Read full review
2014-09-16
373 views
สำหรับวันนี้ก็ยังเป็นการแนะนำร้านอาหารในทริปเขาใหญ่อยู่เช่นเดิมครับ ในวันนี้จะพาไปทานอาหารในร้านสวยๆ ร้านอยู่ในไร่องุ่น มีกลิ่นอายของชนบทฝรั่งเศสเล็กๆ ครับVin Cotto, ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่การเดินทางมาไร่องุ่นกรานมอนเต้นั้นมาง่าย แต่ค่อนข้างจะไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมที่อยู่ในเขาใหญ่หน่อยนะครับ จากเส้นถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนรัตช์ วิ่งตรงมาจนถึงแยก ผ่านศึก – กุดคล้า (เลยโรงแรมกรีนเนอรี่มานิดเดียว) เลี้ยวขวาเข้าเส้นผ่านศึก – กุดคล้า วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ผ่าน Primo Piazza ทางขวามือ ขับตรงไปเรื่อยๆ ระยะทางจากแยก ผ่านศึก – กุดคล้าจนถึงไร่องุ่นกรานมอนเต้ประมาณ 13 กิโลเมตรครับ ตามรายทางมีป้ายบอกเป็นระย
Vin Cotto, ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่
การเดินทางมาไร่องุ่นกรานมอนเต้นั้นมาง่าย แต่ค่อนข้างจะไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมที่อยู่ในเขาใหญ่หน่อยนะครับ จากเส้นถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนรัตช์ วิ่งตรงมาจนถึงแยก ผ่านศึก – กุดคล้า (เลยโรงแรมกรีนเนอรี่มานิดเดียว) เลี้ยวขวาเข้าเส้นผ่านศึก – กุดคล้า วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ผ่าน Primo Piazza ทางขวามือ ขับตรงไปเรื่อยๆ ระยะทางจากแยก ผ่านศึก – กุดคล้าจนถึงไร่องุ่นกรานมอนเต้ประมาณ 13 กิโลเมตรครับ ตามรายทางมีป้ายบอกเป็นระยะๆครับ รับรองไม่หลงแน่ๆ ถ้าถึงไร่ พี.บี วัลเล่ย์แล้ว แสดงว่าเลยคราบ อิอิอิ
ร้านอาหาร Vin Cotto เป็นร้านอาหารที่อยู่ในไร่องุ่นกรานมอนเต้ครับ อยู่บริเวณใกล้ๆกับอาคารหลักที่ขายไวน์เลยครับ แต่ตัวร้านอาหารจะต้องเดินไปจากที่จอดรถนิดนึงนะครับ แต่ผมว่าดีทีเดียวที่ตั้งร้านอยู่ห่างจากที่จอดรถเล็กน้อย เพราะจะได้เห็นตัวร้านเต็มๆ ตัดกับสนามหญ้าสีเขียวสดและต้นไม้ที่ปลูกอยู่หน้าร้านให้บรรยากาศแบบ Chalet ในแถบตอนใต้ของฝรั่งเศสครับ ตัวร้านปลูกเป็นร้านแบบ Stand alone ลักษณะเหมือน Chalet แบบฝรั่งเศสทางตอนใต้ขนาดใหญ่ มีที่นั่งทั้งภายนอกและภายใน พอเข้าไปในร้านก็จะเจอส่วนต้อนรับแขกก่อน แล้วจะมีพนักงานพาไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงาม เราไปทานมื้อกลางวันในวันธรรมดาพนักงานจัดให้นั่งทานในห้องหลักของร้าน เป็นห้องโถงขนาดใหญ่จุคนได้กว่า 50 คน ที่เฉลียงด้านนอกห้องก็ยังมีโต๊ะอีกจำนวนหนึ่ง