อ่านรีวิวฉบับเต็ม
2015-06-08
189 วิว
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินบุฟเฟท์ปิ้งย่าง อันเป็นหนึ่งเมนูโปรดของเรากันบ้างนะคะ นั่นก็คือร้าน Guru Gyuu สาขาสองที่เพิ่งจะเปิดราคาพรีเมี่ยมมาใหม่เอี่ยมถอดด้ามเมื่อวันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมานี่แหละค่าา ซึ่งการไปครั้งนี้ก็เป็นการเมลมาชวนของคุณหนุ่ม - เจ้าของร้านนะคะ หลังจากที่เราเคยรีวิวสาขาหนึ่งไปแล้ว (คลิกเพื่ออ่าน) เมื่อน้านนานมาแล้วค่ะ โดยวันที่เราไปก็เป็นการไปกินหลังจากเปิดร้านมาแค่หนึ่งวันเท่านั้นเอง แล้วที่เซอร์ไพรซ์ก็คือ เจอบล็อกเกอร์สายอาหารอีกสองท่านคือ น้องเมเม่ กับ น้องอ๊อฟ เจ้าของเว็บรีวิวโดนใจด้วยนะคะ โดยไปคราวนี้เค้าให้พาผู้ติดตามไปได้อีกหนึ่งท่าน ซึ่งเราก็ชวนเพื่อนรักคนเดิมไปแหละค่ะ (แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยถนัดงานปิ้งย่างเท่
สำหรับที่ตั้งของร้านนะคะ วันนั้นเราไปทางเส้นวิภาวดีขาออก แล้วเราก็เลี้ยวซ้ายเข้าที่แยกสุทธิสาร ไปจนชนพหลโยธิน (แยกสะพานควาย) ก็เลี้ยวซ้าย วิ่งไปอีกหน่อยเดียวเองค่ะ เห็นธนาคารออมสินแล้ว ติดกับธนาคารออมสินจะเป็นอาคารพาณิชย์ ห้องที่สามและสี่ก็จะเป็นร้านกูรูกิวแล้วนะคะ สำหรับใครที่เอารถมาอย่างเรา ก็เลี้ยวเข้าซอยข้างร้าน หาที่จอดที่เป็นห้องที่ไม่มีผู้เช่าอาศัยค่ะ จอดได้เลยนะฮับ
เอาแผนที่มาให้ชมกันอีกทีนะคะ ในแผนที่จะมีทั้งสาขาหนึ่งและสอง (โลโก้ม้วนๆ เหลืองๆ น่ะค่ะ) สาขาสองจะเป็นอันบนค่ะ ส่วนสำหรับใครที่มาโดยบีทีเอส ทางร้านบอกว่า ถ้าเดินจากสถานีอารีย์หรือสะพานควายจะพอๆ กัน แต่เพื่อนรักข้าพเจ้า (ซึ่งนั่งบีทีเอสมาลงสะพานควาย) บอกว่า สะพานควายน่าจะใกล้กว่าค่ะ เพราะงั้นก็ลงสะพานควาย แล้วดูทางออกที่เขียนว่าไปธนาคารออมสินนะคะ
สำหรับหน้าตาของทางร้านก็เป็นอาคารพาณิชย์สองห้องนะคะ โดยรวมกว้างขวางและโปร่งน่านั่งกว่าสาขาหนึ่งค่ะ ถ้าเอาโดยภาพรวมเราชอบสาขานี้มากกว่านะ แฮ่...(แถมกลิ่นไม่อวลในร้านจนทำให้กลิ่นมาติดผม ติดเสื้อผ้าเหมือนที่เราเคยเจอที่สาขาหนึ่งด้วยหละ อันนี้ได้คะแนนค่ะ) สำหรับเวลาในการเปิด ถ้าเป็นวันจันทร์กับอังคารจะเปิด 16.30 น.ค่ะ (เฉพาะมื้อเย็นแหละ) แต่ถ้าวันอื่นๆ ก็เปิด 11.30 น.นะคะ นั่นเท่ากับว่ามีมื้อกลางวันด้วยค่ะ สำหรับที่นี่นะคะ เมนูพื้นฐานจะเริ่มที่ 444 กับ 555 บาท แต่ก็จะมีราคาพิเศษคือ 299 บาท แต่ราคานี้เฉพาะวันพุธถึงวันศุกร์เวลา 11.30-15.00 น. เท่านั้นนะคะ โดยทั้งสามราคานี้ จะยังไม่รวมค่าเครื่องดื่มค่ะ (อันนี้เราเสนอว่า ควรทำแบบรวมเครื่องดื่มนะคะ แหะๆ) และให้ระยะเวลาในการรับประทานทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง (อันนี้โอเคมากค่ะ เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่ให้ที่ชั่วโมงครึ่งอ้ะ)
