Read full review
2017-05-15
273 views
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินอาหารไทยอีกที่ที่เราว่าเป็นอาหารไทยในรร.ที่อร่อยที่หนึ่งเลยนะคะกับ JW Marriot Bangkok ซอยสุขุมวิท 2 นั่นเองค่าา ถ้าวิ่งเส้นสุขุมวิทขาเข้า (สำหรับคนที่ขับรถมา) ให้เลี้ยวเข้าซอยสองเพราะทางเข้ารร.สำหรับรถจะอยู่ในซอยนะคะ ตัวบัตรจอดรถนำมาให้ทางห้องอาหารแสตมป์ได้ค่ะโดยอาหารไทย 4 ภาคนี้จะมีจำหน่ายทุกวัน (เมนูสลับสับเปลี่ยนกันไป) ซึ่งจะเริ่มขายวันที่ 4-31 พฤษภาคมนี้เท่านั้นนะคะ โดยการไปครั้งนี้น้องอ้น OnTable เป็นคนชวนค่ะ ซึ่งก็ชวนกันมาอีกทีจากทางพีอาร์ของรร.หละนะคะซึ่งเมนูแต่ละวันจะแตกต่างกันไปนะคะ (ดังตัวอย่างด้านล่าง) โดยจะจำหน่ายที่ห้องอาหาร Bangkok Baking Company ที่อยู่ติดกับ Marriott Caf
โดยอาหารไทย 4 ภาคนี้จะมีจำหน่ายทุกวัน (เมนูสลับสับเปลี่ยนกันไป) ซึ่งจะเริ่มขายวันที่ 4-31 พฤษภาคมนี้เท่านั้นนะคะ โดยการไปครั้งนี้น้องอ้น OnTable เป็นคนชวนค่ะ ซึ่งก็ชวนกันมาอีกทีจากทางพีอาร์ของรร.หละนะคะ
ซึ่งเมนูแต่ละวันจะแตกต่างกันไปนะคะ (ดังตัวอย่างด้านล่าง) โดยจะจำหน่ายที่ห้องอาหาร Bangkok Baking Company ที่อยู่ติดกับ Marriott Cafe เลยค่ะ ถ้าเอารถมาหลังจากลงลิทฟ์มาที่ชั้น 1 ก็เดินผ่านตัวล็อบบี้รร.มา แล้วก็ผ่านเข้าห้องมาริออทคาเฟ่ แล้วจะมีทางเข้าตัวบางกอกเบคกิ้งคอมพานีค่ะ แต่ถ้ามาทางรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะอื่นๆ จะมีทางเข้าจากถนนสุขุมวิทได้เลยค่ะ
ซึ่งห้องอาหารแห่งนี้จะมีทั้งที่นั่งในห้องแอร์และด้านนอกนะคะ
โดยรวมจะเห็นว่าอาจจะเหมือนขายพวก pastry ต่างๆ เป็นหลักนะคะ ซึ่งสำหรับใครที่ชอบแนวนี้แนะนำให้มาหลัง 18.30 น.นะคะ เพราะของในตู้และอื่นๆ (ที่ไม่ใช่สินค้าที่ขายได้ยาวๆ ที่อยู่ในแพ็คเก็จต่างๆ ทั้งถุงและกล่องนะคะ) จะลดราคา 50% เลยค่ะ แต่แบบว่า..ได้ข่าวว่าคิวแต่ละวันยาวพอควรเลยนะคะ แฮร่...
