更多
2015-11-30
148 瀏覽
ก่อนอื่น ต้องแบ่งรีวิวนี้เป็นสองตอน เพราะรูปเกิน 50 รูปค่ะ (ขนาดรวมรูปและตัดออกไปหลายรูปแล้วก็ยังเกิน แง) เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการรีวิวแบบสมบูรณ์ก็อ่านสองตอนนะคะ แหะๆสำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินอาหารบุฟเฟท์เก๋ๆ ไม่เหมือนใครที่ห้องอาหาร Stella Palace ของโรงแรมใบหยกสกายกันนะคะ ซึ่งที่โรงแรมนี้ที่จริงมีห้องอาหารหลายห้อง หรือแม้แต่บาร์เอย อะไรเอย มากมายค่ะ แต่วันนี้จะพาไปกินที่ชั้น 79 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาหารนี้กันนะคะ อ้อๆ แต่แถมบุฟเฟท์ผลไม้ ณ ชั้น 18 ด้วยอีกหน่อยค่ะ อิอิสำหรับการไปครั้งนี้ก็เป็นการชวนจากน้องชื่น – บาบิบูเบะฯ นั่นเองนะคะ แล้วก็มีบล็อกเกอร์ท่านอื่นๆ ไปด้วย ซึ่งเราเองไปสองรอบค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีรูปปนๆ กันทั้งรอบแร
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินอาหารบุฟเฟท์เก๋ๆ ไม่เหมือนใครที่ห้องอาหาร Stella Palace ของโรงแรมใบหยกสกายกันนะคะ ซึ่งที่โรงแรมนี้ที่จริงมีห้องอาหารหลายห้อง หรือแม้แต่บาร์เอย อะไรเอย มากมายค่ะ แต่วันนี้จะพาไปกินที่ชั้น 79 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาหารนี้กันนะคะ อ้อๆ แต่แถมบุฟเฟท์ผลไม้ ณ ชั้น 18 ด้วยอีกหน่อยค่ะ อิอิ
สำหรับการไปครั้งนี้ก็เป็นการชวนจากน้องชื่น – บาบิบูเบะฯ นั่นเองนะคะ แล้วก็มีบล็อกเกอร์ท่านอื่นๆ ไปด้วย ซึ่งเราเองไปสองรอบค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีรูปปนๆ กันทั้งรอบแรกและรอบสองนะฮับผม
ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้สำหรับท่านใดที่จะไปรับประทานอาหารที่นี่ห้องอาหารก็เปิดเร็วขึ้นจากแต่เดิม 17.30 น. เป็น 17.00-23.00 น.นะคะ หกชั่วโมงเต็มๆ ไม่มีกั๊ก ในราคา 880 บาทรวมเครื่องดื่ม (ชาร้อน-เย็น หรือ เก็กฮวยร้อน-เย็น) และกรณีถ้ารับประทานสิ่งที่ตัก/สั่งมาหมดเกลี้ยง ก็จะได้แคชแบ็คคืนท่านละ 100 บาทด้วยนะคะ
