1. เริ่มด้วยการนำแครกเกอร์มาบดให้ป่น แล้วคลุกกับเนบละลายให้เข้ากัน
2. นำแครกเกอร์คลุกเนยมากดอัดลงในพิมพ์ เพื่อเป็นฐานของพาย และใส่ตรงส่วนที่เป็นขอบพายด้วย
3. เมื่ออัดฐานจนแน่นดีแล้ว นำไปแช่ตู้เย็นให้ฐานแข็งแรงขึ้นด้วยความเย็น แล้วไปทำส่วนของชีสกันต่อค่ะ
4. นำครีมชีสมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ตีง่ายขึ้น แล้วก็ตีครีสชีสให้เหลว
5. เติมนมข้นหวาน และน้ำมะนาวลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน ไม่เป็นเม็ดๆ
6. นำฐานที่เราแช่ไว้ออกมา เทด้วยครีมชีสลงไปให้เต็ม แล้วนำไปแช่ตู้เย็นอีกครั้ง รอให้ครีมชีสเซ็ตตัว
8. เมื่อชีสพายของเราเซ็ตตัวแล้ว นำบลูเบอร์รี่กระป๋องและสตรอเบอร์รี่กระป๋อง มาราดด้านหน้า ปริมาณตามใจชอบค่ะ เราชอบหน้าเยอะๆเลยใส่ซะเต็มเชียวค่ะ ใส่อย่างละครึ่งถาด แล้วก็ตัดแบ่งก่อนรับประทานค่ะ
กินชีสไม่อ้วนอย่างที่คิด
ชีสมีคุณค่าสารอาหาร ทั้งโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินเอ บี 2 และ บี 12 ชีส เป็นอาหารกลุ่มโปรตีนไม่ใช่ไขมัน และแตกต่างจากเนย ที่ได้จากการนำไขมันหรือน้ำมันในนมออกมา แต่งกลิ่น-รสได้ จนเป็นไขมันล้วนๆ ชีสมีต้นกำเนิดมากว่า 1,000 ปี จากประเทศในแถบตะวันออกกลาง เป็นผลิตภัณฑ์นมที่เปลี่ยนลักษณะไปเป็นของแข็ง โดยการเติมเอ็นไซม์ลงไปในนม ให้นมจับกันเป็นลิ่มและแยกตัวเป็นชั้นของแข็งที่เรียกว่า "เคิร์ด" เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างกับนมกับชีส ที่ปริมาณ 100 กรัม ชีส มอสซาเรลล่า ยังมีโปรตีนถึง 28 กรัม, ชีส เชดด้ามีโปรตีนถึง 25 กรัม ซึ่งในนมมีเพียง 3.3 กรัม และชีส พาร์มิซานมีแคลเซียมสูงถึง 1200 มิลลิกรัม ซึ่งในนมมีเพียง 114 มิลลิกรัม เราจึงกินชีส แทนเนื้อสัตว์ได้ ชีสที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพชั้นเลิศของโลกคือ ชีส ที่มาจากประเทศนิวซีแลนด์ มีโปรตีนและแคลเซียมสูง
อ้างอิง : www.vcharkarn.com