เมนูก็จะเป็นตามภาพเลยค่ะ ส่วนโปรอื่นๆ ก็มีสำหรับนักดื่ม ดื่ม 4 จ่าย 3 หรือแฮปปี้ลั้นช์ (พุธ-ศุกร์ก่อนบ่ายสามเช่นกัน) เป็นเซ็ตราคา 119 บาทค่ะ
และสำหรับป้ายแดงๆ นั่นก็จะเป็นกฎกติกาของทางร้านนะคะ ซึ่งก็เป็นกฎพื้นฐานของการกินบุฟเฟท์หละนะคะ ซึ่ง..คนไทยจำนวนหนึ่งยังคงไม่รู้กติกามารยาทเรื่องการกินบุฟเฟท์กันซักทีน่ะ สั่ง/ตักเยอะให้คุ้ม แต่กินไม่หมด มันเปลืองทรัพยากรโลกรู้มั้ยค้าาา เฮ้อออ แต่สำหรับวันนั้นเราไปกินในราคา 1555 บาท ซึ่งมีเฉพาะที่สาขาสองนี้เท่านั้นค่ะ เป็นราคาพรีเมี่ยม โดยจะมีเมนูซุปเปอร์ให้สั่งเพิ่มอีกตามภาพ (ที่เราทำกรอบสีเหลืองๆ ไว้ให้) นอกจากนั้นราคานี้ยังรวมเครื่องดื่มรีฟิลล์ได้ตลอด (และเปลี่ยนจากเครื่องดื่มอย่างหนึ่งเป็นอย่างอื่นได้ตลอดเช่นกัน ดี๊ดี )แถมที่สำคัญสำหรับนักดื่มค่ะ มันรวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่อั้นด้วยอ้ะใครเป็นนักดื่มนี่..ขอบอกว่าคุ้มโคตรรรรร (แต่ถ้าจะมาดื่มเต็มที่ ก็อย่าเอารถมากันนะคะ แหะๆ) น้ำจิ้มของที่นี่มีสี่แบบนะคะ ตัวที่ทางร้านบริการเราจะเป็นกิวทาเระกับน้ำจิ้มซีฟู้ดค่ะ กิวทาเระจะออกหวานและความหอมโอเลยค่ะ แต่ถ้าชอบรสจัดหน่อยก็มีพริกกระเทียมเพิ่มให้ (ตามประสาไทยๆ แหละน่า) ส่วนอีกสองตัวคือโคซุจังกับมิโสะนี่...ตัวโคชุจะสไตล์เกาหลี มีรสเปรี้ยวปลายๆ และมีกลิ่นและรสของพริกเกาหลีน่ะค่ะ ส่วนตัวมิโสะ รสชาติจะหวานนำนะคะ สำหรับเรา เราชอบตัวกิวทาเระที่สุดค่ะ สำหรับวันนั้นที่เราลองนอกจากเมนูซุปเปอร์ทั้งหมดแล้ว ก็ลองสั่งเมนูที่ราคาอื่นๆ ก็สั่งได้มาลองด้วยนะคะ (แต่ไม่ได้ลองมาก เพราะไปกันแค่สองคน แล้วเรากับเพื่อนก็กินน้อยกันทั้งคู่น่ะค่ะ (น้อยขนาดคนเชิญยังเอ่ยปาก ฮา) จะสั่งมาให้ครบ แต่กินเหลือ ก็ไม่ใช่วิสัยเราง่ะนะ )
ชุดแรกเลยก็หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์กับแซลมอนเสต็กค่ะ (ราคาแยกเมนูละ 99 บาท) ค่ะ
ตัวหอยแมลงภู่จะมีรสเค็มแทรกปลายๆ นะคะ โดยรวมเราว่าพอใช้ได้ค่ะ ให้ไว้ที่บี ส่วนแซลมอนก็สดปกติค่ะ โออยู่ ต่อไปค่ะกับยำสาหร่าย (ราคาแยก 49 บาท) รสชาติดีเลยค่ะ อร่อยและสด ใครชอบยำสาหร่าย ของที่นี่โอค่ะ ส่วนเครื่องดื่ม เราสั่งตัวชาเขียวร้อนมานะคะ มากันแบบเป็นกาเลย ส่วนเพื่อนสั่งเป็นเครื่องดื่มเย็นค่ะ (ยังไม่มีใครลองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่ขาดื่มทั้งคู่น่ะนะ) อย่างที่บอกนะคะว่า สำหรับราคานี้จะรวมเครื่องดื่มไว้ฟรีตลอดอยู่แล้ว