OpenRice Index
   Thai | English
Achaya
This is Achaya .
Member 89 First(s)
Reviews230 Review(s)
編輯推介數目92 Editor's Choice
Recommended68 Recommended
Popularity2048 View(s)
Replies in Forum0 Comment(s)
Upload Photos2446 Photo(s)
Upload Videos0 Video(s)
My Recommended Reviews82 Recommended Review(s)
My Restaurant224 My Restaurant(s)
Follow9 Following
粉絲71 Follower(s)
Achaya  Level 4
Follow Follow  Comment Leave a Message 
Sort By:  Date Smile Smile Cry Cry  Editor's Choice  Overall Score 
 
 
 
 
 
  Full View Full View   |   Map View Map View
Showing 1 to 5 of 230 Reviews in Thailand
Share on TwitterShare on Facebook
Categories : Japanese | Restaurant | Ramen | Casaul Dining

Ippudo  เป็นร้านราเมงที่มีต้นกำเนิดมาจาก Hakata (เมือง Fukuoka) บนเกาะ Kyushu  โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985   และก็ได้กลายเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่นเรื่อยมา  สมกับชื่อของร้านซึ่งมีความหมายว่า single+wind+hall  (เทียบกับสำนวนไทยก็ต้องบอกว่าเป็นคลื่นลูกใหม่) ที่ช่วยปัดเป่าภาวะถดถอยของธุรกิจราเมงใน Fukuoka ณ.ช่วงเวลานั้น  อีกทั้งยังขยับขยายสาขาราวกับจะพัดพาเอารสชาติความอร่อยของ Hakata Ramen ให้ขจรไกลไปยังประเทศต่างๆอีกด้วย  ปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีร้าน Ippudo อยู่กว่า 150 สาขาในเมืองใหญ่ของกว่า 13 ประเทศ อาทิเช่น New York, Hong Kong, Sydney, London, Paris, Singapore…ฯลฯ  ส่วนในกรุงเทพมหานครของเรานี้ก็มีอยู่ถึง 5 สาขาด้วยกัน คือที่ Central Embassy, Emporium, Central ปิ่นเกล้า, Silom Complex และ Terminal 21  ...โดยครั้งนี้เรามาลองที่สาขา Central Embassy นี่เองค่ะ

 

 

 


****-Profile-****

ผู้ก่อตั้ง  Ippudo ขึ้นก็คือเชฟ Shigemi Kawahara – เจ้าของตำแหน่ง Ramen King ประจำปี ค.ศ. 2005 และผู้ชนะเลิศการแข่งขันในรายการ TV Champion Ramen Chef ถึง 3 สมัยซ้อนในช่วงปี ค.ศ. 1995-1998 จนได้รับการบันทึกชื่อไว้ใน The Ramen Hall of Fame  เลยทีเดียว

...ด้วยวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่ตั้งไว้ว่า  “คิดค้น พัฒนาอย่างต่อเนื่องแต่คงความเป็น Ippudo” (To continuously innovate to remain true) – ราเมงของ Ippudo จึงมุ่งเน้นที่การใช้วัตถุดิบสดใหม่คุณภาพดี ปรุงด้วยขั้นตอนพิถีพิถันตามแบบฉบับราเมงญี่ปุ่นแท้ๆ  แต่ก็ไม่ลืมที่จะคิดค้นพัฒนาสูตรอาหารเพื่อนำเสนอรสชาติใหม่ๆตลอดเวลา ...และหลายๆเมนูที่เราได้ลองไปในครั้งนี้ก็สะท้อนแนวคิดดังกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจนค่ะ

****-เมนูที่ได้ลอง-****

[The Ramen]

