更多
2015-08-04
339 瀏覽
สำหรับวันนี้จะพาไปกินร้านอาหารที่เรียกได้ว่า สร้างความตื่นเต้นที่สุดนับตั้งแต่ได้รับการเชิญไปกินอาหารมาเลยหละค่ะ นั่นก็คือร้าน L’Atelier de Joël Robuchon (ลัตตาลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชอง) นั่นเองหละค่ะL’Atelier de Joël Robuchon หรือ “ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon” เป็นร้านอาหารของเชฟ Joël Robuchon เจ้าของฉายา "เชฟแห่งศตวรรษ" ผู้ครอบครอง Michelin Star สัญลักษณ์ความอร่อยที่ได้รับการยอมรับอย่างสากล จำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอาหาร คือ สูงถึง 25 ดวง!ตอนนี้ Joël Robuchon ได้เปิด “ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon” สาขาใหม่ล่าสุดเป็นลำดับที่ 9 ณ ตึกมหานครคิวบ์ ที่กรุงเทพมหานครนี้ภายใต้แนว
L’Atelier de Joël Robuchon หรือ “ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon” เป็นร้านอาหารของเชฟ Joël Robuchon เจ้าของฉายา "เชฟแห่งศตวรรษ" ผู้ครอบครอง Michelin Star สัญลักษณ์ความอร่อยที่ได้รับการยอมรับอย่างสากล จำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอาหาร คือ สูงถึง 25 ดวง!
ตอนนี้ Joël Robuchon ได้เปิด “ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon” สาขาใหม่ล่าสุดเป็นลำดับที่ 9 ณ ตึกมหานครคิวบ์ ที่กรุงเทพมหานครนี้
ภายใต้แนวคิด “ครัวเปิดสุด exclusive” ให้เหล่า foodie ผู้คลั่งไคล้ในอาหารได้ลิ้มลองกัน!
Michelin Star คืออะไร ?
Michelin Star คือ รางวัลที่ให้กับร้านอาหารทั่วโลก ไม่ว่าจะอเมริกา ยุโรป เอเชีย โดยร้านที่ได้รางวัลนั้นจะต้องมีความเลอค่า ทั้งด้านคุณภาพ เทคนิค ลักษณะเฉพาะตัวของอาหาร ความเสมอต้นเสมอปลายของรสชาติ การตกแต่งจาน บริการ ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับตั้งแต่ 1 ถึง 3 ดาว และถือเอา 3 ดาว เป็นคะแนนสูงสุด การได้ไปทานอาหารที่ร้าน Michelin Star ถือเป็นสุดยอดประสบการณ์ด้านอาหารที่น่าลิ้มลองสุดๆ!
ซึ่งร้าน L’Atelier de Joël Robuchon (ลัตตาลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชอง) นี้ไม่ได้มีแต่ที่กรุงเทพฯ นะคะ (ที่กรุงเทพฯ เพิ่งเปิดเมื่อ 22 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ) มีหลายสาขาทั่วโลกค่ะ ซึ่งสามารถไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้จากเว็บไซต์นี้นะคะ
http://www.joel-robuchon.com/en/
สำหรับสาขาของร้านนี้ก็มีทั้งหมด ณ ขณะนี้ (ตามเว็บ) 11 สาขาทั่วโลกค่ะ ได้แก่ Paris, Bordeaux, Bangkok, Hong Kong, Las Vegas, London, Macao, Monaco, Singapore, Taipei และ Tokyo ค่ะ
ซึ่งที่สาขากรุงเทพฯ นี้ จะมี Olivier Limousine ซึ่งเป็น executive chef ในการดูแลเป็นหลักนะคะ ซึ่งเว็บของร้านนี้ก็จะเป็นลิงก์นี้ค่ะ (เผื่อใครจะสนใจจองไปลองรับประทานนะคะ)
http://robuchon-bangkok.com/
ซึ่งวันที่เราไปกินคุณ Olivier Limousine ไม่อยู่ค่ะ ไปงานแต่งงานเพื่อนที่ฝรั่งเศส (วันนั้นคนทำก็เลยเป็นคุณ Marc Vasseur นะคะ) นอกจากนั้นก็มีคุณ Quentin Arnould ที่เป็น General Manager (มีรูปในลำดับต่อไปนะคะ แหะๆ) และ Chef Sommelier - Benoit Bigot (เราไม่มีรูป เพราะไปช้า (อีกแล้ว แง)) แต่ก็เอารูปจากเว็บไซต์มาให้ดูหน้าค่าตากันค่า มีประวัติด้วยนะคะ เชิญไปอ่านที่เว็บได้เลยนะฮับ
เอาหละค่ะ หลังจากเกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว ก็ขอเริ่มเข้าสู่การรีวิวด้วยการเดินทางนะคะ วันนั้นไม่ได้เอารถไปเองค่ะ (เพราะเห็นมีดื่มไวน์ด้วย) ใช้บริการแท็กซี่ยี่ห้อหนึ่งไปส่ง ซึ่งอาคารมหานครคิวบ์นี่ก็จะอยู่ใกล้ๆ กับสาทรซิตี้ทาวเวอร์เลยค่ะ เดินถัดไปอีกหน่อย หน้าตาอาคารก็ประมาณนี้นะคะ
ออกจากลิฟท์ปุ๊บ ก็จะเจอกับทางเข้าร้านแห่งนี้แบบประจันหน้าตามภาพเลยหละค่ะ
แต่ก่อนจะถึงโซนด้านใน มีห้องไพรเวทส่วนตัวเก๋ๆ แบบนี้ให้ด้วยนะคะ ชอบอ้ะ
ตัวขนมปังนี่น้องจะมาคอยสอบถามตลอดเลยนะคะว่าจะรับเพิ่มมั้ย อ้อๆ อีกอย่างในส่วนของเพสตรี้ทั้งหมดนี้นี่เป็นเชฟญี่ปุ่นทำนะคะ
เอาตัวอย่างเมนูมื้อกลางวันมาให้ดูค่ะ (มีราคาที่ถูกกว่านี้นะคะ และถ้ามื้อเย็นราคาก็จะแพงกว่านี้ด้วยค่ะ ไปดูในเว็บเอาเนาะ) ราคานี้มี ++ อีกนะคะ
จากนั้นจานแรกก็มาค่ะ น่าจะเป็น amuse bouche นะคะ เห็นเค้าอ่านกันว่า อามูส บูช นะคะ แฮ่ ซึ่งข้อมูลจาก http://pracob.blogspot.com/2013/02/amuse-bouche.html ก็ได้บอกไว้ว่า
Amuse-bouche เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส อ่านว่า “อามูส บุช” เป็นของว่างขนาดพอดีคำ ทำพอดีคำ แบบหยิบใส่ปากกินได้สะดวก
Amuse-bouche เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizers) อย่างหนึ่ง เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ส่วนใหญ่ อามูส บุช มักเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสั่ง แต่เป็นของแถมมากับมื้ออาหาร ฝ่ายพ่อครัวเป็นฝ่ายเลือกจัดเตรียมให้ ในร้านอาหารชั้นดี เมื่อไปรับประทานอาหาร เขาจะมีไวน์ (Complementing wine) ในปริมาณไม่มาก แถมมาให้ด้วย ถือเป็นการเตรียมแขกสำหรับมื้ออาหาร นับเป็นศิลปะและฝีมือประดิษฐ์ของพ่อครัว แต่เขาจะไม่ทำอามูส บุชออกมาแล้วเสิร์ฟในปริมาณมาก เขาทำมาเพียงพอประมาณ เพื่อเรียกน้ำย่อยในช่วงรอรับประทานอาหารจานหลัก (Main dish)
จานนี้มีชื่อว่า Pour Commencer ค่ะ เป็นแก้วเล็กๆ ซึ่งต้องใช้ช้อนเล็กในการตักกินนะคะ ตามในเมนูเค้าบรรยายไว้ว่าเป็น Chilled green kale veloute with spicy tomato jelly นะคะ ซึ่งเจ้า green kale veloute ก็มีหน้าตาแบบรูปที่อยู่ในจานรองนั่นแหละค่ะ
จานต่อไปค่ะ Le King Crab ซึ่งบรรยายไว้ว่า King Crab and avocado roll on a delicate grapefruit jelly ค่ะ แถมมีโปรยห้อยท้ายมาด้วยว่า 2012 Sylvaner Rosenberg, Vieilles Vignes, Domaine Barme's-Buecher นะคะ
ถ้าใครไม่อยากเสี่ยงกับรสขม (ถ้าเกิดไปเจอเหมือนเรา - จะลองชิมนิดหนึ่งก่อนก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าควรกินคู่กันมั้ย เพราะมันจะเป็นการสร้างรสชาติแบบที่เชฟอยากให้ได้กินน่ะนะคะ) ก็แนะนำให้กินตัวโรลอย่างเดียวก็ได้นะคะ เพราะแค่ตัวโรลก็อร่อยมากๆ แล้วค่ะ
อ้อ ลืมให้ดูเครื่องดื่มที่เค้ามาเสิร์ฟค่ะ มี Sparkling Water ก่อน แล้วก็จะเป็นไวน์ขาวน่ะนะคะ
ต่อไปค่ะกับ La Cerise ซึ่งบรรยายไว้ว่า Cherry gazpacho with ricotta cheese and roasted pistachio นะคะ
หลังจากจบซุปไป ก็จะมีการเสิร์ฟไวน์ค่ะ เป็นไวน์แดงตามภาพเลยนะฮับ
ต่อไปค่ะกับ La Caille (Free range quail stuffed with foie gras served with potato puree and herb salad)
จานนี้เป็นจานหนึ่งที่เราค่อนข้างประทับใจนะคะ ซอสหอมกรุ่น นกกระทาเนื้อนุ่มฉ่ำ ตัวชิ้นอกยัดไส้ฟัวกราส์ ซึ่งจานนี้โอเคเลยค่ะ กินคำแรกก็อี้มมม เลยแหละ อย่างที่บอกว่าเชฟค่อนข้างถนัดหมัดตรงในคำแรกที่กินนะคะ ตัวมันบดที่มาด้วยกันก็อร่อยมาก เนยเต็มพิกัดและสามารถเติมได้ด้วยนะคะ เป็นจานหลักที่ดีเลยหละค่ะ
張貼