นอกจากนั้นสำหรับคอกาแฟ ที่นี่ขายกาแฟของ illy นะฮับ
จะเห็นว่ามีเมนูของแคมเปญ 4 regions ติดบอกไว้ด้วยนะคะ แล้วก็ขนมหลายตัวช่วงนั้นก็มีเน้นที่มะม่วงด้วยค่ะ
ถ้าใครชอบแนวนี้แต่อยากนั่งกิน ราคาก็น่าสนใจเลยแหละค่ะ (ยกเว้นพวกเค้ก คุ้กกี้และขนมปังนะคะ) นี่ยังคุยๆ กับเพื่อนๆที่ไปด้วยกันว่าน่ามาลองมากเลยอ้ะ กับช่วงเวลาบ่ายสองถึงหกโมงเย็นเท่านั้นนะคะ 499 บาทเนตแล้ว
แต่นอกจากพวกเพสตรี้ต่างๆ แล้ว ที่จริงห้องอาหารแห่งนี้ก็มีอาหารเช้าและอาหารหลักขายด้วยนะฮับ
นอกจากนั้นที่รร.ยังมีรับจัด Hamper หรือกระเช้าต่างๆ ด้วยนะคะ ในภาพนี่มีทั้งราคา 1500 5000 และ 7500 บาทค่ะ
ส่วนเมนู campaign 4 regions นี่ แต่ละวันจะมีขายไม่เหมือนกันนะคะ ตัวอย่างเมนูก็ตามภาพเลยฮับ เพราะงั้นถ้าใครตั้งใจจะกินเมนูไหนเป็นพิเศษก็โทร.สอบถามทางห้องอาหารก่อนว่าวันไหนที่มีเมนูนั้นนะคะ เบอร์โทร 02-6567700 ค่าา
สำหรับสองท่านนี้ก็คือ คุณตุ้ม ผู้จัดการห้องอาหารแห่งนี้และคุณอเล็กซ์ F&B Digital Marketing Executive ที่เป็นคนชวนบล็อกเกอร์มาในวันนี้ค่ะ
และสำหรับเชฟที่รังสรรค์อาหารไทย 4 ภาคของแคมเปญนี้นะคะ กับเชฟบิ๊กนั่นเองค่ะ เบื้องหน้านี่คืออาหารที่เชฟจัดมาให้เราชิมวันนั้นนะคะ
ก่อนจะเริ่มที่อาหาร มาที่เครื่องดื่มกันก่อนค่ะ ให้ดูเมนูนะคะว่าที่นี่มีอะไรบ้างค่ะ ส่วนสมูทตี้ที่นี่ก็ใช้ผลไม้แท้ๆ นะคะ
วันนั้นมีสั่งมาสองตัว (ราคาเท่ากันคือ 165++) คือ สมูทตี้ โกลเด้นสยาม ซึ่งทำจากกล้วย มะม่วง สับปะรด นะคะ รสจะออกนวลๆ โดยกล้วยจะเด่นกว่าตัวอื่นค่ะ ส่วนอีกตัวเป็นพิงค์แพนเตอร์ ซึ่งจะเป็นสตรอเบอร์รี่กับสับปะรดนะคะ จะมีความหอมของสตรอเบอร์รี่เจือมานิดหนึ่งค่ะ ส่วนกาแฟอิลลี่นี่สายกาแฟชื่นชมมากว่านุ่มค่ะ ราคาก็ตามขนาดที่สั่งค่ะ
ส่วนสายฮาร์ดก็สั่งมาทั้งช็อกโกแลตและเอสเปรสโซดับเบิ้ลช็อตนะคะ เจ้าตัวบอกว่าดีค่ะ
มาดูกันดีกว่าว่าวันนั้นกินอะไรกันไปบ้างนะคะ
เริ่มต้นกันด้วยปลาทรายแดงทอดขมิ้นพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด (ภาคใต้)
ปลาทอดมาได้กรอบแบบกินทั้งก้างได้ (ถ้ากินตอนร้อนๆ เลยนะคะ ถ้าทิ้งไว้เย็นนี่ ก้างอาจจะมีบางส่วนที่กินไม่ได้แล้วค่ะ) ที่เด็ดคือ น้ำจิ้มค่ะ เป็นการทำแบบดั้งเดิม คือ ไม่ปั่น ได้รสของพริกตำและรสชาติแบบที่ไม่ได้กินนานแล้วค่ะ แซ่บลืมมาก ชอบสุดๆ แทบอยากขอใส่ถุงกลับบ้าน แฮร่...