ราเมงสไตล์ของ Ippudo นั้นเป็น Hakata Ramen   มีความโดดเด่นที่น้ำซุปกระดูกหมู (Tonkotsu)   ซึ่งทางร้านได้นำกระดูกจากส่วนต่างๆของหมูมาเคี่ยวเป็นเวลากว่า 15 ชั่วโมง   จนได้ออกมาเป็นน้ำซุปสีขาวครีมนวล มีรสชาติกลมกล่อม และปรับระดับความเข้มข้นให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคในประเทศต่างๆทั่วโลก  ส่วนเส้นราเมงที่ใช้นั้นมีทั้งแบบเส้นตรงเรียวบางและเส้นหยักเพื่อให้เข้ากับรสชาติของแต่ละเมนู โดยเป็นเส้นที่ทางร้านนวดเองด้วยมือแบบวันต่อวัน การันตีทั้งความเหนียวนุ่มและสดใหม่จากฝีมือของทีมเชฟที่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับมาจากเชฟ Shigemi Kawahara เองเลยทีเดียว  นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกระดับความนุ่มของการลวกเส้นได้ถึง 4 ระดับคือ Soft / Normal / Hard / Very Hard ซึ่งส่วนตัวเราชอบแบบ Hard เพราะรู้สึกว่ามีความสู้ฟันแบบ Al Dente กำลังดี เคี้ยวสนุก ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไปน่ะค่ะ

● Shiromaru Motoaji  (ราคา S 150 บาท / R 200 บาท) – Tonkotsu Ramen ชามขาวกับน้ำซุปสูตร Original ของทางร้าน ซึ่งเป็นสไตล์ของ Hakata Ramen แบบดั้งเดิม  น้ำซุปหอมกลมกล่อมเข้มข้นกำลังดี เส้นราเมงแบบเส้นตรงเรียวบางเป็นพิเศษ ใส่หมูชาชูที่ทำจากเนื้อหมูส่วนไหล่ซึ่งติดมันน้อย เสริมรสด้วยถั่วงอก เห็ดหูหนูคิคุราเกะ และต้นหอม  บดกระเทียมสดใส่เข้าไปอีกหน่อยนี่คืออร่อยเป๊ะเว่อร์ ...เมนูนี้เราติดใจมาตั้งแต่ครั้งที่ได้ไปลองที่ญี่ปุ่น  กลับมาลองที่สาขาในกรุงเทพฯก็ยังรักอยู่ เรียกว่าเป็นเมนูโปรดเลยล่ะค่ะ

 


● Akamaru Shinaji (ราคา S 160 บาท / R 220 บาท) – ราเมงชามแดงที่ใช้น้ำซุป Tonkotsu เช่นเดียวกับเมนูที่แล้ว แต่เพิ่มรสชาติด้วย Miso Paste สูตรพิเศษของทางร้าน  เสริมด้วยกลิ่นหอมๆของน้ำมันกระเทียมโคยุ และเลือกใช้เนื้อหมูส่วนท้องซึ่งติดมันเยอะกว่าเพื่อให้สมดุลกลมกลืนกับรสชาติที่เข้มข้นขึ้น  ส่วนเส้นและเครื่องอื่นๆจะเหมือน Shiromaru Motoaji ค่ะ  ส่วนตัวแล้วตอนที่ลองเมนูนี้ที่ญี่ปุ่นเรารู้สึกว่าน้ำซุปมีความเข้มข้นมากจนเลี่ยน ทำให้ไม่ปลื้มเท่าไหร่ แต่พอมาลองเมนูนี้ที่เมืองไทยกลับได้ระดับความเข้มข้นกลมกล่อมที่ทานกำลังสบาย อร่อยสูสีกับราเมงชามขาวแบบเลือกลำบากเลยทีเดียวนะ

 

 


● Karaka-men (ราคา 230 บาท) –เป็นราเมงสูตรเผ็ดร้อนที่ได้จากการนำน้ำซุปกระดูกหมูสูตรต้นตำรับมาเติม Spicy Miso เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และหมูสับ เส้นราเมงสำหรับชามนี้จะเป็นเส้นหยัก เพื่อให้เกี่ยวหมูสับติดเส้นขึ้นมาได้ง่ายๆ ส่วนหมูชาชูจะใช้เนื้อหมูส่วนท้องเช่นเดียวกับชามที่แล้วค่ะ

 


[Seasonal Menu]