เราไปครั้งแรกขับรถไปค่ะ หลงไปหน่อยหนึ่งเหมือนกัน ฮา ก่อนจะขึ้นไปจอดที่ลานจอดรถ ซึ่งก็ต้องกดลิฟท์ไปเจอที่ล็อบบี้ที่ชั้น 18 ก่อนนะคะ ส่วนถ้าใครไปรถสาธารณะ ก็กดลิฟท์จากชั้นล่างขึ้นไปที่ชั้น 18 ก่อนเช่นกันค่ะ จะเห็นว่า ชั้น 76 กับ 78 จะเป็น Sky Restaurant (คั่นด้วยชั้น 77 ที่จะเป็น Observation Deck ค่ะ เราเคยไปด้วยหละ แต่ไม่สะดวกถ่ายรูปมาทำรีวิว จึงขอผ่านไปนะฮับ) ชั้น 79 จะเป็นห้องอาหารสเตลล่าพาเลซ ชั้น 81 เป็นบางกอกบัลโคนี่ ชั้น 82 เป็นคริสตัลกริลล์ (ซึ่งพีอาร์บอกว่าเป็ฯห้องอาหารที่สูงที่สุดในประเทศไทยอยู่นะคะ อิอิ) และชั้น 83 เป็น The Roof Top Bar ค่ะ ส่วนชั้น 84 จะเป็นชั้นที่เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่เป็นแบบพื้นหมุนนะคะ
ซึ่งชั้นนี้ก็จะเป็นที่จำหน่ายบัตรรับประทานอาหารของแต่ละห้องนะคะ ส่วนถ้าเป็นกรุ๊ปทัวร์จะเป็นชั้น 19 ค่ะ และทางโรงแรมแนะนำว่า กรณีเป็นช่วงเทศกาล แนะนำให้จองล่วงหน้านะคะ เพราะส่วนใหญ่จะเต็มตลอดค่ะ ซึ่งรอบหลังที่เราไปนี่ ทางโรงแรมมีไลน์แล้วนะคะ แล้วก็จะมีโปรฯ ปล่อยทางไลน์อยู่เรื่อยๆ อย่างช่วงนั้นก็จะเป็นเวาเชอร์เครื่องดื่มมูลค่า 100 บาทค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะมาชมวิว แต่ไม่ได้ต้องการรับประทานอาหารนะคะ ค่าขึ้นชมก็ 250 บาทค่ะ แต่ถ้าเพิ่ม 50 บาทก็จะได้บุฟเฟท์ผลไม้ที่ชั้น 18 ด้วยค่ะ (เดี๋ยวจะพาไปชมนะฮับ) แต่ถ้าจะไปกินบุฟเฟท์อย่างเดียวไม่ชมวิวก็จ่ายที่ 280 บาทค่ะ เพราะงั้นเราว่า ชมวิวด้วยกินด้วย คุ้มสุดค่ะ แฮ่...
เอาหละค่ะ จะพาไปดูบุฟเฟท์ผลไม้กันนะคะ จากล็อบบี้ เดินผ่านไป โดยให้ลิฟท์ต่างๆ อยู่ทางขวามือ จนเจอตามภาพก็เลี้ยวขวาไปค่ะ ตัวบุฟเฟท์ผลไม้จะอยู่ตรงมุมสุดของโรงแรมนะคะ สำหรับช้อยส์ของบุฟเฟท์ เราว่าโอเคมากเลยค่ะ คุ้มอ้ะ ยิ่งถ้าใครชอบกินผลไม้นี่น่าจะสวรรค์ชัดๆ เลยค่ะ มีฟองดูว์ช็อกโกแลตด้วยนะเอ้า คุ้มค่ะคุ้ม เอาหละค่ะ ไปชมวิวกันดีกว่า ซึ่งลิฟท์ตัวที่จะขึ้นไปที่เดอะรูฟท็อปบาร์และชั้น 83 ได้จะมีแค่สองตัวเท่านั้นนะคะ ส่วนลิฟท์อื่นๆ จะเป็นลิทฟ์ที่ขึ้นไปห้องพัก ซึ่งก็แบ่งออกเป็นโซนล่างกับโซนบนด้วยค่ะ ตามภาพเลยฮับ อย่างวันพ่อที่จะถึงนี้ก็มีโปรฯ มอบของขวัญให้ค่ะ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหมือนกัน รวมทั้งมีพาเหรดด้วยนะคะ แถ่นแท้ ลิฟท์เปิดมาที่ชั้น 83 ทางขวามือจะเป็นเดอะรูฟท็อปบาร์ค่ะ ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นทางขึ้นบันไดไปยังชั้น 84 นะคะ รูฟท็อปบาร์จะเปิด 17.00-02.00 น.ค่ะ โดยเสียค่าใช้จ่าย 400 บาทต่อดริ๊งค์ และสามารถขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 84 ได้เช่นกันนะฮับ เดินขึ้นไปกันค่า ออกไปปุ๊บก็จะเจอวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาเลยฮับ ส่วนพื้นที่เรายืนก็จะหมุนๆ ไปตามภาพเลยนะคะ ให้ดูทั้งภาพนิ่งและคลิปเลยค่ะ ลมพัดเย็นสบายเชียวค่ะ ชมวิวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงลิฟท์มาที่ชั้น 79 ค่ะ เพื่อจะไปยังห้องอาหารสเตลล่าพาเลซนั่นเอง ตรงบริเวณหน้าลิฟท์จะมีพระนามาภิไธย (ใช้ศัพท์ถูกมั้ยหละนั่น) ของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ ด้วยนะคะ เพราะท่านเคยเสด็จมาเสวยอาหารที่นี่ค่ะ ออกจากลิฟท์ ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าไปส่วนของไลน์บุฟเฟท์ และสำหรับคนที่จองมาไม่ถึง 8 ท่านค่ะ แต่ถ้าจองมา 8 ท่านก็จะได้ห้องส่วนตัว (ฟรี) ก็เลี้ยวซ้ายได้เลยนะฮับ ซึ่งตัวห้องส่วนตัวจะมีพนักงานดูแลห้องละคนเลยนะคะ แต่ถ้าคนเยอะๆ ห้องเล็กก็อาจจะเป็นพนักงานหนึ่งคนต่อสองห้องค่ะ ตรงด้านหน้าก่อนจะแยกเลี้ยวซ้าย-ขวา ก็มีข่าวเรื่องสิ่วท้อด้วยค่ะ พีอาร์แจ้งว่าเป็นโปรฯ ช่วงวันแม่นะคะ แฮ่..
ไปดูห้องที่เรารับประทานอาหารวันนี้กันก่อนค่ะ เค้าจัดให้เราห้องนี้นะคะ
เรียบร้อยแล้วเราเลี้ยวขวาไปดูไลน์อาหารกันดีกว่าค่าาาา
เข้าไปในห้องรวมปุ๊บ ไลน์อาหารจะเรียงรายติดผนังตามภาพเลยค่ะ มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง รายเรียงกันไปตั้งแต่อาหารทะเล มีทั้งหอย กุ้ง ปู และลูกชิ้นสูตรพิเศษของที่นี่นะคะ
อาหารจีนก็จัดเต็มกันมาทั้งหมูหัน หมูกรอบ หมูแดง เป็ดย่าง และเป็ดปักกิ่งค่ะ ต่อไปจะเป็นส่วนของของทอด (กุ้ยช่ายทอด เผือกทอด สาหร่ายทอด ปอเปี๊ยะทอด ฯลฯ ซึ่งตัวนี้จะไม่มีในคาราวานนะคะ) และพวกพาสต้าค่ะ มีสามซอสให้เลือกนะคะ ต่อไปเป็นแน
วตุ๋นๆ บ้าง สองหม้อนั้นคือ ขาหมูตุ๋นยาจีน กับเป็ดตุ๋นหยกโจ๊กค่ะ และเคาหยก (หมูสามชั้นตุ๋น) พร้อมหมั่นโถวนะคะ ต่อไปเป็นไลน์กับข้าวค่ะ ก็มีลูกชิ้นกุ้งราดซอสมันปู เต้าหู้เสฉวน กุ้งผัดพริกเกลือ เนื้อปลาทอดราดซอสเอกซ์โอ เนื้อปลาทอดราดซอสเต้าซี่ และเนื้อผัดพริกไทยดำค่ะ แต่สารภาพว่า ไม่ได้แตะแม้แต่อย่างเดียวค่ะ (เดี๋ยวอ่านรีวิวไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจ ขนาดไปสองรอบนะคะ เหอๆ) ต่อกันค่ะ พวกข้าวผัดหมี่ผัด และมีกุ้งกับปูอบวุ้นเส้น ตบท้ายที่มุมล่างขวาด้วยไก่กิเลนค่ะ ซึ่งไก่กิเลนนี่ตอนแรกจะมาชิมนะคะ (เพราะไม่มีในคาราวาน) แต่ก็..