ต่อไปค่ะกับกุ้งอบพริกแกงคั่วกลิ้ง (ภาคใต้)
ตัวนี้เชฟใช้กุ้งลายเสือแทนเนื้อสัตว์ในการทำคั่วกลิ้งแบบที่ทั่วๆ ไปเค้าทำกันนะคะ ซึ่งตัวนี้กุ้งโอเคนะคะ แต่เราว่าด้วยความที่มันเป็นสัตว์มีเปลือก ก็เลยทำให้ตัวเครื่องคั่วกลิ้งมันไม่เข้าไปถึงเนื้อเท่าไหร่อะค่ะ จะให้ดีเชฟแนะนำให้เอาเปลือกมาคลุกกับข้าวเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติของคั่วกลิ้งให้ชัดขึ้น แต่เรากินแบบทั้งเปลือกแล้วก็ยังไม่สุดนะ แหะๆ แบบว่า...แม่บ้านที่ออฟฟิศนี่ทำคั่วกลิ้งให้กินบ่อยค่ะ ซึ่ง...คนนครฯ ด้วยนี่รสชาติจัดเต็มมาก แต่สำหรับคนกรุงเทพฯ น่าจะพอดีแล้วหละค่ะ
ขนมจีนน้ำยาปู (ภาคใต้)
ตัวน้ำยานี่มีเนื้อปลาตำตามแบบน้ำยานะคะ โดยจะมีเนื้อปลาหลายประเภทซึ่งทำให้ได้รสชาติและกลิ่นที่ซับซ้อนกว่าที่อื่น และเพิ่มเนื้อปูเป็นก้อนๆ ไปด้วยค่ะ รสชาติจัดจ้านระดับหนึ่ง น้ำยาค่อนข้างใสกว่าที่เราเคยกินแต่หอมเครื่องดีนะคะ สำหรับคนที่กินอาหารรสชาติไม่ได้จัดมากนี่น่าจะเผ็ดแล้วค่ะ 555
ต้มแซ่บกระดูกหมูเอ็นแก้ว (ภาคอีสาน)
ตัวนี้รสชาติมาเต็มถูกใจมาก มาครบรสแบบที่ต้มแซ่บควรเป็นเลยค่ะ หมูก็เปื่อยนิ่มเคี้ยวกำลังดี อร่อยมาก วันนั้นชมเมนูนี้กันหลายคนเลยค่ะ
ไก่ย่างจิ้มแจ่ว (อิสาน)
ไก่ย่างมาได้ดีนะคะ ข้างในเนื้อยังชุ่มฉ่ำอยู่ มีการหมักที่ส่งกลิ่นหอมเวลากินได้ดีค่ะ เราสามารถกินเปล่าๆ ได้โดยไม่ได้แตะต้องน้ำจิ้มแจ่วที่มาคู่กันเลยแหละค่ะ
แกงเลียงกุ้ง (ภาคกลาง)
ตัวนี้รสชาติจะเบากว่าที่เราชอบค่ะ เราชอบความร้อนแรงของพริกไทยมากกว่านี้อีกหน่อยง่ะ แหะๆ แล้วก็ฟักทองน้อยไปนิดค่ะ ไม่พอบำรุงน้ำนม (ไม่ใช่แระป้า กลับมาๆ) แต่โดยรวมถือว่าครบรสแบบที่แกงเลียงควรมีนะคะ
ต่อไปเป็นภาคเหนือกันบ้างค่ะ กับแกงฮังเล
ตัวนี้รสถูกปากและจริตเรามาก 555 จะออกหวานหน่อยค่ะ แล้วตัวเนื้อหมูก็ทำมาได้เปื่อยอร่อยมาก เครื่องเทศก็กลิ่นกำลังดี ไม่แรงเกินไป ชอบค่ะ
และอีกหนึ่งเมนูภาคใต้ค่ะกับหมูฮ้อง
เชฟใช้เนื้อส่วนใต้ราวนมชิ้นใหญ่นะคะ ตัวนี้นี่คืออร่อยมากกกก เป็นอีกที่ที่ทำหมูฮ้องออกมาได้ดีค่ะ ตัวเทกซเจอร์นุ่มแน่นหยุ่นกำลังดี และเครื่องเทศก็ซึมซาบเนื้อหมูได้ดีมากเช่นกัน รสชาติก็ดีมากค่ะ สรุปแล้วเป็นอีกเมนูที่เราชอบมากนะคะ
ของหวานวันนั้นเป็นถั่วแปบชาววังนะคะ ซึ่งไม่ได้มีอยู่ที่ห้องอาหารนี้ค่ะ แต่จะเป็นหนึ่งในไลน์บุฟเฟต์ที่ห้องอาหารแมริออทคาเฟ่นะคะ แต่เชฟอยากให้พวกเราได้ลองชิมกันค่ะ
ลักษณะพิเศษคือ ข้างในจะไม่ใช่ถั่วซีกแบบถั่วแปบทั่วไปค่ะ แต่เป็นถั่วกวนแทน ซึ่งทำให้เวลากิน เทกซเจอร์จะแตกต่างไปจากถั่วแปบทั่วไปมากเลยค่ะ คือ มันจะไม่มีเทกซเจอร์ของถั่วข้างในเลย แต่จะเนียนนุ่มไปเลยกับการเคี้ยวค่ะ แล้วตัวน้ำตาลโรยของที่นี่ก็จะไม่เน้นน้ำตาลเยอะนะคะ แต่เน้นงาให้มีความหอมและมีกลิ่นเครื่องเทศบางอย่างที่ไม่เหมือนที่ไหน ที่ถามเชฟยังไงก็ไม่ยอมบอกว่าใส่อะไรลงไปค่ะ 5555
