Read full review
2018-02-19
674 views
วันนี้จะพาไปกินร้านที่ได้มิชลินสตาร์มาหมาดๆ ไม่กี่เดือนนะคะ นั่นก็คือร้าน L'aterlier De Joel Robuchon Bangkok ซึ่งเราเคยไปกินทั้งหมดสองครั้งที่ได้รีวิวไปแล้วส่วนรอบนี้ เชฟส่งข้อความมาชวนเหมียว nanareview ว่าอยากชวนเหมียวไปกินที่ร้านเนื่องในวันเกิดค่ะ (ประมาณว่าอยากทำเมนูพิเศษให้) เหมียวเลยชวนเราอีกที เราก็โอเค ได้จ้า เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้นนนน 555 แล้วเราเองก็ตั้งใจว่าจะไปอัพเดทหลังจากที่นี่ได้มิชลินสตาร์ 1 ดวงมาด้วยค่ะ เลยถือว่าดีเลย ต้องขอบคุณทั้งเหมียวและเชฟ Olivier Limousine ด้วยนะคะสำหรับโอกาสนี้ วันนั้นก็ขับรถไปเช่นเคยค่ะ โดยเซิร์ชหาในแม็พด้วยชื่อร้านเลยนะคะ บอกเป็นข้อมูลอีกทีว่าร้านนี้จะอยู่ที่ชั้น 5 ของอาคาร
ส่วนรอบนี้ เชฟส่งข้อความมาชวนเหมียว nanareview ว่าอยากชวนเหมียวไปกินที่ร้านเนื่องในวันเกิดค่ะ (ประมาณว่าอยากทำเมนูพิเศษให้) เหมียวเลยชวนเราอีกที เราก็โอเค ได้จ้า เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้นนนน 555 แล้วเราเองก็ตั้งใจว่าจะไปอัพเดทหลังจากที่นี่ได้มิชลินสตาร์ 1 ดวงมาด้วยค่ะ เลยถือว่าดีเลย ต้องขอบคุณทั้งเหมียวและเชฟ Olivier Limousine ด้วยนะคะสำหรับโอกาสนี้
วันนั้นก็ขับรถไปเช่นเคยค่ะ โดยเซิร์ชหาในแม็พด้วยชื่อร้านเลยนะคะ บอกเป็นข้อมูลอีกทีว่าร้านนี้จะอยู่ที่ชั้น 5 ของอาคารมหานครคิวบ์นะคะ (อาคารเดียวกับ Vogue Lounge ที่เคยรีวิวไปแล้ว ) จอดรถเสร็จก็สามารถกดลิฟท์จากชั้นจอดรถไปที่ร้านได้เลยค่ะ
เปิดลิฟท์ไปก็จะเจอโถงนั่งรอนะคะ ด้านขวามือจะเป็นเคาน์เตอร์ติดต่อค่ะ เราก็แจ้งชื่อไป พนักงานก็พาไปที่ที่นั่งนะคะ
ซึ่งวันนี้นั่งด้านหน้าเคาน์เตอร์เช่นเคยค่ะ วันนี้คนเยอะมากกกกกกก ชาวต่างชาติเกือบหมดเลย ซึ่งเราว่าการนั่งเคาน์เตอร์นี่ดีมากนะคะ นอกจากได้เห็นการทำอาหารบางส่วนแล้ว เชฟจะมาพูดคุยด้วยค่อนข้างบ่อยค่ะ เชฟอัธยาศัยดีมาก (เสียดายไม่โสดแล้วววว ฮือออ #เดี๋ยวค่ะป้าคะกลับมารีวิวอาหารค่ะป้า) เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าชาวต่างชาติมานี่ เค้าไม่เลือกนั่งโต๊ะด้านในกันนะคะ เลือกเคาน์เตอร์กันหมดเลยค่ะ นี่เรามาเก็บภาพหลังเขาลุกกันไปแล้วนะคะ แหะๆ เพราะตอนแรกนี่เต็มเคาน์เตอร์ยาวหมดเลยค่ะ อ้อๆ แนะนำให้จองก่อนเสมอนะคะ โดยเฉพาะมื้อเย็นซึ่ง traffic จะแน่นกว่ามื้อกลางวันอีกค่ะ
