更多
2020-01-03
181 瀏覽
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปรับประทานอาหารกันที่ห้องอาหารในโรงแรมที่มีชื่อเสียงดีมากๆ แห่งหนึ่งนะคะ นั่นก็คือ ห้องอาหาร Scalini โรงแรมฮิลตันสุขุมวิทนั่นเองค่าาาา ซึ่งโดยปกติที่นี่ ก็มักจะเป็นการไปกิน/รีวิวบุฟเฟต์นะคะ แต่รอบนี้เราไปกินแบบอลาคาร์ทกันค่ะ ซึ่ง Chef Enrique Abilleira ชาวสเปนและทีมรังสรรค์ออกมาได้อร่อยทุกจานเลยค่ะ ซึ่งสไตล์ของที่นี่ก็จะเป็น Italian cuisine with modern twists นะคะสำหรับห้องอาหารสกาลินี่จะอยู่ที่ชั้นลอยของโรงแรมนะคะ ถ้ามาจากทางด้านหน้ารร. เดินตรงผ่านล็อบบี้มาจะเจอบันไดเดินขึ้นห้องอาหารตามรูปเลยค่าบรรยากาศภายในห้องอาหารค่ะ ดูขรึมๆ คลาสสิคๆ นะคะเมนูของห้องอาหารนี้นะค้าาาโดยในวันนั้นทางโรงแ
ซึ่งโดยปกติที่นี่ ก็มักจะเป็นการไปกิน/รีวิวบุฟเฟต์นะคะ แต่รอบนี้เราไปกินแบบอลาคาร์ทกันค่ะ ซึ่ง Chef Enrique Abilleira ชาวสเปนและทีมรังสรรค์ออกมาได้อร่อยทุกจานเลยค่ะ ซึ่งสไตล์ของที่นี่ก็จะเป็น Italian cuisine with modern twists นะคะ
สำหรับห้องอาหารสกาลินี่จะอยู่ที่ชั้นลอยของโรงแรมนะคะ ถ้ามาจากทางด้านหน้ารร. เดินตรงผ่านล็อบบี้มาจะเจอบันไดเดินขึ้นห้องอาหารตามรูปเลยค่า
บรรยากาศภายในห้องอาหารค่ะ ดูขรึมๆ คลาสสิคๆ นะคะ
เมนูของห้องอาหารนี้นะค้าาา
โดยในวันนั้นทางโรงแรมได้จัดเคาน์เตอร์สำหรับทำเครื่องดื่มให้โดยเฉพาะเลยค่ะ เพราะช่วงที่เราไปมีโปรโมชั่นสั่งบิสเต็กก้า รับฟรีเนโกรนีคอกเทลพอดี
ราคาเครื่องดื่มนะฮ้าบบบ
เครื่องดื่มที่ชื่อเนโกรนีคืออะไร เนโกรนี (Negroni) คือหนึ่งในคลาสสิกค็อกเทลที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกตัวหนึ่งเลยค่ะ เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี ในยุคปี 1920s ปีทองยอดฮิตที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Prohibition Era ซึ่งสกาลินีเองก็อยู่ในยุคนี้เช่นกันนะคะ