● Clam Chowder Ramen (ราคา 260 บาท) – เมนูนี้เป็นการนำเอาซุปหอยลาย หรือ Clam Chowder สไตล์อเมริกันมาผนวกรวมเข้ากับราเมง โดยเส้นที่ใช้จะเป็นเส้นแบบหนา-เหนียว-นุ่ม ปรุงรสด้วยพริกไทยดำ  ส่วนซุปเป็นซุป tonkotsu เข้มข้นที่ปรุงด้วยซอส Bechamel และ Truffle Oil  ใส่หอยลาย (Asari Clam) , มันฝรั่งทอด, ไข่ยางตูม  แล้วท็อปด้วย Parmesan Cheese ขูดมาพูนๆ  ทานกับเบคอนแผ่นบางเฉียบกรอบกริ๊บที่พาดมากับขอบชาม  ตอนจะทานทางร้านแนะนำให้คนผสมน้ำซุปกับชีสเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นหอมชีสยิ่งขึ้นนะคะ

 

 


ทราบมาว่า Clam Chowder Ramen นี้แรกเริ่มเดิมทีเป็นราเมงที่ทำขึ้นเพื่อเสิร์ฟที่ Ippudo สาขา New York   จากนั้นก็นำมาขายในงาน Tokyo Ramen Show  ผลปรากฏว่าได้รับความนิยมกันล้นหลามจนที่ญี่ปุ่นต้องทำเป็นบะหมี่สำเร็จรูปออกมาวางขายใน 7-11 กันเลยทีเดียว  สำหรับที่กรุงเทพฯเรานี้จะมีเมนูนี้ให้สั่งกันถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 นี้เท่านั้น  ถ้าใครอยากลองก็ต้องรีบหน่อยล่ะค่ะ

ในแง่รสชาติเท่าที่ได้ลองดูนั้น น้ำซุปมีความครีมมี่หอมชีสมากทีเดียว เส้นก็หนาสู้ฟันสอดคล้องกันดีกับความข้นของน้ำซุป  ถ้าใครชอบทานพาสต้าสไตล์ซอสครีมหรือพวก carbonara อยู่แล้วน่าจะถูกใจมากมาย   ส่วนตัวเรารู้สึกว่าทานคำแรกๆอร่อยมาก แต่ให้ทานหมดทั้งชามคนเดียวคงไม่ไหวเพราะรสชาติออกจะหนักท้อง ทานไปทานมาชักเลี่ยน เหมาะกับจะสั่งเวลาพาเพื่อนมาช่วยแบ่งด้วย แต่ถ้าคนรักชีสก็คงซัดหมดได้สบายๆปลื้มปริ่มกันไปล่ะนะ

[Other Dishes]

● Ippudo Hakata Style Gyoza (ราคา 90 บาท) – เกี๊ยวซ่าชิ้นขนาดพอดีคำ แป้งบาง ไส้หมูรสดียัดมาแน่นใช้ได้ เสิร์ฟบน Hot Plate ร้อนจี๋ ทานเพลินแบบคีบกันรัวๆไม่กลัวปากพองเลยล่ะ

 


● Aburi Salmon Roll (ราคา 3 ชิ้น 150 บาท / 6 ชิ้น 240 บาท) – เป็น Salmon Roll ชิ้นพอดีคำที่ sear ผิวมาเบาๆพอหอมๆ ปรุงรสด้วยซอสมาโย ไข่ mentaiko และท็อปด้วยไข่กุ้งโทมิโกะ อร่อยดีทีเดียวค่ะ

 


● บาทานิคุ บัน (ราคา 80 บาท) – เป็นอีกหนึ่งเมนูที่นิยมที่ New York มากๆ – Pork Bun แป้งคล้ายหมั่นโถวนุ่มๆ ยัดไส้เนื้อหมูส่วนท้องที่ตุ๋นมานุ่มๆชุ่มน้ำซอส  เห็นแล้วก็แอบนึกถึงเมนูขาหมูหมั่นโถวของจีน  แต่มีเพิ่มเติมคือยัดไส้ผักกาดแก้วทามายองเนสมาใน Bun ด้วย  ส่วนตัวถือว่าทานได้เพลินๆแต่ไม่ถึงกับว้าวนะ

 

 


● Goma Q (ราคา 70 บาท) –แตงกวาญี่ปุ่นเนื้อเนียน – สด – กรอบ ราดซอสงาที่หอมกลิ่นน้ำมันงาจริงจัง ปรุงรสอ่อนๆพอให้สดชื่น เสิร์ฟมาเย็นๆ   เป็นของว่างเบาๆที่ทานสลับกับอาหารจานอื่นๆได้ดีทีเดียว

