควัน
2.เลือกสั่งเป็นถาดๆ คิดราคาตามชนิดของเมนูที่สั่ง สำหรับคนที่อยากทานน้อยๆ กลัวไม่คุ้ม หรือนั่งทานนั่งเมาท์กันยาวๆไปเลย ไม่ต้องมีเวลามาบังคับลักษณะร้าน เป็นห้องแอร์ ภายในเป็นโต๊ะไม้ มีหม้อไฟวางประจำไว้ทุกโต๊ะ เข้าไปก็เลือกสั่งเลยว่าจะกินแบบบุฟเฟ่ต์ หรือแยกสั่งเป็นจานๆไป เวลาจะสั่งอะไรก็เอา กระดาษลิสต์เมนูมาติ๊กๆตรงเมนูที่ต้องการส่งให้พนักงานไป ส่วนน้ำซุปทางร้านมีซุปกระดูกหมู และซุปไก่(สำหรับอิสลามมาทานได้)ทีเด็ดอยู่ที่น้ำจิ้มของร้าน ทางร้านจะมีวิธีการปรุงน้ำจิ้มมาให้ โดยจะมี ซอส2 ขวด ให้เรามาบีบใส่ถ้วยผสมกันเอง ตามความชอบ โดยซอสสีดำ เรียกซอสฮอยซิน ออกรสหวานๆเค็มๆ และซอสสีแดง เป็นซอสพริกออกเผ็ดๆเปรี้ยวๆ เราก็บีบทั้ง2ซอสผสมกันในถ้วย แล้วเติมกระเทียม มะนาว พริกตำ ตามใจชอบ
น้ำจิ้มตัวนี้เป็นตัวชูโรงที่ดีมาก รสชาติอร่อย ถ้าใครไม่ชอบเผ็ด ก็ให้บีบซอสสีแดงน้อยลงหน่อยก็ได้
เมนูอาหารที่สั่งไป จะเสิร์ฟใส่ถาดแบบคอนโดมิเนียมมาให้ มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ลูกชิ้นต่างๆ เส้นปลาอุด้ง ปลายอ หมูยอ ฮือก้วย ผักอีกหลากหลาย มีวุ้นเส้น เส้นเฝอ ให้ครบสูตรเมนูที่ลองชิมแล้วติดใจ และแนะนำว่าต้องมาโดนจะมี หมูสามชั้นสไลด์ เบคอนรมควัน
ถ้าชอบเนื้อวัว ต้องสั่ง เนื้อน่องลายสไลด์ และเนื้อติดมันสไลด์ 2อย่างนี้ฟินมาก
อีกอันที่ต้องมาโดนคือ เต้าหู้ชีส เป็นเหมือนๆลูกชิ้นสีเหลืองๆแต่พอกัดเข้าไปข้างใน จะมีชีสไหลเยิ้มออกมา ฟินโครตขอบอก อีกอันที่ติดใจคือคริสตัลไส้ไข่ปลา อันนี้ก็ดูเหมือนลูกชิ้นสีขาว ทรงหยดน้ำ แต่ข้างในจะสอดไส้ไข่ปลา(อะไรก็ไม่รู้) เวลาเคี้ยวจะได้สัมผัสกรุบๆนิดนึง อร่อยมาก
เท่าที่สังเกตุดู วัตถุดิบของร้านค่อนข้างใช้เกรดพรีเมี่ยมมาก อย่างเมนูปูอัดนี้เห็นเลยว่าใช้ของเกรดดีเอามาให้ลูกค้า พวกเนื้อหมู ลูกชิ้นต่างๆก็ดูมีคุณภาพ คล้ายๆกับร้านชาบูชื่อดังๆ หัวละ 4-500 บาทเลยทีเดียว แต่ของร้านนี้ขายในราคา 269 บาทและยังมีอาหารเวียดนามพวกแหนมเนือง กุ้งพันอ้อย ไส้กรอกอีสาน แหนมซี่โครงหมูทอด มาเป็นออปชั่นให้ทานกันอีกด้วย (แต่อันนี้ไม่รวมในบุฟนะ )
สรุปโดยรวม
- รสชาติอาหารทั้งหมดที่สั่งมาทาน ค่อนข้างถูกใจมากทีเดียว
- ของสดดี ดูมีคุณภาพในราคาระดับนี้ ถือว่าคุ้มค่ามาก
- ขนาดร้านค่อนข้างใหญ่ น่าจะจุได้เป็น 100 คนก็น่าจะรับไหว
- ร้านเปิดตั้งแต่ 4โมงเย็นจนถึง 5ทุ่มทุกวัน
ข้อเสีย
- ที่จอดรถรวมในเวิ้งนั้นจะเก็บค่าจอดคันละ 30 บาททุกคัน (เป็นคนของโครงการมาเก็บตังค์)
- เข้าห้องน้ำ ก็ต้องเข้าห้องน้ำของทางโครงการเวิ้งนั้น ซึ้งก็คิดเงินด้วยครั้งละ3บาท