เนโกรนีเกิดจากท่านเคาท์ กามิลโล เนโกรนี (Count Camillo Negroni) จากการสั่งค็อกเทลคลาสสิกที่ชื่อว่า Americano ที่มีส่วนผสมของ คัมปารี-เวอร์มุธ-โซดา แต่วันนั้นไม่แน่ใจว่าท่านเคานท์ไปเจอเรื่องเศร้าอะไรมาถึงขอเหล้าเข้มๆ โดยขอให้บาร์เทนเดอร์เติมเหล้าจินลงไปแทนโซดา! จึงกลายเป็นสูตรของเนโกรนีทุกวันนี้ เมื่อส่วนผสมนั้นดันอร่อยคนทั่วไปพากันสั่งตาม จึงให้ชื่อค็อกเทลนี้ตามผู้คิดจะเปลี่ยนคนแรกก็คือท่านเคาท์นั่นเองหละค่าา (เครดิตจากเพจของห้องอาหารสกาลินี่นะคะ)
ซึ่งดูจากส่วนผสมแล้ว..ก็สมกับความเจอเรื่องเศร้าขอเหล้าเข้มๆ จริงๆ ค่ะ เพราะเข้มมว้ากกกกกกกกกกก เหล้าจัดเต็ม แม้จะมีกลิ่นหอมของส้มมาทำให้ชื่นใจ แต่อิชั้นดื่มไปอึกเดียวก็ล่าถอยเลยค่ะ ยอมแพ้ ทว่าคนที่เค้าดื่มจิบเรื่อยๆ จนหมดแก้วนี่เค้าบอกว่ายิ่งดื่มยิ่งอร่อยนะคะ ใครที่สายแอลฯ ก็ลองดูแล้วกันนะฮับ
มามา ไปดูกันว่าวันนั้นได้ลองกินอะไรบ้างค่ะ
ประเดิมด้วยเมนู Complementary ฟรี ขนมปังที่ขอได้ตลอดนั่นคือ ขนมปังฟองกาเซียน้ำมันมะกอก/ เพสโต/ ซัลซามะเขือเทศ
ขอบอกว่า เนื้อขนมปังคือดีย์ย์ย์มากกกกกก นุ่ม แน่น เหนียวนิดๆ มีรสชาติ บอกไม่ถูก ดีทั้งเทกซเจอร์และรสเลยค่ะ กินเพลินมาก แล้วก็ไม่ว่าจะหน้าอะไร (ตามรูป) ก็อร่อยหมดเลยค่ะ
กินแบบไม่ดิปอะไรเลยยังอร่อย แต่คนที่เค้าดิปกันเค้าก็ชอบนะคะ เป็นคอมพลิเมนทารีที่ดีมากเลยอ้ะ
Wilds Mushroom Soup 480 บาท
ครีมมี่กำลังดี ไม่เลี่ยนเกินไป กลิ่นเห็ดค่อนข้างหอมชัดดีค่ะ อร่อยนะคะ ชอบอ้ะ
Lobster Bisque 550 บาท
อีกหนึ่งซุปค่ะ ล็อบสเตอร์เนื้อเด้งมาก ตัวซุปก็รสชาติดี ทิ้งไว้ให้เย็นก็ไม่เค็มจัดแบบหลายๆ ที่นะคะ หอมด้วย อร่อยอีกแล้ว
Crispy Salmon and Black Quinoa 450 บาท
แซลมอนคุ้กมาดีค่ะ ไม่แห้งไป สุกกำลังดีเลย คีนัวก็อร่อยเช้ยยยยย คือ ยิ่งกินไปนี่ยิ่งแบบ เฮ้ยยย ทำไมมันอร่อยทุกจานเลยฟระ
Oven Baked Seafood Pasta 1,250 บาท
จะเสิร์ฟมาในภาชนะคล้ายกระทะและมีแป้งคลุมปิดหน้ามานะคะ เวลาจะรับประทาน ทางพนักงาน (วันนั้นเป็นเชฟเลยค่ะ ดูได้จากคลิปด้านล่างนะค้า) จะทำการเปิดแป้งให้ เห็นพาสต้าด้านในพร้อมซีฟู้ดค่ะ ซึ่งอันนี้แนะนำให้กินตั้งแต่เสิร์ฟใหม่ๆ นะคะ เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ความร้อนภายในจะทำให้เส้นนิ่มเกินไปได้ค่ะ ถ้ากินตอนมาเสิร์ฟเลย เส้นจะอัลดังเต้ดีมว้ากกก ซอสก็อร่อย ซีฟู้ดก็สด แล้วเชฟก็แนะนำให้เอาตัวแป้งพาสต้าที่ปิดหน้ามาฉีกแล้วก็จุ่มน้ำซอสกินนะคะ ซึ่งก็อร่อย (อีกแล้ว) ค่ะ