 


● Ippudo Chicken Nanban (ราคา 120 บาท) – Chicken Nanban นี้เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในเมือง Miyazaki ค่ะ เป็นไก่ชิ้นขนาดย่อมๆ ชุบด้วย sugared vinegar  ทอดมาจนหนังกรอบ เนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมมากับ Tartar Sauce ที่มีส่วนผสมของไข่ต้ม (ทั้งไข่แดงและไข่ขาว)บดละเอียด  หัวหอม พริกไทยดำ  มี  lemon วางเคียงมาเพิ่มความสดชื่น  ชิมดูรู้สึกว่าที่จริงแค่ทานไก่เปล่าๆก็อร่อยลงตัวแล้ว  แต่พอมีซอส Tartar ให้จิ้ม มี lemon ให้ตัดเลี่ยน  ก็ทำให้รสชาติหลากหลาย ทานได้ไม่เบื่อดี ชอบมากเลยล่ะ  เห็นว่าเมนูนี้ได้รับความนิยมกันมากที่ฮ่องกงด้วยนะ 

 


[Dessert]

● Cheese Cake Kakigori (ราคา 170 บาท) – เมนูนี้เป็นอะไรที่ทำเอาเราทึ่งมากมาย  คือไม่นึกไม่ฝันเลยว่าร้านราเมงจะทำขนมหวานออกมาได้เลิศขนาดนี้  งานนี้บอกเลยว่าร้านขนมหลายๆร้านต้องมีอายค่ะ   …Kakigori ถ้วยนี้ประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็งที่เนียนละเอียดขั้นสุด มีความหอมและเนื้อสัมผัสแน่นๆแบบครีมชีสแทรกอยู่ในน้ำแข็ง ทำให้รู้สึกนุ่มนวล ทานคู่กับชีสเค้กก้อนนุ่มๆที่ฝังอยู่ด้านในได้อย่างลงตัว เมนูนี้เสิร์ฟ Strawberry Sauce ที่ทำจากสตรอว์เบอร์รี่สดเคียงมาให้ราดด้วย รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่นเห็นชิ้นสตรอว์เบอร์รี่แทรกอยู่ในซอสกันชัดๆเลย  ฟินระเบิดระเบ้อ!!

 


ในฐานะเชฟราเมงระดับแชมเปี้ยน  คุณ Shigemi Kawahara เคยกล่าวไว้ว่าราเมงแต่ละเมนูที่เขาสรรค์สร้างขึ้นนั้นเปรียบเสมือน “A cosmos served in a bowl” ...คือทุกองค์ประกอบในชามต้องได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันให้เข้ากันได้  มีความกลมกลืนกันทั้งน้ำซุป, เส้นที่เลือกใช้, toppings ต่างๆ และเครื่องปรุง  ดุจดั่งเป็นจักรวาลเล็กๆอยู่ในชามราเมง ...มาวันนี้เมื่อธุรกิจเติบใหญ่  ทางร้านมีเมนูอาหารแตกไลน์ออกไปอีกมากมาย แต่ทุกจานก็ดูจะยังยึดมั่นตามหลักปรัชญาของเชฟผู้ก่อตั้งแบรนด์อยู่เช่นเดิม  ถ้าอยากพิสูจน์ก็แวะไปลองกันได้ค่ะ
 
Recommended Dish(es):  Cheese Cake Kakigori, Shiromaru Motoaji, Akamaru Shinaji
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


Date of Visit: Jul 31, 2017 

Spending per head: Approximately ฿500

Other Ratings:
Taste
 4  |  
Environment
 4  |  
Service
 4  |  
Clean
 5  |  
Price
 3

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • Interesting

  • Touched

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
Recommend
Share on TwitterShare on Facebook
Categories : Lebanese | Indian | Restaurant | Casaul Dining | Family Style Dining