และจะเปลี่ยนจากอีกอย่างเป็นอย่างอื่นก็เปลี่ยนได้ตลอดเช่นกันค่ะ แฮ่... ต่อไปค่ะกับหอยนางรมกูรู (ราคาแยก 299 บาท) เป็นหอยนางรมนำเข้านะคะ ลักษณะจะออกรีๆ ตัวใหญ่ใช้ได้ค่ะ เทียบขนาดกับไอโฟนหกให้ดูนะคะ เป็นหนึ่งในเมนูซุปเปอร์ เพื่อนปลื้มมากเลยค่ะกับหอยนางรม บอกว่าหวานมาก สดมาก แต่พอสั่งมาเบิ้ล ปรากฏว่ายังละลายน้ำแข็งไม่ค่อยดีค่ะ เพื่อนบอกว่าจานแรกให้เอเลย แต่จานสองนี่หักคะแนนหน่อยหนึ่งค่ะ อันนี้ก็คอมเม้นท์ไปกับทางร้านแล้วนะคะ ต่อค่ะกับหอยจำแลง (ราคา 250 บาท) อันนี้สดเด้งกรุบดีค่ะ แต่ไม่ค่อยหวานอย่างที่เราเคยกินที่ร้านอาหารทะเลที่เพชรบุรีน่ะค่ะ ถ้าชอบก็สั่งมาได้นะคะ เป็นหนึ่งในเมนูซุปเปอร์ค่ะ ต่อไปค่ะกับกุ้งลายกูรู (ราคา 299 บาท) เป็นกุ้งลายเสือกุ้งม้าลาย หนึ่งในเมนูซุปเปอร์ ถ้าไม่ใช่ซุปเปอร์จะเป็นกุ้งขาวค่ะ เป็นหนึ่งในเมนูที่เราเชียร์ค่ะ กุ้งสดแน่นเด้ง สุดยอดมากค่ะ กินกุ้งในกรุงเทพฯ มา หากุ้งเด้งขนาดนี้ยากพอควร ให้เกรดเอเลยค่ะ ขนาดตัวก็ประมาณไอโฟนหกนะคะ ไม่ได้ใหญ่ยักษ์มาก แต่ใหญ่โอเคอยู่ค่ะ ต่อไปค่ะกับขาปูกูรู (ราคาแยก 299 บาท) เป็นก้ามและขาปูอลาสก้าค่ะ หนึ่งในเมนูซุปเปอร์เช่นกัน ตัวนี้ยังมีรสเค็มอยู่ค่ะ คงต้องหาวิธีการในการเคลียร์รสเค็มออกอีกนิดนะคะ (แจ้งทางร้านแล้วเช่นกัน) แต่เนื้อแน่นดีค่ะ ต่อไปค่ะ อันนี้ไม่ได้อยู่ในเมนูซุปเปอร์ค่ะ เพื่อนเราสั่งมาค่ะ เพราะตัวเธอไม่ได้กินเนื้อ (จริงๆ เราก็ไม่กินค่ะ ยกเว้นกรณีถูกชวนไปชิมแบบนี้ แหะๆ) เป็นเมนูหมูหินอ่อน (ราคาแยก 79 บาท) โดยรวมก็นุ่มดีค่ะ แต่สำหรับคนที่กินเนื้อด้วย มันสู้เนื้อไม่ได้ง่ะนะคะ แต่เพื่อนที่ไม่กินเนื้อบอกว่าโอค่ะ มาที่พระเอกของร้านนี้กันบ้างดีกว่านะคะ ซึ่งเราว่ามันเด่นกว่าตัวอื่นๆ ค่อนข้างชัดเจนค่ะ ซึ่งถ้าสำหรับคนกินเนื้อ เราว่ามาร้านนี้แล้วสั่งเนื้อกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะคุ้มค่ามากในราคา 1555 บาทค่ะ กับเมนูแรกที่เราสั่งมานะคะ อยู่ในเมนูซุปเปอร์เช่นกันค่ะกับซุปเปอร์บุลโกกิ (ราคาแยก 299 บาท) ตัวซุปเปอร์บุลโกกินี่เป็นตัวที่เราชอบที่สุดในบรรดาสามซุปเปอร์ที่เราได้ลองเลยค่ะ ถ้าเอาชอบตามลำดับคือ ซุปเปอร์บุลโกกิ > ซุปเปอร์คารุบิ > ใบพายซุปเปอร์ ทั้งนี้ก็เพราะซุปเปอร์บุลโกกิให้รสสัมผัสที่นิ่มที่สุดในปากเราค่ะ จะเป็นตัวที่มีไขมันแทรกอยู่ เวลาเคี้ยวแล้วฟินกับความนุ่มนิ่มในปากมาก
แต่ตอนแรกน่ะ งงอยู่ว่ามันใช่เมนูนี้มั้ย เพราะเป็นเมนูเดียวค่ะที่ตัวที่เสิร์ฟหน้าตาต่างจากรูปในเมนูอ้ะ แต่ถามพนักงานอีกคนที่ไม่ได้เป็นคนมาเสิร์ฟตอนแรก ก็ตอบชื่อเมนูตรงกันค่ะ เลยคิดว่าชัวร์หละนะคะ แฮ่...