ตามเคยค่ะ อิ่มก่อน เลยไม่สามารถจริงๆ ค่ะ แง้วววว Smiley สุดท้ายของกับข้าวก็เป็นกระเพาะปลาผัดแห้งและปูผัดผงกะหรี่ค่ะ สองตัวนี้ไม่มีในคาราวานที่ไปตามห้องเช่นกันค่ะ แต่เราสามารถมาตักในไลน์บุฟเฟท์ได้ด้วยอยู่แล้วนะคะ ทว่า..แค่คาราวานก็เกือบจุกตายแล้วค่ะ เลยไม่ได้มาลองอะไรที่ไลน์บุฟเฟท์เลยค่ะ ไม่รู้ว่าต้องไปอีกกี่รอบถึงจะกินครบ เหอๆ dim sum ค่าา มีในคาราวานด้วยค่ะ เดี๋ยวรีวิวอีกทีนะฮับ สลัดค่า หลากหลายทั้งผักและธัญพืช น้ำสลัดก็มีให้พอสมควรเลยนะคะ อาหารญี่ปุ่นค่า มีให้เลือกพอควรทั้งซูชิ และซาชิมินะคะ ขนมที่มีทั้งไทย จีน ฝรั่ง ผลไม้ และซอฟท์ครีมค่าา ซึ่งตัวที่นั่ง นอกจากห้องที่อยู่ที่เดียวกับไลน์อาหารแล้วก็ยังมีห้องอื่นๆ ด้วยนะคะ ห้องน้ำค่า เก๋ตรงสัญลักษณ์นี่แหละค่ะ นึกถึงเสฉวนกันเลยทีเดียว
หมดการสำรวจไลน์อาหารแล้วค่ะ กลับไปที่ห้องที่เราจะกินกันดีกว่านะคะ แฮ่... เซ็ตอัพก็ตามภาพเลยนะคะ ส่วนเครื่องดื่ม อย่างที่บอกค่ะว่า ราคานี้รวมชาร้อน/เย็น หรือเก็กฮวยร้อน/เย็น (ซึ่งเปลี่ยนได้ตลอดนะคะ ไม่ใช่ว่าเลือกอะไรแล้วต้องอันนั้นค่ะ) นะคะ ซึ่งเก็กฮวยร้อนที่เรากิน มันจางไปค่ะ ไม่หวานน่ะโอเคแล้ว แต่เก็กฮวยก็ยังจางไปน่ะค่ะ แล้วพอเปลี่ยนเป็นชาร้อนมะลิ เราว่าโอเคกว่านะคะ แล้วก็ตอนที่นั่งโต๊ะ เค้าจะมีคอมพลิเมนทารี่อีกตัวคือ น้ำบ๊วยปั่นหรือน้ำมะนาวน้ำผึ้งปั่น ซึ่งขอบอกว่า "น้ำบ๊วยอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกก" หอม รสเข้มข้นกำลังดี อร่อยมากๆ ค่ะ ตัวมะนาวน้ำผึ้งก็อร่อย แต่น้ำบ๊วยสุดกว่าเยอะค่ะ อร่อยจริงๆ จากนั้นพนักงานจะมาถามเรื่องอาหารจานหลักกับซุปค่ะ ซึ่งก็มีช้อยส์ให้เลือกตามภาพเลยนะคะ
จานหลัก (เลือกได้ท่านละหนึ่ง) ก็ได้แก่
1. เสต็กปลาแซลมอน
2. เสต็กเนื้อสันใน
3. เสต็กซี่โครงแกะ
4. เสต็กหมูสันนอก
5. เนื้อตุ๋นไวน์แดง
6. เป็ดสอดไส้ราดน้ำแดง
7. สะโพกนางฟ้า
ส่วนซุปก็ได้แก่
1. ซุปหูฉลาม (ตัวนี้ให้ท่านละ 1 เท่านั้นนะคะ)
2. ซุปล็อปสเตอร์
3. ซุปต้มยำกุ้ง
4. ซุปเกี๊ยวกุ้งซีฟู้ด
5. ซุปเยื่อไผ่เห็ดหอม
6. ซุปรังนก
7. ซุปเป๋าฮื้อจักรพรรดิ
8. โจ๊กจักรพรรดิ
เอาหละค่ะ เลือกกันเสร็จสรรพแล้ว ก็เริ่มคาราวานกันเลยค่ะ คาราวานจะมีทั้งหมด 12 คันค่ะ คือ อาหารคาว 8 คันและอาหารหวาน 4 คันนะคะ และอย่างที่บอกว่า จะไปตักจากไลน์บุฟเฟท์อีกก็ได้ค่ะ แต่จากประสบการณ์สองครั้ง แค่จากคาราวานก็จุกมาถึงคอแล้วค่ะ เง่อ...