Al Saray Fine Lebanese and Indian Cuisine …เป็นชื่อร้านที่บ่งบอกชัดเจนว่าต้องการนำเสนออาหารเลบานอนและอาหารอินเดียที่ปรุงขึ้นด้วยความประณีตละเมียดละไมระดับ Haute Cuisine   เชื่อมโยงรสชาติจากสองอารยธรรมให้มาทานร่วมโต๊ะเดียวกันได้ ดุจดั่งที่ Spice Trade Route เคยเป็นเส้นทางเชื่อมโยงการขนส่งเครื่องเทศจากอินเดีย ผ่านประเทศแถบอาหรับ เลาะชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าสู่ยุโรปในยุคโบราณกาลนั่นเลย อาหารเลบานอนและอาหารอินเดียนั้นแม้ดูเผินๆจะมีการใช้เครื่องเทศเหมือนกัน แต่ในความเหมือนก็ยังมีความแตกต่าง  อาหารเลบานอนใช้เครื่องเทศที่ให้กลิ่นรสสดชื่นควบคู่ไปกับพืชผักสดใหม่ อาหารอินเดียเน้นความอร่อยจากเครื่องเทศรสร้อนแรง อาหารเลบานอนมีรากฐานสืบทอดมาจากอาหารยุโรปและ Ottoman Turk  ส่วนอาหารอินเดียนั้นมีความใกล้เคียงกับอาหารเปอร์เซีย ...การมาทานอาหารที่ Al Saray จึงเสมือนได้มาสำรวจเส้นทางสายเครื่องเทศผ่านทางรสชาติอาหารที่ปรุงมาอย่างวิจิตรด้วยฝีมือของเหล่าทีมเชฟจากทั้งสองประเทศ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจทีเดียวค่ะ

****-Profile-****

Al Saray เป็นร้านในเครือ Bangkok Air Catering  มีสาขาแรกอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย 7 และเพิ่งมาเปิดสาขาที่ 2 ที่สีลมเมื่อราวปีที่แล้วนี้เองค่ะ ทางร้านเน้นอาหารเลบานอนและอินเดียแบบดั้งเดิม วัตถุดิบทั้งหมดต้องนำเข้ามาจากตะวันออกกลาง การันตีคุณภาพและรสชาติที่ไม่ต่างไปจากประเทศเจ้าถิ่นเลยทีเดียว  เมื่อได้ฝีมือระดับ Head Chef Hassan Farran ผู้มีประสบการณ์จากโรงแรม 5 ดาวทั้งใน Beirut และ Dubai - ร่วมกับเชฟชาวอินเดียจาก New-Delhi คือ Chef Sampooran “Sam” Singh Panwar – Al Saray จึงเป็นร้านอาหารระดับ Fine Cuisine ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยได้รับคัดเลือกให้เป็น Thailand’s Best Restaurants จากนิตยสาร Thailand Tatler ในปี 2013-2014 ส่วนในปี 2017 นี้ก็ยังเป็น Nominee เข้าร่วมชิงรางวัล World Luxury Restaurant Awards อีกด้วย 

****-ทำเลที่ตั้ง / บรรยากาศ-****

ร้านตั้งอยู่บนถนนสีลม ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง ฝั่งตรงข้ามกับ Silom Complex พอดิบพอดีค่ะ ตัวร้านเป็นตึก 3 ชั้นที่มีหน้ากว้างเพียงห้องเดียว แต่ภายในกลับเนรมิตให้ดูสวยสง่าเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ...ทั้งแสงสลัวนุ่มนวลจากโคมไฟหลากสีสันสไตล์อาหรับที่ประดับตามมุมต่างๆ  ทั้งการตกแต่งผนังด้วยลวดลายอ่อนช้อยของศิลปะยุค Islamic Golden Age ที่ชวนให้จินตนาการถึงปราสาทหลังงามของเหล่าสุลต่านแห่งอาณาจักร Ottoman  สอดแทรกผสมผสานกับดีไซน์เรียบหรูของเฟอร์นิเจอร์และ Drink Bar แบบร่วมสมัยได้อย่างลงตัว  บรรยากาศโดยรวมจึงดูหรูหรามีรสนิยม คู่ควรกับชื่อร้าน “Al Saray” ที่มีความหมายว่า “พระราชวัง” เป็นที่สุด...