ต่อไปค่ะ ใบพายซุปเปอร์ (ราคาแยก 299 บาท) ใบพายซุปเปอร์เนื้อจะค่อนข้างเด้งกว่าซุปเปอร์บุลโกกินะคะ (ตัวซุปเปอร์บุลโกกิจะนิ่มกว่าค่ะ) แต่ไม่เด้งขนาดลิ้นค่ะ ตัวนี้ให้ที่บีบวกๆ ค่ะ
ต่อไปค่ะกับคารุบิ (ราคาแยก 299 บาท) เป็นเนื้อซี่โครงคัดพิเศษนะคะ ตัวนี้เนื้อจะค่อนข้างแน่น เคี้ยวยากกว่าแบบอื่นนิดหนึ่งค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าย่างแบบมีเดียมอย่างเรา อันนี้ให้ที่บีค่ะ
ต่อไปค่ะกับซุปเปอร์คารูบิ (ราคาแยก 299 บาท) เป็นเนื้อถอดซี่โครงคัดพิเศษค่ะ ตัวนี้เนื้อจะค่อนข้างนิ่ม แต่ยังมีส่วนที่ให้เคี้ยวพอสนุกฟันค่ะ ไม่ได้ละลายไปกับปากเลยนะคะ ตัวนี้ให้ที่บีบวกๆ ค่ะ
ต่อไปค่ะกับลิ้นวัวซุปเปอร์ (ราคาแยก 299 บาท) เป็นเนื้อเฉพาะส่วนโคนลิ้นนะคะ สัมผัสจะค่อนข้างเด้งตามประสาลิ้นหละค่ะ เด้งนิดๆ แต่เคี้ยวไม่ยากเท่าที่เคยกินที่ร้านอื่นนะคะ ให้ที่บีบวกค่ะ
ต่อไปค่ะกับอีกหนึ่งเมนูซุปเปอร์ สำหรับคนที่ไม่กินเนื้อนะคะ อกเป็ดรมควัน(ราคาแยก 250 บาท) ตัวนี้อร่อยค่ะ คนไม่กินเนื้อน่าจะชอบ กลิ่นเป็ดไม่ได้แรง แต่มีรสเค็มปลายๆ นิดๆ นะคะ ให้ที่บีบวกค่ะ ต่อไปค่ะเรามากินเมนูที่กินได้เลยดิบๆ สดๆ (เอ่อ..พิมพ์ไปรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปอบยังไงไม่ทราบ ฮา) ไม่ต้องเอามาปิ้งย่างกันนะคะ กับมากุโร่ทากากิ (ราคาแยก 250 บาท) ขอบอกว่าตัวนี้ไม่คาวเลยค่าาา มีกลิ่นพริกไทยหน่อยๆ ด้วย ซึ่งเพิ่มความหอมอร่อยด้วยหละ ตัวนี้เพื่อนเราให้เกรดเอเลยค่ะ เราให้ที่บีบวกๆ นะคะ (เพราะมีตัวทากากิที่ชอบมากกว่า คริคริ) ต่อไปค่ะกับแซลมอนทากากิ (ราคาแยก 250 บาท) ตัวนี้โรยเกลือญี่ปุ่นมา และมีมะนาวมาให้บีบด้วยนะคะ ตัวนี้แปลกมากค่ะ คือ กินแล้วรู้สึกว่ามันสด แต่เนื้อกลับรุ่ยค่ะ งงมากๆ เลยคุยกับเจ้าของร้าน เค้าก็บอกว่ายังแปลกใจอยู่ เพราะเมื่อกี๊ตอนเตรียมในครัว ก็ยังคุยอยู่ว่าลักษณะเนื้อทำไมเป็นแบบนี้ ทั้งที่สดน่ะค่ะ เลยงงกันไปทั้งคู่ ตัวนี้เราให้ที่บีนะคะ ต่อไปค่ะกับกิวทากากิ (ราคาแยก 250 บาท) ก่อนอื่นสารภาพก่อนว่าเป็นการกินเนื้อดิบครั้งแรกของเราเลยค่ะ แต่ขอบอกว่าประทับใจมากกกกกกกกกก มันอร่อยมาก เนื้อนุ่มมาก รสชาติทุกอย่างทั้งตัวซอสและพวกเครื่องที่รองด้านล่าง พอกินด้วยกันแล้วมันส่งรสชาติได้พอดีมากๆ ค่ะ หอมกับกระเทียมก็กลบกลิ่นกำลังพอดี มาช่วยปรุงรสให้อร่อยมากขึ้น ไม่คาวเลยค่ะ ซึ่งตัวนี้จะใช้ตัวเนื้อซุปเปอร์บุลโกกิมาทำเช่นกันนะคะ ตัวนี้ให้เอเลยค่ะ ถ้ากินราคานี้ก็อยากให้สั่งเมนูตัวนี้นะคะ สำหรับคนที่กินเนื้อวัวค่ะ อร่อยจริงๆ
สักพักน้องเค้าก็เอาทิชชู่มาทำความสะอาดเตาให้ค่ะ สำหรับที่นี่ก็ยังใช้เตาเหมือนสาขาหนึ่งนะคะ คือสามารถใช้ทิชชู่ทำความสะอาดได้เลยค่ะ และที่ขอชมคือ เตาที่นี่ร้อนแรงมาก (จริงๆ) คือ ไม่ต้องรอเวลาในการปิ้งย่างนานเลยค่ะ แค่เอาลงไปแป๊บหนึ่งแล้วก็พลิก รออีกแป๊บก็กินได้เลย ทำให้ได้กินอย่างรวดเร็วมาก ชอบมากค่ะ ทำให้ไม่ขาดความต่อเนื่องในการกินเลยอ้ะ Smiley อ้อๆ พนักงานที่นี่จะเป็นชาว AEC เยอะหน่อยนะคะ แล้วก็เนื่องจากวันที่เราไปเป็นวันที่เพิ่งเปิดร้านมาเป็นวันที่สอง บางอย่างพนักงานจะยังงงๆ หน่อยหนึ่ง แต่เค้าจะกระตือรือร้นในการมาช่วยเหลือและบริการดีค่ะ
สำหรับท่านใดที่ต้องการรู้ว่า เนื้อแต่ละเมนูทำมาจากส่วนไหนของวัว ทางร้านก็ทำข้อมูลไว้ให้อ่านด้วย ตามนี้เลยนะคะ
สำหรับท่านใดที่กินผักได้ แนะนำให้สั่งผักมาแกล้มนะคะ เพราะอย่างเรา กินแต่เนื้อๆๆ อย่างเดียวมันเลี่ยนเลยหละค่ะ เลยสั่งผักมากินแกล้มกัน เออ..ชีวิตค่อยดีขึ้นหน่อย แหะๆ หลังจากเริ่มอิ่มคาว (ควรจะอิ่มหละค่ะ เนื้อทุกเมนูเรากินคนเดียวเลยอ้ะ
เง่อ...) เราก็ลองสั่งเมนูเครื่องดื่มมาบ้างค่ะ สองตัวแรกนี่น้องออฟเป็นคนสั่งค่ะ แต่ให้เราชิมด้วย (ขอบคุณน้องออฟผู้สุดแสนจะน่ารักมา ณ ที่นี้นะฮับ) เป็นสาเกเยลลี่สองรสคือรสพีชกับมิกซ์เบอรี่ค่ะ ถ้าสั่งแยกจะตกแก้วละ 300 บาทค่ะ ทางร้านบอกว่า จะดื่มง่ายหน่อย เหมาะกับหญิงสาวค่ะ สองตัวนี้จะมีกลิ่นหอมของรสแต่ละอันอย่างชัดเจนค่ะ ตัวพีช (ที่สีออกใสๆ) ก็กลิ่นพีชชัด ตัวมิกซ์เบอรี่ (สีชมพูๆ) ก็กลิ่นชัดมาก ค่อนข้างกิน (ดื่ม) ง่ายจริงๆ แหละค่ะ เหมือนดูดเยลลี่ลื่นๆ เหมือนกินขนมแหละ..แต่เมานะคะ ฮา