menu ต่อไปฮ้าบบบบบ
Fresh Oyster > Fine de Claire 12 ตัว 1,450 บาท
แต่วันนั้นเชฟมิกซ์หอยนางรมจากสามแหล่งมาให้ค่ะ เพราะอยากให้ชิมกันได้หลากหลายหน่อย ก็จะมีฟินเดอร์แคลร์สี่ตัว อีกแปดตัวจะมาจากอเมริกาสี่ แล้วก็จากเบลลองก์ ฝรั่งเศสอีกเมืองอีกสี่ตัวค่ะ
ซึ่งซอสเชฟก็มีให้ทั้งแบบเวสเทิร์นและแบบไทยนะคะ แล้วแต่เลยว่าชอบแบบไหน
ในส่วนของหอย เราชอบฟินเดอร์แคลร์สุดค่ะ ไม่เค็มจัด น้ำอร่อยตามมาตรฐานจากแหล่งนี้แหละ ส่วนจากตัวอเมริกา รสและกลิ่นไอโอดีนจะเข้มกว่าง่ะนะคะ ตัวเบลลองก์เราไม่ได้กินนะฮับ เลยเมนท์ไม่ได้
Half Grilled Chicken (350g) 540 บาท
ไก่ย่างหนังกรอบ ที่ย่างมาดี๊ดี หนังกรอบแต่เนื้อไม่แห้ง มีการหมักมาให้มีรสชาติ ตอนแรกคนอื่นชิมแล้วชมกันเปาะ ไอ้เราก็แบบ แหม..ไก่ย่าง จะแค่ไหนเชียว พอกินเท่านั้นแหละ เฮ้ยยย อร่อยฟร่ะ (เป็นมื้อที่ใช้คำว่าอร่อยได้สิ้นเปลืองมาก) ตัวซอสจะออกแนวอมเปรี้ยวนวลๆ นะคะ กินคู่กันก็จะได้อีกรสชาติหนึ่ง หรือจะกินไก่เฉยๆ เราก็ว่าอร่อยเช่นกันค่ะ
ขอคั่นด้วยเครื่องดื่มของเราค่ะ อันนี้นอนแอลฯ เป็นแนวโซดานะคะ บลูเบอร์รี่ อร่อยหละ เปรี้ยวหวานกำลังดี ดื่มเพลินเลยค่ะ คนนี้ชงเก่งอยู่น้าา รสกลมกล่อมค่ะ
Scalini Style Grilled Cod 1,200 บาท
โอ๊ยยยยย คุณขาาา มันดีย์ คือ ตอนแรกเสิร์ฟมาที่เดียวนี่ มาถึงเราไม่เหลือปลาแล้วค่ะ 5555 แต่แค่ชิมน้ำกับหอย ก็เฮ้ยยย อร่อย หอยไม่เค็มจัดอย่างบางที่ และยังสดด้วยค่ะ จากนั้นก็เลยสั่งใหม่อีกรอบเพราะอยากชิมปลาบ้าง พอได้กินเท่านั้นแหละ หูยยย มันดีอีกแล้ว ปลาดี๊ดี สด รสชาติดีมาก (มิน่าถึงหมดเร็ว) น้ำซุปก็อร่อยมาก คุ้กมาพอดีและรสชาติดีค่ะ
นี่คือกินหลายจานยังไม่เจอจานไหนไม่อร่อยเลยค่ะ เชฟเทพมากอ้ะ
จานต่อไปค่าา
Baked Alaskan King Crab Leg 650 บาท
เป็นขาปูอลาสก้า ตัดเป็นท่อนๆ ปรุงมาตามภาพนะคะ มีที่จิ้มให้ทุกอันเพื่อสะดวกในการทานค่ะ ตัวนี้เราชอบกินแบบไม่จิ้มซอสมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับจานอื่นๆ แล้ว จานนี้ยังว้าวไม่เท่านะคะ
เนื้อสเต็กบิสเต็กก้า (Bistecca) ขีดละ 425 บาท