มาเริ่มกันกับคันที่หนึ่งนะคะ เป็นแอพพิไทเซอร์ค่ะ ซึ่งก็มีทั้งลาบหมู ทอดมันปลา โบโลน่า ปอเปี๊ยะเวียดนาม ยำทูน่า และก๋วยเตี๋ยวลุยสวนค่ะ แต่ที่คาราวานมีไก่แช่เหล้าเพิ่มมาจากเมนูด้วยนะคะ รอบแรกจำไม่ได้ว่ากินอะไรไปบ้างค่ะ (ทิ้งระยะนานจนที่จดไว้ครั้งแรกหายไปแล้วด้วยค่ะ แหะๆ) แต่รอบที่สองกินสามอย่างตามภาพนะคะ บรรยายแต่ละอันเลยแล้วกันเนาะคะ
ทอดมันปลา โอเค รสดีค่ะ น้ำจิ้มรสชาติดีด้วยค่ะ ส่วนก๋วยเตี๋ยวลุยสวน น้ำจิ้มเค็มนำไปหน่อยค่ะ และกุ้งแห้งเยอะไป แถมกุ้งแห้งเป็นกุ้งเค็มเลยเค็มโดดเลยค่ะ ส่วนลาบหมู โอเคนะคะ รสใช้ได้ แต่ปกติเรากินจัดกว่านี้อีกนิด ทว่าสำหรับคนปกติ (อิชั้นมันผิดปกติ ฮา) เราว่าโอแล้วค่ะ ต่อไปเป็น wagon ซุปนะคะ ห้ามพลาดซุปหูฉลามเด็ดขาดนะคะ รสชาติดีเลยหละค่ะ แม้หูฉลามจะไม่ได้มาเป็นแผ่น แต่รสชาติโอเคค่ะ
(ป.ล.แต่ดูจากรีวิวของชื่น ของชื่นได้เป็นแผ่นง่าา ของเค้าเป็นเส้นๆ ซะงั้น แหะๆ) ส่วนซุปอื่นๆ รอบสองเรากินหูฉลาม เยื่อไผ่ เกี๊ยว และโจ๊กจักรพรรดิค่ะ ส่วนรอบแรกมีลองรังนก ซุปจักรพรรดิ เพิมด้วยค่ะ
โดยรวมเราชอบหูฉลามที่สุดค่ะ พอกินตัวนี้ไป ตัวอื่นไม่ค่อยโดนมากสำหรับเรานะคะ แต่เรียกว่าซุปที่นี่เป็นเมนูหนึ่งที่รสชาติดีค่ะ
wagon ที่สองเป็นติ่มซำค่าา ตัวเลือกก็ตามภาพเลยนะฮับบบ วันนั้นที่ลองกินก็มีดังนี้นะคะ
ซาลาเปาไส้ครีมกับไส้ลาวา ซึ่งไส้ลาวา เยิ้มน้อยไปหน่อย แต่รสชาติดีค่ะ (ถึงจะไม่สุดเท่าที่โปรดของเราก็ตาม)
ตัวฮะเก๋ากุ้ง รอบสองกุ้งเด้งน้อยกว่ารอบแรกค่ะ
ขนมจีบหูฉลาม เราไม่ได้กินนะคะ แต่เพื่อนร่วมโต๊ะบอกว่าอร่อย แต่ตอนไปรอบสองมีเมนูพิเศษค่ะ เป็นซาลาเปารูปเห็ด (ทางพีอาร์บอกว่าชื่อซาลาเปาเห็ดหอม) ซึ่งมีหลากหลายไส้มากๆ ค่ะ ทั้งไส้ผัก (ก้านสีเขียว) ไส้เผือก (ก้านสีม่วง) ไส้หมูแดง (ก้านส้ม) ไส้หมูตุ๋น ไส้เห็ดหอม ไส้งาดำและไส้ถั่วแดงนะคะ