สำหรับเครื่องดื่มก็มีแท็บเล็ตมาให้เลือกเช่นเคยนะคะ แต่ของเราได้รับการแจ้งว่าเชฟเตรียมเครื่องดื่มแพร์ริ่งไว้ให้แล้วค่ะ ก็เลยไม่ได้เลือกกัน
นั่งชมการเตรียมอาหารไปค่ะ นี่เป็นบางส่วนนะคะ ที่จริงยังมีครัวใหญ่อยู่ทางด้านหลังค่ะ เชฟจะคอยกระตุ้นทีมตลอด เรียกชื่อบ้าง พูดประโยคบางประโยคบ้าง แล้วพนักงานเขาก็ได้ยินกันทุกคนนะ คอยขาน คอยตอบรับตลอดอ้ะ
เครื่องดื่มแรกมาก่อนเลยค่ะกับ 2011 Passion Blanche, Vin de Pays des Cotes Catalanes, Bernard Magrez ตัวนี้จะมีแอลกอฮอล์ไม่แรงมากนะคะ ค่อนข้างสดชื่นและเข้ากับอาหารที่มาบริการอีกสองจานได้ค่อนข้างดีเลยค่ะ มีความคลีนและใสๆ สดชื่นนิดๆ เราชอบนะ ดื่มง่ายดีค่ะ
อะมุสบุชมาก่อนเลยค่ะ เป็นอะมุสบุชยอดนิยมของที่นี่นะคะ
Pour Commencer
Crisp and soft quinoa, smoked piquillo flavors
ฝั่งซ้ายที่อยู่ในถ้วยจะประกอบไปด้วยตับห่าน port wine reduction และด้านบนเป็นโฟมที่ทำจากชีสนะคะ เวลากิน ให้ตักกินให้ครบทั้งสามชั้นนะคะ รสจะออกแนวละมุนและสมดุลมากเลยค่ะ เราชอบหละ ส่วนตัวฝั่งขวาเป็นควินัวนะคะ โดยรวมแล้วประทับใจรสชาติฝั่งซ้ายมากกว่าค่ะ ส่วนฝั่งขวานี่เรียกว่ากินเพื่อเพิ่มเทกซเจอร์ 555
Le Caviar Imperial
A Surprise of Sologne Imperial caviar
ตัวนี้ตอนแรกที่เสิร์ฟ มีฝาครอบมาด้วยค่ะ พอวางแล้วเปิดนี่ เราตะลึงไปเลยยยยยย อาหารสวยมากกกกกกกกกกกกกก พอเห็นสีหน้าพวกเรานี่ เชฟมาเกร่ดูแล้วอมยิ้มใหญ่เลยค่ะ (ปลื้มล่ะซี้ 555)
ตัวนี้จะคล้ายๆ เมนูคาร์เวียร์ที่เรากินไปรอบที่แล้วนะคะ เป็นเนื้อปูรองข้างใต้ โปะด้วยคาร์เวียร์แบบจัดเต็ม ส่วนสีเขียวๆ นี่ทำจากบรอคโคลี่ค่ะ รสจะออกแกมเค็มนิดๆ กินแล้วสดชื่นดี เป็นเมนูที่ยิ่งกินกับเครื่องดื่มที่แพร์ริ่งมาแล้วเข้ากันมาก ส่งรสชาติกันดีค่ะ
Le Foie Gras
Duck foie gras mille-feuille with caramelized smoked eel, Japanese flavors
เป็นเมนูปลาไหลรมควันสลับกับฟัวร์กราส์ ซึ่งเป็นการผสมผสานรสชาติที่ดีและเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เราชอบมากอ้ะ อร่อยแบบ...เฮ้ยยยย มามิกซ์กันอย่างนี้ก็ได้ด้วย ส่วนสลัดแอปเปิ้ลฝั่งซ้ายนี่แนะนำให้กินแค่นิดหน่อยตอนก่อนกินตัวหลักนะคะ แล้วมากินปิดท้าย จะช่วยทำให้รสชาติปิดด้วยความสดชื่นลงตัวพอดี ถ้าชอบรสมีมิติหน่อยก็แนะนำให้กินกับสามขีดด้านล่างค่ะ เป็นหอมซอย ครีมซอสและพริกไทยนะคะ จะช่วยเพิ่มรสอีกหน่อย แต่แบบไม่กินพร้อมเราก็ว่าอร่อยแล้วนะคะ แต่รสจะค่อนข้างเข้มๆ แน่นๆ แบบผู้ชายหน่อย ขนมปังที่แนมมาที่ฝั่งขวาก็ยังคงดีเช่นเคยค่ะ