ต่อไปค่ะกับเมนูเหล้าบ๊วย อันนี้อาศัยโต๊ะของคุณเมเม่ค่ะ (อาศัยคนอื่นเค้าตัลหลอดยัยนี่ ฮา) จะเป็นเหล้าบ๊วยยี่ห้อนี้นะคะ ปกติขวดละ 450 บาทค่ะ ถ้าไม่ได้กินราคานี้ที่ดื่มได้ฟรีตลอดและเป็นนักดื่มจริงๆ จะเลือกดื่ม 4 ขวดจ่าย 3 ขวด (ฟรีราคาขวดที่ต่ำที่สุด) ก็ได้ค่ะ เราว่าก็คุ้มอยู่นา เค้าจะให้แก้วเล็กๆ สำหรับดื่มเหล้าบ๊วยมาด้วยค่ะ แช่เย็นมาด้วยหละ แล้วก็มีถังใส่น้ำแข็งแช่ให้เหล้าเย็นตลอดมาด้วย (มันมีผลต่อรสชาติอะนะคะ แหะๆ) สำหรับรสชาติการกินนะคะ ตัวแอลกอฮอล์ไม่แรงและเยอะเกินจนกลบกลิ่นและรสของบ๊วยค่ะ แต่ตัวเนื้อหนังของเหล้ามันยังไม่เข้มข้นมากอย่างยี่ห้อที่เราชอบน่ะค่ะ แต่ก็โอนะคะ อร่อย ไม่ได้แย่ค่ะ อยู่ที่บีบวกค่ะ
ต่อไปค่ะกับสาเกเย็น ขวดละ 350 บาทค่ะ เราขอชิมอีกเช่นกัน เราไม่ชอบกลิ่นและรสสาเกตัวนี้แฮะ แหะๆ (ถ้าอยากเห็นขวด ดูจากรูปโปร 4 แถม 3 นะคะ จะมีอยู่ พอดีเราไม่ได้ถ่ายมาน่ะค่ะ คุณเมเม่เธอเทมาให้ลองน่ะ) ต่อไปเป็นของหวานค่ะ ไปเก็บภาพของหวานทุกเมนูจากโต๊ะน้องออฟมาก่อน (อีกแล้ว ป้านี่) ก็จะมีทั้งหมดตามนี้นะคะ ตัวผลไม้เราไม่ได้ลองนะคะ เราลองแค่สามตัว จะรีวิวทีละตัวเลยแล้วกันเนาะ
เมนูแรกค่ะ กับไอศกรีมชาเขียว (ราคา 40 บาท) ตัวนี้มันมีกลิ่นแปลกๆ ค่ะ พอชิมๆ ไปและถามคุณเมเม่ที่นั่งอีกโต๊ะ ก็ได้ข้อสรุปมาว่ามันเป็นกลิ่นมะลิค่าาา เลยทำให้เป็นไอติมชาเขียวกลิ่นมะลิ ซึ่งสำหรับเราไม่คุ้นง่า แต่เพื่อนเราที่ชอบกินไอติมชาเขียวกลับบอกว่าอร่อยดีนะแก ไม่เหมือนใครดี อันนี้ก็แล้วแต่ละกันเนาะคะ แต่ให้ไว้เป็นข้อมูลสำหรับใครที่จะสั่งมากินค่ะ ต่อไปค่ะกับถั่วแดงเย็นเกล็ดหิมะ (ราคา 40 บาท) ตัวนี้เป็นตัวที่เราชอบที่สุดนะคะ คือ มันเหมาะกับอากาศร้อนๆ มากๆ อ้ะ แล้วปิ้งย่างเสร็จร้อนๆ กินอะไรหวานๆ ชื่นๆ แอร๊ยส์...มันฟินเฟร่อมากๆ Smiley สดชื่นมากเลยค่ะ ชอบอ้ะ
ปิดท้ายด้วยเยลลี่ค่ะ มีรสลิ้นจี่กับสตรอเบอรี่นะคะ (อันนี้ของน้องออฟมีเหมือนรสส้มด้วย แต่ตอนของเราไม่มีง่ะค่ะ) โดยรวมเราเฉยๆ อะนะ
โพสต์