วันนั้นจ๊ะจ๋ากับชื่น - บาบิฯ ได้กินไส้หมูแดง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าอร่อยค่ะ ส่วนเราได้ชิมไส้ถั่วแดง ซึ่งอร่อยนะคะ แต่เปลือกซึ่งเป็นโกโก้มันกลบรสไปหน่อยน่ะค่ะ ส่วนไส้งาดำก็หอมงาดำดีค่ะ
ต่อไปกับขบวนที่สามนะคะ เป็นสลัดค่ะ ก็มีทั้งสลัดหมู สลัดกุ้งทอดผลไม้ และสลัดเนื้อค่ะ ตอนรอบสองมีสลัดหมูเซ็ตมาเป็นจานให้ดูตามภาพด้วยนะคะ
แต่ตอนเลือกจาก wagon คนร่วมโต๊ะเลือกกินสลัดกุ้งทอดผลไม้ทั้งคู่เลยค่ะ แต่เราไม่ได้กิน เพราะมีที่หมายอื่นอยู่แล้วค่ะ อิอิ
ขบวนที่สี่ค่ะ กับส้มตำและยำต่างๆ นานา อิอิ แน่นอนว่าเราเล็งอันนี้ไว้หละค่าา เราสั่งตำผลไม้มานะคะ ซึ่งทั้งสองรอบสั่งเหมือนกัน (ฮา) รอบสองนี่ทำมารสชาติถูกใจเรามากค่ะ รสจัดจ้าน อร่อย ผลไม้สด ถึงกับเบิ้ลจานที่สอง แต่พอจานที่สองใส่งาขาวมาเยอะกว่ารอบแรกค่ะ รสเลยดร็อปลงนิดหนึ่ง เราชอบแบบงาขาวน้อยๆ มากกว่าน่ะนะคะ เราว่ารสมันพอดีกว่าน่ะค่ะ
wagon ที่ห้ากับอาหารญี่ปุ่นค่า เป็นอีกหนึ่ง wagon ที่เราไม่ได้แตะเลยค่ะ มีรอบสองน้องจ๊ะจ๋าสั่งปลาดิบมานะคะ แต่ไม่ได้ถามน้องว่าเป็นไงบ้าง แหะๆ
ขอคั่นครึ่งทางของคาราวานนะคะ ที่นี่จะมีเอนเตอร์เทนหลายอย่างเหมือนกัน อย่างรอบแรกจะเป็นการทำลูกโป่งแฟนซีค่ะ มีหลายคนคอยเวียนๆ กันไป และที่ห้องไลน์อาหารก็มีวงดนตรีเล่นดนตรีจีนๆ ด้วย แต่ตอนไปรอบสอง เป็นวงดนตรีชาวฟิลิปปินส์ค่ะ สามท่าน มีคลิปให้ฟังเพลงเพราะๆ กันด้วยนะคะ
วากอนที่หกค่า กับเป็ดปักกิ่งและหมูหันนะคะ มาโคลสอัพเป็ดปักกิ่งและหมูหันกันนะฮ้าบบบบ
สำหรับการกินนะคะ รอบแรกหมูหันไม่เด่นมากนักค่ะ แต่รอบสองนี่อร่อยล้ำเลิศมาก กรอบกำลังดี หอมค่ะ จะกินเปล่า หรือกินกับตัวหมั่นโถว หรือกินกับแป้งก็อร่อยค่ะ ส่วนตัวเป็ดปักกิ่ง โอค่ะ น้ำจิ้มรสค่อนข้างเข้มนะคะ ไม่ควรใส่เยอะค่ะ แต่สองตัวนี้เราชอบหมูหันมากกว่านะคะ นอกจากนั้นก็ได้ลองเคาหยกกับหมั่นโถวด้วยค่ะ โอนะคะ ตุ๋นมาได้ดีค่ะ หมั่นโถวก็เนื้อเหนียวนิดๆ ใช้ได้ค่ะ
張貼