พามารีวิวร้านอาหารอีสานเปิดใหม่ในเมกาบางนา ชื่อร้านนัวนัว (Noir Noir Megabangna) จริงๆร้านนี้เคยเปิดที่ห้างธัญญะ ช็อปปิ้งมอลล์ มาแล้ว แต่ก็รู้กันดีว่า ห้างนั้นร้างคนมากๆ ร้านนี้ย้ายมาที่เมกาบางนา ได้สัก 2-3 เดือนแล้วมั่งคับพิกัดของร้านนัว นัว เมกะบางนา อยู่ชั้น 1 โซนร้านอาหารด้านนอก ร้านอยู่ตรงข้ามกับ Coca suki ข้างๆร้านเป็น Tudari Express หน้าร้านเป็นป้ายสีเหลืองๆ มองเห็นได้เด่นชัดบริเวณหน้าร้านทำเป็นสวนย่อมขนาดเล็กๆ มานั่งทานอาหารโซนหน้านี้ ก็บรรยากาศดีเหมือนกัน แต่วันนี้ขอไปนั่งตากแอร์ในร้านดีกว่า เข้ามาภายในร้าน ขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีโต๊ะอาหารประมาณ 10กว่าโต๊ะแต่ก็จัดมุมโต๊ะอาหารไว้หลากหลายแนวดี ที่ดูสะดุดตาที่สุดน่าจะเป็นโซฟาใหญ่สีม่วงใกล้ๆทางเข้าร้าน การตกแต่งภายในร้านเน้นการเพ้นต์รูปฝาผนังเป็นลวดลายต่างๆ มีพร็อบเก๋ๆวางประดับในร้าน อยู่หลายจุด ถ้าเป็นกลุ่มสาวๆมาร้านนี้น่าจะชอบกัน แสงไฟสีวอร์มไลท์ ทำให้บรรยากาศค่อนข้างโรแมนติกเล็กๆ
ร้านนี้เน้นอาหารอีสานเป็นหลัก มีหลากหลายทั้งส้มตำ ลาบ น้ำตก ไก่ย่าง แกงลาว แกงอ่อม จิ่มจุ่มก็ยังมี และยังมีเมนูวัตถุดิบเมืองนอกแต่ทำออกมาเป็นสไตล์อีสานได้อีกเช่น ซี่โครงแกะย่าง-จิ้มแจ่ว, ลาบแซลมอน , สเต็กแซลมอนจิ้มแจ่ว ที่อ่านโปรไฟล์ร้านในเมนู ร้านนี้เขาเน้นความพิเศษที่วัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร ต้องเป็นของดีมีคุณภาพ และสะอาดสดใหม่ อะไรประมาณนี้
------------------------------
เมนูที่ได้ทานมีดังนี้1. ส้มตำแซลมอน (200บาท) : จานนี้เหมือนส้มตำไทยรสแซ่บกำลังดี แต่ทีเด็ดคือแซลมอนชิ้นโตๆ ที่หั่นใส่ลงมาน้อย ปริมาณที่ให้มาค่อนข้างเยอะทีเดียว ร้านบอกเมนูนี้เป็นเมนูขายดี ต้องสั่งปลาแซลมอนมาจากนอร์เวย์มาแล่เองที่ร้านทุกๆสัปดาห์เลย ดูจากขนาดชิ้นและปริมาณแซลมอนที่ใส่มาในจาน ต้องบอกคุ้มค่าเลยละ2. ลาบหมูคุโรบูตะ (120บาท) : ลาบหมูรสอร่อย หอมข้าวคั่ว ร้านบอกใช้หมูดำคุโรบูตะของCP รสชาติเผ็ดแซ่บเลยทีเดียว มาพร้อมกับผักเคียงอีก1ถ้วย จานนี้ทำให้ผมต้องสั่งข้าวเหนียวเพิ่มอีกกระติ๊บเลยทีเดียว3. ปีกไก่ทอดสมุนไพร (120บาท) : ร้านใช้ส่วนปีกกลางไก่หั่นแยกเป็น2ท่อน แล้วเอาไปทอดกรอบ โรยด้านบนด้วยตะไคร้สับทอดกรอบพร้อมใบมะกรูดและพริกแห้ง หนังไก่กรอบกำลังดี ได้รสชาติเครื่องเทศเวลากัด ด้านในเนื้อไก่ก็นุ่ม แต่รสชาติจะน้อยกว่าตรงหนังหน่อย เครื่องเทศอาจจะเข้าไปยังไม่ถึง ที่สำคัญไม่อมน้ำมันเลย4. ไข่เจียวนัวนัว (80บาท) : เป็นไข่เจียวซิกเนเจอร์สูตรเฉพาะของร้าน ไข่นุ่มฟู ทอดออกมากลมดิ๊กเลย จานนี้เอาไว้ดับความเผ็ดแซ่บของจานอื่นๆได้ดีนัก5. ส้มตำไข่เค็ม (80บาท) : ส้มตำไทยๆ มะละกอดิบกรอบๆ ท็อปปิ้งด้วยไข่เค็มรสละมุน

6. ผัดหมี่โคราช (70บาท) : เป็นอีกเมนูที่ร้านเชียร์อัพให้เราลองทาน ร้านใช้เส้นจันท์มาผัดกับซอสสูตรพิเศษของร้าน ออสรสเผ็ดนิดๆ เส้นเหนียวหนึบกำลังดีเวลาเคี้ยว โรยหน้าด้วยกุยช่ายและถั่วงอก (ร้านนี้ละเอียดขนาดเด็ดหัวและหางถั่วงอกออกจนหมด เหลือแต่ก้านสีขาวเกลี้ยงเกลามาให้ลูกค้าทาน)

ปิดท้ายมื้อแซ่บๆด้วยของหวานอีก 2 อย่าง- ไอติมกะทิทรงเครื่อง (70 บาท) : ไอติมกะทิ รสกลมกล่อม ผสมลอดช่องและมีท็อปปิ้งด้วยลูกชิต เม็ดบัว เยลลี่สีแดง- ขนมปังเย็น (60 บาท) : ขนมปังเย็นน้ำแดง ถ้วยขนาดกลาง ทานกันได้ 2-3 คนเลย ช่วยดับความแซ่บจากอาหารจานหลักได้ดีทีเดียวเครื่องดื่มเย็น
- น้ำตะไคร้ ,น้ำมะตูม,น้ำแดงมะนาวโซดา แก้วละ 60บาท