จากนั้นเครื่องดื่มตัวที่สองก็มาค่ะ
2013 Gmajne Chardonnay, Primosic Collio Doc
จากรูปนี่เทียบให้เห็นเครื่องดื่มระหว่างตัวแรกกับตัวที่สองนะคะ (ตัวแรกฝั่งขวา ตัวที่สองฝั่งซ้าย)
ตัวนี้จะกลิ่นเด่นมาก ออกแนวฟรุตตี้ผสมกับกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ค่ะ แต่แอลกอฮอล์ก็ใช้ได้เลย เป็นไวน์ของอิตาลีนะคะ
L’ARTICHAUT
Roasted artichoke on a thin puree, chickpeas cappuccino scented with turmeric
ตัวนี้เราชอบอีกแล้วววววววว นี่มาสองรอบหลัง (ที่เชฟ Limousine อยู่) เราปลื้มซุปทั้งสองครั้งเลยค่ะ (แต่กรุณาอย่าคิดถึงความอ้วนและแคลอรี่ 555) เข้มข้นหอมมันมากๆ กินแล้วรสชาติเต็มปากเต็มคำสุดๆ ค่ะ ตรงกลางที่เป็นตัวคริสปี้อาร์ติโช้คก็ทำมาได้กำลังดี ไม่เหนียวแต่ไม่แห้ง เคี้ยวกำลังโอเคเลยค่ะ เรียกว่าขนาดอิ่มๆ มาแล้ว ยังกินหมดง่ะ อร่อยยย
แล้วพอดื่มไวน์ที่แพร์ริ่งกันมา ก็ทำให้ความข้นมันของเมนูนี้ถูกคลีนไปค่ะ ดีงามมาก แพร์ริ่งดีนะเราว่า เราชอบกว่าการแพร์ริ่งตัวแรกอีกหละ
LA DORADE
Seared japanese seabream served with salsify and ‘matelote’ sauce
กว่าเมนคอร์สจะมา เรานี่อิ่มถึงคอแล้วค่ะ (ปาดเหงื่อเลย) ตัวนี้เนื้อจะเป็นประมาณปลากะพง แต่จะแน่นกว่านะคะ ทว่าก็ยังคงมีเทกซเจอร์ที่นุ่มนวลอยู่ ตอนแรกที่กินกับซอสไวน์แดง เรารู้สึกว่าไม่ค่อยเข้านะ เหมือนซอสมันเด่นจนกลบปลาหมด แต่พอกินควบคู่กับเครื่องเคียงทั้งเชสนัท รากไม้และเห็ด...เออ ดีกว่าแฮะ มันสร้างสมดุลและความกลมกล่อมให้มากขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครสั่งเมนูนี้ แนะนำให้กินพร้อมกันแบบครบๆ หมดนะคะ ถ้ากินเฉพาะปลากับซอสจะค่อนข้างไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่อ้ะ
ตัวนี้เสิร์ฟมาพร้อมมันบดนะคะ แต่ขออภัยจริงๆ ที่เราไม่ได้แตะมันบดเลยค่ะ
ระหว่างนั้นก็มีพนักงานนำคาร์ทชีสและของหวาน (ชีสมาก่อนนะคะ) มานำเสนอลูกค้าท่านอื่นๆ ค่ะ เลยขอถ่ายมานะคะ เก๋ไก๋มาก ตอนเรามารอบที่แล้วๆ ไม่ยักมีแฮะ
และก่อนของหวาน ไวน์ตัวนี้ก็มาเสิร์ฟค่ะ
2011 Muscat de Beaumes-de-Venise, Maison Paul Jaboulet Aine