ต่อไปเป็นอีกสองเมนูจากอีกห้องอาหารหนึ่งนะคะ เป็นเมนูใหม่ เชฟเลยอยากให้ลองชิมกันค่ะ
Bake egg Larb Gai ราคา 240++ บาท
ไข่ที่ตัดความเลี่ยนหรือคนต้องการรสชาติแปลกใหม่ด้วยลาบไก่นะคะ ตัวลาบรสไม่ได้จัดหรือเผ็ดมากนักนะคะ แต่ก็พอแก้เลี่ยนได้อยู่ค่ะ
Sautéed mushroom and feta ราคา 280++ บาท
ตัวนี้รสจะออกแนวอ่อนๆ หน่อยนะคะ อ่อนกว่าตัวเมนูแรก แต่ตัวเห็ดก็ปรุงมาได้รสชาติดีค่ะ ไม่จืดเหมือนบางที่นะคะ
แน่ล่ะมาห้องนี้ทั้งที (ทั้งที่ตอนนี้คือมาถึงคอกันแล้ว) ทางเชฟจีก็ขอนำเสนอขนมของทางห้องอาหารแห่งนี้กันบ้างค่ะ (อุ๊ย เชฟน่ากินเหมือนขนมเลยค่ะ - เอิ่มมมป้าคะ เก็บอาการหน่อยค่ะป้า)
Red Velvet Cake
เป็นเค้กสลับชั้นกับครีมชีสของฟิลาเดเฟียนะคะ ด้านบนเป็นครีมสดและผลไม้ค่ะ
เราชอบตัวครีมชีสในเค้กตัวนี้มากเลยง่าาา อร้อย อร่อย
Blueberry Cheese Cake ของที่นี่เป็นสไตล์นิวยอร์คชีสเค้กนะคะ ชอบชีสอีกแล้ว 555 ตัวบลูเบอร์รี่ก็ไม่ปรี๊ดเหมือนหลายๆ ที่นะคะ
ตัวนี้เป็นตัวที่สร้างความประทับใจให้เรามากค่ะ (แว่วว่าจีเอ็มก็โปรดเมนูนี้ แฮร่...) นั่นก็คือ Carrot Cake ซึ่งในเนื้อเค้กนอกจากแครอทแล้วก็ผสมวอลนัตและเราได้กลิ่นกับรสของน้ำผึ้งจางๆ ด้วยนะคะ คือ ต้องบอกก่อนว่าปกติเราเป็นคนไม่ชอบแครอทเค้ก และไม่เคยรู้สึกเลยว่าแครอทเค้กเป็นเค้กที่อร่อยง่ะค่ะ แต่ของที่นี่มันไม่แห้งเหมือนที่อื่นๆ อ้ะ รสชาติโดยรวมและเทกซเจอร์ถูกจริตเรามากค่ะ ชอบๆ
Mango Crumble ตัวนี้มาแบบอุ่นๆ เลยค่ะ เสิร์ฟคู่กับซอสมะม่วง เมนูนี้มีจำหน่ายวันที่ 2 - 26 พ.ค. นี้เท่านั้นนะคะ
ตัวนี้น่าจะถูกจริตชายหนุ่มค่ะ เพราะไม่หวานจัด แฮร่...
สรุปสำหรับห้องอาหารแห่งนี้และแคมเปญ 4 regions นะคะ
เรียกได้ว่าค่อนข้างเซอร์ไพรซ์สำหรับหลายเมนูเลยค่ะ แบบว่า...ปกติอาหารไทยในโรงแรมก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีไม่กี่ที่ที่ทำแบบรสชาติไทยจริงๆ น่ะนะคะ แต่ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำแบบนั้นค่ะ วันนั้นเมนูที่ประทับใจเรามากๆ ก็จะมีหมูฮ้อง ปลาทรายแดงทอดขมิ้น (น้ำจิ้มเด็ดจริงจัง) ต้มแซ่บกระดูกหมู และขนมถั่วแปบชาววังก็อร่อยอ้ะ (กินไปคนเดียวซะหกตัว เขิลจุง)
เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากลองไปกินกัน (ยังมีเมนูแปลกๆ รออีกเยอะค่ะ แกงกระด้างงี้ ข่างปองงี้) ก็ต้องรีบไปก่อนสิ้นเดือนนี้นะคะ เพราะแคมเปญมีถึงสิ้นเดือนนี้เท่านั้นฮ้าบบบ
Post