OpenRice เคยพูดถึงปูไทย (ที่ไม่ใช่ยี่ห้อขนม) กันไปแล้วที่นี่ ปูไข่ ปูเนื้อ ปูม้า ปูทะเล รู้จักดีแค่ไหน แตกต่างกันอย่างไร เรียกให้ถูก คราวนี้เรามารู้จักปูจากเมืองนอกอย่าง ปูขน และ ปูยักษ์ กันดีกว่า
ปูขน เป็นปูขนาดกลาง กระดองเป็นทรงสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 7-8 เซนติเมตร ตัวสีน้ำตาลปนเหลืองจนถึงสีน้ำตาลเข้ม กระดองส่วนหน้าไม่เรียบ มีตุ่มทู่ๆ เรียงกัน 2 แถว ที่ก้ามและขาทุกขามีขนสีน้ำตาลเข้มเป็นกระจุก ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของปูสายพันธุ์นี้
ปูขนเป็นอาหารจีนที่มีชื่อเสียง ราคาแพง เพราะชาวจีนเชื่อว่าปูขนแข็งแรงมากจึงมีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาได้ คนที่ได้กินปูขนก็จะแข็งแรงเหมือนปูไปด้วย ปูขนเป็นที่นิยมมากเป็นพิเศษในหน้าหนาว เพราะเนื้อปูจะหวาน และตัวเมียจะมีไข่ ชาวจีนยังเชื่ออีกด้วยว่าการกินปูขนจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย แก้โรคคออักเสบ รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ รวมถึงช่วยถอนพิษบางประเภทได้
ปูขนนิยมปรุงให้สุกด้วยการนำไปนึ่งในน้ำเดือด กินกับจิ๊กโฉ่วหรือซอสเปรี้ยวของจีน เพราะหากกินดิบ ปูขนอาจเป็นพาหะของโรคพยาธิใบไม้ในปอดได้ และหลังจากกินปูขนให้ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ตามเพื่อปรับสภาพหยินหยางในร่างกายให้สมดุล เนื่องจากปูขนมีฤทธิ์เป็นหยินหรือฤทธิ์เย็นนั่นเอง
ถึงแม้ว่าปูขนจะมีต้นกำเนิดมาจากแถบจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราก็เริ่มมีการเพาะเลี้ยงปูขนแล้วโดยโครงการหลวง บนยอดดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่
ปูยักษ์ เป็นปูนำเข้าจากเมืองนอกที่นิยมกินกันมากในเมืองไทย ปูยักษ์หรือ King Crab มีด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์และมีชื่อเรียกต่างกันตามแหล่งที่จับ เช่น ปูยักษ์อลาสก้า ปูยักษ์ฮอกไกโด เป็นต้น
ขึ้นชื่อว่าปูยักษ์แน่นอนว่าขนาดต้องใหญ่โตอลังการ เมื่อนำมาเหยียดขาออกแล้วอาจยาวได้ถึง 180 เซนติเมตร! นึกภาพปูตัวใหญ่เท่าหนุ่มสูงยาวเข่าดีสักคนประมาณนั้นเลย ปูยักษ์มีก้ามขนาดใหญ่ บนกระดองและตามตัวมีหนาม สีเปลือกมีตั้งแต่สีแดงสด แดงคล้ำ ไปจนถึงสีน้ำเงิน ตามแต่ละสายพันธุ์ ปูยักษ์ที่นิยมจับมากินกันมากที่สุดคือ Red King Crab
เนื้อปูยักษ์ส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือส่วนก้ามนั่นเอง นิยมนำมาทำอาหารหลากหลายประเภทตั้งแต่นึ่งแล้วกินสดๆ ถ้าทางญี่ปุ่นอาจจิ้มกับซอสโชยุ แต่ทางยุโรปนิยมจุ่มชีสหรือเนย หรือจะแกะเอาเนื้อไปประกอบอาหารนานาชนิดตั้งแต่ผัด นึ่ง ชุบแป้งทอด ใช้เป็นหน้าซูชิ ทำไส้ฮอตด็อก ต้มทำเป็นหม้อไฟ ทำสลัด หรือใส่เป็นหน้าขนมปัง แต่เราเชื่อว่าอุตส่าห์ได้กินปูยักษ์กันทั้งที วิธีกินที่จุใจที่สุดคงหนีไม่พ้นแกะเนื้อทั้งก้ามที่ปรุงสุกแล้วกินกันให้หนำใจ
เนื้อของปูยักษ์มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ อุดมด้วยโอเมก้า 3 และวิตามินบี 12 ซึ่งช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยเรื่องระบบเผาผลาญของร่างกาย ว่ากันว่าขาปูยักษ์เพียง 1 ขาก็มีวิตามินบี 12 มากกว่าที่ร่างกายเราต้องการต่อวันถึง 6.5 เท่า นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัสซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกที่แข็งแรง และสังกะสีที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันด้วย
ถึงเนื้อปูยักษ์จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโซเดียมสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากปูยักษ์เป็นสัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำทะเล ดังนั้นใครที่ต้องควบคุมโซเดียมต้องระมัดระวัง ไม่กินปูยักษ์มากจนเกินไปด้วยนะ
เสิร์ชหาร้านอร่อยตรงใจได้ง่ายๆ
Credit: Wikipedia, many-food-review, Matichon online,
manager.co.th, livestrong.com, seafoodworld.net
Photo credit: food.recentrunes.com, kaleidoscope.cultural-china, hungrygowhere,
sugpiaqseafood, rubensgrocery, akgourmet, iowagirleats, pinterest,
lifestyleasia, thehongkongcookery, differencebetween