ความจริงโต๊ะที่บรรยากาศดีที่สุดน่าจะเป็นโต๊ะด้านหลังร้านที่เป็นลานยื่นออกไปในสระบัว เห็นมีคนบอกว่าสวยมากๆ แต่ว่าตอนที่เราไปกันบัวในสระตายหมดครับ เค้าก็เลยไม่ได้จัดโต๊ะเอาไว้ให้ เมนูอาหารก็จะเป็นอาหารตะวันตกทั้งหมดนะครับ เริ่มตั้งแต่ Appitizer, Main Course จะมีทั้งอาหารทะเล เนื้อ แกะ และไก่ และของหวานครับ ก่อนที่จะเอาอาหารมาเสิร์ฟ เค้าจะเอาขนมปังกับเนยมาเสิร์ฟก่อน เป็นขนมปังที่แข็งที่สุดที่เคยกินมาครับ ท่าทางจะเป็นการเอาขนมปังที่ทำไว้แล้วไปอุ่นในไมโครเวฟนะครับ อันนี่เสียใจเป็นอย่างยิ่งครับ ที่พ่อครัวไม่ให้เกียรติลูกค้าที่มาทานอาหารเลย การอุ่นด้วยไมโครเวฟนี่มันใช้ได้บางกรณีเท่านั้นนะครับ บางกรณีก็ต้องใช้ตัวช่วยเล็กน้อย เช่นใช้ภาชนะนึ่งของในไมโครเวฟอุ่นซาลาเปาเพื่อจะได้นุ่ม และร้อนในเวลาเดียวกัน การอุ่นขนมปังนี่จะใช้ไมโครเวฟไม่ได้เลยครับ เพราะจะทำให้ขนมปังแข็งมากกกกก (เหมือนเวลาที่อุ่นปลาท่องโก๋ในไมโครเวฟ) การอุ่นขนมปังจะต้องเอาไปอุ่นในเตาอบเม่านั้นครีบ ถึงจะได้ขนมปังที่ร้อนทั่วแลนุ่มเหมือนตอนสุกใหม่ๆ ผมถือว่าเป็นสิ่งที่เชฟจะต้องรู้นะครับ ขนาดผมยังรู้ เชฟคนไหนก็จะต้องรู้ครับ มาถึงไร่องุ่นจะไม่สั่งไวน์มากินก็กระไรอยู่นะครับ แต่คุณชายเธอบอกว่ายังวันอยู่เลย จะกินไวน์แล้วเหรอ .... ในเมื่อเธอไม่กิน จะสั่งมากินคนเดียวก็กระไรอยู่นะครับ ก็เลยสั่งน้ำองุ่นสดมาทานกัน
สีคล้ายๆไวน์แดงครับ ยิ่งพอใส่แก้วไวน์แล้วยิ่งเหมือนไวน์แดงเข้าไปใหญ่ รสชาติก็คล้ายๆไวน์แดงครับ มีรสเฝื่อนๆจากเปลือกองุ่นก่อนนิดหน่อย แล้วก็มีรสหวานไม่มากครับ แต่ชื่นใจชะมัด ..... ดื่มมากๆก็คิดว่าเมาไวน์ได้เลยครับ อิอิอิ อย่างแรกที่สั่งมาทานเป็น Appitizer ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของทางร้านครับ สลัดกุ้งองุ่นสด ราคา 210 บาท
ไหนๆก็มาถึงไร่องุ่นแล้วก็ต้องเลือกชิมเมนูอะไรที่มีส่วนประกอบของไร่องุ่นบ้างครับ ตอนที่เค้ายกมาเสิร์ฟก็งงๆครับ นึกว่าเป็นเมนูสลัดที่ทางร้านแถมมาให้ เพราะขนาดของสลัดจานนี้เล็กมากๆไม่ค้มกับราคา 210 บาทเลยครับ ความอร่อยของสลัดก็ให้แค่ผ่านครับ น้ำสลัดกับผักอร่อยดีครับ แต่องุ่นมันไม่เข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจานครับ คือทางร้านเอาองุ่นไปคลุกน้ำสลัดมาก่อน แล้วจัดลงจาน วางผักสลัดลงไป ใส่กุ้งต้ม โรยด้วยอัลมอนด์ องุ่นที่คลุกน้ำสลัดมันก็เลยไม่เข้ากับอะไรเลยอ่ะครับเพราะองุ่นมันเป็นลูกกลมๆ ต้องใช้ความพยายามในการจิ้มด้วยส้อมลูกองุ่นถึงจะติดขึ้นมาด้วยเพราะฉะนั้นก็จะไม่ได้ลูกองุ่นในการจิ้มสลัดทุกๆคำ และองุ่นที่ใส่มาก็ไม่ได้มีการปอกเปลือกครับ เพราะฉะนั้นเวลากินลูกองุ่นก็ได้รสขมนิดๆของเปลือกองุ่นนิดหนึงก่อนครับ ทำให้หมดอรรถรสในการกินไปมากๆ ถ้าผ่าองุ่นครึ่งหนึ่ง หรือปอกเปลือกองุ่นมาก่อนจะดีมากๆ มันจะได้มีน้ำๆขององุ่นออกมาด้วยเปรี้ยวๆ หวานๆ เพิ่มรสชาติให้กับสลัดอีกด้วย ที่สำคัญให้องุ่นมาน้อยเหลือเกินครับ แทบจะนับลูกได้ไม่สมกับเป็นไร่ไวน์เลยครับ Almond Flake ที่ใส่มาก็เยอะเกิ๊นครับ มันเลยดูเอาน้ำสลัดไปหมดเลย สลัดมันก็เลยดูแห้งๆไปครับ จานที่สอง ทะเลรวมมิตรทอด ราคา 320 บาท
จานนี้ให้เป็นวิจารณญาณของทุกท่านเองก่อนนะครับ คิดว่าอาหารหน้าตาอย่างนี้สมควรจะขึ้นโต๊ะร้านอาหารราคาเป็นร้อยๆเหรอครับ อาหารทะเลที่ทอดมาแห้งมากกกกกครับ ทั้งกุ้งทั้งปลาหมึก มีจำนวนไม่เยอะอีกต่างหาก ที่ดูว่าเยอะนั่นเป็นหอมใหญ่ทอดครับ ใส่หอมใหญ่ทอดมากกว่าครึ่งเชียวครับ จานนี้ผิดหวังมากกกกกกกกกก ครับ เข้าใจนะครับว่าอาหารทะเลที่เขาใหญ่ก็แพงกว่าปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าทำออกมาแล้วจะไม่ดีอย่างนี้สู้บอกลูกค้าไปเลยว่า “เมนูวันนี้ไม่มี” จะดีกว่าที่จะให้ลูกค้าเสียความรู้สึกอย่างนี้มั๊ยครับ เมนูที่สามซึ่งเป็นเมนูสุดท้าย Coq au Vin หรือ ไก่อบไวน์ชีราสและเครื่องเทศ ราคา 380 บาท
เมนูนี้ถูกใจถูกปากที่สุดครับจากทั้งสามเมนูที่สั่งมา ถึงแม่จะรู้ว่าเป็นเมนูอุ่นเอามาเสิร์ฟ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเมนูนี้จะต้องใช้เวลาในการทำมาก เพราะฉะนั้นทางร้านจึงต้องทำไว้ก่อนในจำนวนหนึ่งแล้วค่อยมาอุ่นเอา (เป็นความผิดของคนชอบทำอาหารครับ ที่ดั๊นไปรู้ขั้นตอนการทำอาหารด้วย อิอิอิ) แต่ความอุ่น ความนุ่มของชิ้นไก่ ลบเรื่องอื่นๆไปหมดครับ ชิ้นไก่นุ่ม หอมกลิ่นเทศ ได้รสชาติของไวน์ แต่ไม่ใช่รสแบบที่มีอัลกอร์ฮอร์นะครับ มันเป็นรสชาติของไวน์ที่มีการเบิร์นอัลกอรฮอร์ไปหมดแล้ว จะเป็นรสหวานๆเผื่อนๆ ตามรสองุ่นพันธุ์ชีราสที่เค้าเอาไวน์มาตุ๋นกับไก่นี่แหละครับ เมนูนี้ซักไปหมดจาน น้ำซอสก็ไม่เหลือคราบ อิอิอิ ร้าน Vin Cotto ที่ไร่องุ่นกรานมอตเต้นี้มีที่อร่อย (เท่าที่ชิมไปในวันนี้) อยู่ที่ Coq au Vin เท่านั้นเองนะครับ ถ้าใครเคยชิมเมนูอื่นๆแล้วว่าอร่อยก็มาแชร์กันได้นะครับ แต่ผมก็คงไม่กลับมาเป็นครั้งที่สองอีกแล้วนะครับถึงบรรยากาศดี พนักงานบริการดี แต่อาหารไม่อร่อยถึง 2 เมนูจาก 3 เมนูก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
Chubby Lawyer’s Café’ ………………………………… ร้านอร่อย ....... ตามใจฉัน
Post