...จริงแค่ไหนกับความเชื่อเรื่องอาหารของคนท้อง...
ความเชื่อโบราณ ที่เรามองว่าล้าสมัย ในบางความเชื่อก็แยบคายจนเราอาจนึกไม่ถึงกันเลยทีเดียว อย่างเช่นข้อมูลที่จะนำมาเล่าให้ฟังในบทความนี้ เป็นความเชื่อเรื่องอาหารสำหรับคนท้อง ที่คนโบราณห้ามนักหนาว่า อย่ากิน...แต่จะมีกุศโลบายอะไรแฝงอยู่ และเชื่อถือได้ด้วยหลักเหตุผลหรือไม่ มาลองพิสูจน์กันค่ะ
ความเชื่อโบราณ กับหลักเหตุผลในปัจจุบัน
Cr.Pic: thaihealth.or.th
ในสมัยโบราณ วิทยาการทางการแพทย์ และการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่เจริญมากนัก คนส่วนใหญ่จึงยังคงดำรงชีวิตกันด้วยหลักความเชื่อต่าง ๆ ที่ทำซ้ำ ๆ กันมา เกิดขึ้นซ้ำ ๆ คาดเดาบ้าง เป็นเหตุเป็นผลบ้าง จนกลายเป็นแนวทางการดำรงชีวิตประจำวัน
ด้วยกุศโลบายอันแยบคายของบรรพบุรุษคนยุคก่อน ทำให้หลาย ๆ ความเชื่อที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผล สามารถใช้ได้มาจนถึงปัจจุบัน และถูกพิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และเหตุผลถึงความเฉลียวฉลาดของผู้ใหญ่ในการห้ามปราม ว่ากล่าว ตักเตือน ลูกหลาน ด้วยประโยคหรือเรื่องราวที่ฟังดูไม่มีเหตุผล แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ดีในการป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายอันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น ห้ามกินข้าวร้อนกับข้าวเย็นปนกัน เพราะเวลาไม่สบายจะรักษาหายยาก แท้ที่จริงแล้วผู้ใหญ่ต้องการบอกเราว่า ควรกินข้าวเย็นให้หมดก่อน ไม่พอค่อยตักเพิ่ม เพราะเมื่อปนกันข้าวอาจบูดเสียทั้งหม้อได้
อาหาร 5 อย่าง ที่คนท้องห้ามกิน
1. มะพร้าว
Cr.Pic: rattrattana
ความเชื่อ : ห้ามดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้แท้งลูก
ควรพิจารณา ด้วยเหตุผล : ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อการหดตัวของมดลูก คุณแม่จึงกังวลว่าจะแท้งลูก ซึ่งความจริงแล้ว ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนไม่มากพอจะทำให้แท้งลูกได้ ร่างกายคนท้องจะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมาปรับสมดุลอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลและเชื่อผิด ๆ อีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม ในน้ำมะพร้าวมีไขมันดีทั้งที่อิ่มตัว และไม่อิ่มตัว ซึ่งจะเข้าไปช่วยสร้างไขที่สะอาด ห่อหุ้มตัวเด็ก และช่วยให้คลอดง่ายยิ่งขึ้นด้วย
2. หอย
Cr.Pic: noy noy.Noi
ความเชื่อ : ห้ามกินหอย เพราะจะทำให้คลอดลูกยาก (ลักษณะหอย คือ อยู่ในฝาประกบ แกะออกยาก เสมือนเด็กอยู่ในท้อง จะคลอดออกยากนั่นเอง)
ควรพิจารณา ด้วยเหตุผล : หอยเป็นเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรคปะปนง่าย ทั้งจากเปลือกหอยที่ล้างไม่สะอาด หรือปรุงอาหารแบบไม่สุก จึงอาจจะมีเชื้อโรคและพยาธิปะปนเวลารับประทาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษหรือท้องร่วงได้ง่าย แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคลอดลูกยากแต่อย่างใด