ตัวนี้ผู้หญิงน่าจะชอบค่ะ ส่วนผู้ชายน่าจะไม่ 555 ไวน์หวาน หอมหวนมากๆ เนื้อค่อนข้างหนืดนิดๆ มีเนื้อมีหนังเลยแหละค่ะ เมานิ่มกันเลยทีเดียว
และแล้วของหวานก็มาาาาาาาาาาา
La Mangue Perroquet
Mango ‘Perroquet’, black sesame, exotic fruits
*The menu served on The Gala Dinner Night, celebrate Michelin Star Bangkok 2018
ตัวนี้เป็นเมนูของหวานที่ทางร้านได้รับเลือกให้เสิร์ฟในงานกาล่าดินเนอร์คืนที่ประกาศร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินของไทยด้วยนะคะ (ปลื้มมากที่เชฟเลือกเมนูนี้มาบริการให้อ้ะ) พรีเซนต์สวยมาก ตัวที่เหมือนมะม่วงนั่นทำจากช็อกโกแลตขาวค่ะ ข้างในเป็นมูสตามด้วยด้านในที่เป็นซอสมะม่วงลาวา (เห็นบอกว่ามีส่วนผสมของสับปะรดด้วย) ที่มีรสค่อนข้างเปรี้ยว ทำให้เมนูนี้ออกทั้งหวานอมเปรี้ยว รสดีมากค่ะ เป็นของหวานที่ไม่หวานเจี๊ยบ หวานอมเปรี้ยวกำลังดี เหมาะกับการปิดมื้อที่สวยงามมากๆ เท่าที่สอบถาม เขาบอกว่า ตอนที่เสิร์ฟในงานกาล่าก็ได้รับคำชมเยอะมากนะคะ ถ้าใครมาที่นี่ก็อยากให้ลองสั่งเมนูนี้นะคะ (จองก่อนก็ดีค่ะสำหรับเมนูนี้)
ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เชฟและทีมงานยังมาเซอร์ไพรซ์เหมียวด้วยค่ะ เป็นของหวานอีกเมนูหนึ่ง น่ารักมากกกกกกกกก โอ๊ยยยยย อิจฉาาาา 555
ยังไม่จบ ยังมีคอมพลิเมนทารี่ของหวานอีกค่ะ กับช็อกโกแลตและขนมไข่ฝรั่งเศส อร่อยทั้งสองตัวเลยยยยย
แต่พอเรียกให้คิดเงิน...
ค่ะ
เหมือนเดิม เชฟเลี้ยงค่ะ พวกเราโวยวายกันใหญ่ แต่เชฟทำเป็นฟังไม่เข้าใจ พูดฝรั่งเศสใส่รัวๆ ฮืออออออ เรายืนยันว่าจะจ่าย แต่ไม่มีใครยอมให้จ่ายอ้ะ สรุป ฟรีไปอีกมื้อค่ะ แถมยังเขียนการ์ดใบนี้ให้เหมียวด้วยอ้ะ ทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ยแม่คุณณณณ
ปิดท้ายด้วยรูปเราสามคน คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป...เอ่อ ไม่ใช่แล้วค่ะป้า
ขอบคุณเชฟ Olivier Limousine อีกครั้งนะคะสำหรับมื้อพิเศษนี้ ประทับใจมากๆ รวมทั้งการบริการของพนักงานทุกๆ คน ที่ดีงามสยามประเทศมาก เอาใจใส่ อธิบายเมนู ดูแลตลอดๆ สมควรแก่ดาวมิชลินมากค่ะ ประทับใจมากๆ เลยค่ะ
เหมียวเองก็จะขอบคุณตามวิธีของเหมียว ส่วนเราเองเดี๋ยวคงเชิญเชฟและภรรยาไปรับประทานอาหารสักมื้อหละค่ะ แหะๆ (ที่ชวนเชฟกับคุณเควนตินไปกินรอบที่แล้วยังไม่ได้รีวิวเลย กร๊าก)
Post