'บิสเต็กก้า' คือทีโบนสเต็กขนาดใหญ่ที่ต้องมีขนาด 1 -1.2 กิโล เป็นสเต็กที่ขึ้นชื่อในอิตาลี ซึ่งที่นี่จะปรุงบิสเต็กก้าด้วยสูตรลับเฉพาะของเขานะคะ โดยทั่วไปเมนูนี้จะแชร์กันราวๆ 2-3 ท่านค่ะ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ กินไม่จุอย่างเรา (เหรอป้า) สี่ห้าคนกำลังดีค่ะ
เนื้อนุ่มมาก มีความชุ่มฉ่ำของเนื้อ และมีความหอมของเนื้อชัดค่ะ รักษารสชาติและคุณภาพของเนื้อได้ดีแม้จะผ่านการคุ้กแล้ว แล้วก็ทำให้เด่นขึ้นอีกด้วยค่ะ ค่อนข้างดีเลย มีซอสมาให้สามอย่างนะคะ แล้วก็สามารถเลือกที่จะสั่งเป็นส่วนอื่นได้ด้วยค่ะ อย่างวันนั้นก็มีสั่งริบอายมาเพิ่มด้วย ซึ่งนุ่มและเคี้ยวเพลินฟันมาก
จบคาวแล้วววว ไปที่ของหวานกันบ้างค่าาา
Chocolate Sambuka 360 บาท
อร่อยดีค่ะ มีทั้งช็อกโกแลตบราวนี่ที่ใช้ช็อกโกแลตดีค่ะ ตัวเทกซเจอร์ก็ดีเช่นกัน ไอศกรีมก็อร่อยมาก หอมวานิลาและรสหวานนวลกำลัง แล้วก็มีสตรอเบอร์รี่มาช่วยตัดเปรี้ยวด้วยค่ะ
เป็นเมนูของหวานที่รสชาติค่อนข้างหลากหลายค่ะ เอาใจทั้งสายช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ ไอศกรีมเลิฟเวอร์ และคนที่ชอบกินของหวานแบบมีผลไม้ 5555
Tiramisu 350 บาท
เป็นอีกที่ที่ทำเมนูนี้อร่อยค่ะ เหล้าไม่โดดเกินไป กาแฟก็กำลังดี เทกซเจอร์ก็ดี แน่นแต่ก็เบาด้วย
Affogato 320 บาท
ตัวนี้จะแยกกาแฟออกมาเพื่อเทราดต่างหากนะคะ
เมนูนี้ดีค่ะ กาแฟเข้มกำลังดี บาลานซ์กับไอศกรีมดี แต่ตัวที่เหมือนคุ้กกี้นี่ไม่ได้ชิมนะคะ
สรุปสำหรับที่นี่นะคะ
ค่อนข้างประทับใจกับเมนูอาหารคาวค่ะ อร่อยแบบเกือบครบทุกเมนูเลยแหละ ส่วนตัวของหวาน อาจจะไม่ได้มีอะไรเด่นมาก แต่ก็ถือว่าอร่อยตามมาตรฐานค่ะ (นี่ถ้าได้ของหวานครีเอทๆ อีกนี่ คนรักของหวานอย่างเราจะยิ่งปลื้มมากกกก) วันนั้นเป็นมื้อหนึ่งที่ค่อนข้างประทับใจมาก จากการกินอาหาร เราว่าเชฟน่าจะเป็นคนเพอร์เฝคชันนิสต์พอควรเลยค่ะ เพราะรสชาติมันเป๊ะไปหมดง่ะ (คือปกติกินที่อื่น จะมีขาดโน่นนิดนี่หน่อย แต่ที่นี่ดูมันพอดิบพอดีไปหมด) ประทับใจนะคะ ถ้าใครอยากลองพิสูจน์ก็เชียร์ให้หาโอกาสลองไปกินกันค่ะ
ห้องอาหาร Scalini โรงแรมฮิลตันสุขุมวิทกรุงเทพฯ ซอยสุขุมวิท 24 สอบถามข้อมูลหรือจองโต๊ะได้ที่โทรศัพท์ 02-620-6666
張貼