แม้ว่าหอยจะเป็นอาหารกลุ่มเสี่ยงต่ออาการท้องเสีย แต่ก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนทั่วไปและคนท้อง เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งโปรตีน เหล็ก และไอโอดีน บำรุงเลือดและร่างกายได้ดี แต่ข้อควรระวังคือ ควรรับประทานในปริมาณพอเหมาะ และสะอาด ปรุงสุกทุกครั้ง
3. ตำลึง ยอดฟักทอง
Cr.Pic: nampunz
ความเชื่อ : ห้ามกินผักทอดยอด ขณะตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คลอดลูกยาก
ควรพิจารณา ด้วยเหตุผล : ในผักยอดอ่อน เช่น ตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง ยอดกระถิน มีสารพิวรีนสูง ซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดข้อ ปวดขา เป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นได้ทั้งคนทั่วไปและคนท้อง จึงไม่นิยมบริโภคในปริมาณมากอยู่แล้ว
แต่ในยอดผัก ก็เป็นแหล่งอุดมประโยชน์ ทั้งวิตามินต่าง ๆ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยบำรุงครรภ์ได้เป็นอย่างดี และกากใยของผักยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้อีกด้วย
4. กล้วยน้ำว้า
Cr.Pic: thaihealth.or.th
ความเชื่อ : ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะเด็กจะตัวโตและคลอดยาก
ควรพิจารณา ด้วยเหตุผล : กล้วยผลไม้ประโยชน์สูง อุดมไปด้วย แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโปรตีนที่ย่อยง่าย ช่วยในการขับถ่าย แม้ในกล้วยน้ำว้าจะมีรสหวาน แต่ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลไปใช้อย่างช้า ๆ ทำให้ลดความอยากอาหาร จึงไม่น่าจะมีผลให้เด็กตัวโตกว่าปกติ
นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้ายังมี แร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็กทารก จึงเป็นเหตุผลให้คุณแม่ใช้กล้วยเป็นอาหารตอนเราเป็นเด็ก
5. เฉาก๊วย / โอเลี้ยง
Cr.Pic: noy noy.Noi
ความเชื่อ : อย่ากินของดำตอนตั้งครรภ์ เพราะลูกจะออกมาตัวดำ
ควรพิจารณา ด้วยเหตุผล : เรื่องของสีผิวเป็นเรื่องของพันธุกรรม ดังนั้นไม่ว่าคุณจะกินของดำมากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนสีผิวของเด็กให้เป็นสีดำได้ค่ะ
ความเชื่อ เรื่องอาหารกับคนท้อง ที่ฟังดูแปลก ๆ
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องอาหารกับคนท้องอีกมากมาย ที่บางอย่างไม่มีที่มาที่ไป บางอย่างเข้าใจได้แต่ไร้เหตุผล เช่น ห้ามกินไข่ต่อ/แตน เชื่อว่า เด็กออกมาแล้วจะซน หรือความเชื่อที่ว่า ห้ามกินผลไม้แฝด เพราะลูกออกมาจะเป็นแฝด หรือห้ามกินไข่ข้าว (ไข่ที่เป็นกึ่งตัวอ่อน) เพราะเด็กจะตายในท้อง เหมือนลูกไก่ หรือห้ามกินหัวปลี จะทำให้ลูกคลอดยาก หรือห้ามกินไส้ปลา จะทำให้คุณแม่เป็นเส้นเลือดขอดเหมือนไส้ปลา เป็นต้น
ทุกความเชื่อ ทุกคำเตือน อาจจะมีที่มาและเหตุผลที่แตกต่างกัน สมัยโบราณอาจจะไม่มีวิทยาศาสตร์เป็นตัวช่วยสนับสนุนความคิด แต่ก็มีประสบการณ์ที่คนรุ่นเก่า รุ่นต่อรุ่นพิสูจน์กันมาแล้ว บางอย่างยังคงใช้ได้เชื่อได้ แต่บางอย่างอาจจะมีการพิสูจน์ที่ดีกว่าลบความเชื่อเก่า ๆ ไป ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาด้วยเหตุผล และเปิดใจกับทั้งความเชื่อเก่าใหม่ ก่อนจะเลือกเชื่อ เลือกไม่เชื่อ ไม่มีอะไรโบราณเกินไป และสมัยใหม่เกินไป ถ้าอยู่ในขอบเขตและความถูกต้องเหมาะสม
เครดิตภาพ: www.thaihealth.or.th l OpenSnap