 



 


 


สำหรับชั้น 1 ของร้านที่มี Drink Bar ขนาดใหญ่ตั้งอยู่นั้นดูจะเหมาะกับการ hangout สังสรรค์ หรือจัดมื้อเร็วๆง่ายๆ  ส่วนถ้าเป็นคู่รักหรือครอบครัวที่ต้องการความเงียบสงบเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกหน่อยขอแนะนำเป็นชั้น 2 ค่ะ  ซึ่งในส่วนของชั้น 2 นี้นอกจากจะมีที่นั่งในห้องแอร์สวยๆแล้วยังมีส่วนของ outdoor terrace เป็นเก้าอี้โซฟาน่าเอกเขนกให้สบายอีกด้วย   ชั้น 3 ของทางร้านจะเป็นห้อง private เหมาะสำหรับจะมาทานกันเป็นหมู่คณะหรือรับรองแขกผู้ใหญ่ ถ้าสนใจแนะนำให้ติดต่อโทร.จองก่อนนะคะ
ชั้น 1

ชั้น 1

 


ชั้น 1

ชั้น 1

 


ชั้น 2

ชั้น 2

 


Outdoor Terrace ชั้น 2

Outdoor Terrace ชั้น 2

 


Outdoor Terrace ชั้น 2

Outdoor Terrace ชั้น 2

 


โคมไฟระย้าที่บันได

โคมไฟระย้าที่บันได

 


ชั้น 3

ชั้น 3

 


****-เมนูที่ได้ลอง-****

[Salad]

● Taboule (ราคา 140 บาท) – เป็นสลัดสไตล์เลบานีสที่ทำจาก Parsley สด  มะเขือเทศ หัวหอม นำมาหั่นละเอียดแล้วคลุกเคล้ากับข้าวสาลี Bulgur กรุบกรอบ ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอกและเลมอน ออกมาเป็นรสชาติที่สดชื่นมากๆ ซึ่งทางร้านก็ปรุงมาได้แบบกำลังดีเลยล่ะค่ะ  ธรรมชาติของเมนูนี้จะมีกลิ่นรสที่ค่อนข้างแรง ทำให้เหมาะกับจะสั่งมาทานร่วมกับเมนูอื่นๆเป็น Side Dish เพื่อช่วยเพิ่มความหลากหลายหรือเบรกความหนักของอาหารจานเนื้อ มากกว่าจะทานเป็นอาหารจานเดียวนะคะ

 


● Fattouch (ราคา 140 บาท)– สลัดผักรวม เคล้าด้วย Lemon Dressing ผสมทับทิม แต่งรสด้วย Sumac ซึ่งเป็นเครื่องเทศของทางตะวันออกกลาง รสชาติกึ่งเปรี้ยวกึ่งเค็ม ท็อปด้วยแผ่นขนมปังกรุบกรอบ เป็นเมนูสลัดที่ถูกใจเรามากมาย เพราะได้กลิ่นรสสดชื่นจาก Lemon สดๆเน้นๆ จะทานเดี่ยวๆก็ได้ จะทานแกล้มอาหารอื่นๆก็เพลินค่ะ

 


[Cold Mezza Starter]

อาหารจำพวก Mezza ของเลบานอนนั้นเปรียบไปก็เสมือน Meze ของตุรกี หรือ Tapas ของสเปน  คือเป็นอาหารจานเล็กจานน้อย เหมาะจะมานั่งสังสรรค์แชร์กันทานแกล้มเครื่องดื่ม  โดยมีทั้ง Hot Dish และ Cold Dish หลากหลายชนิด มักสั่งมาทานควบคู่กับสลัด จะนำมาทานเล่นเพลินๆก่อนจานหลักก็ได้ จะสั่ง Mezza หลายๆอย่างมาทานจนอิ่มแทนจานหลักไปเลยก็ได้เช่นกัน  สำหรับ Cold Mezza ที่เราได้ลองนี้จะเป็นจำพวก dip ทั้ง 2 เมนู  โดยส่วนใหญ่นิยมทานกับ Flat breads ซึ่งทางร้านก็มีทั้ง Fresh Lebanese Bread และ Naan ให้เลือกสั่ง แต่จะทานเปล่าๆโดยไม่มีขนมปังก็ย่อมได้อีกนั่นล่ะค่ะ

 


● Hummus (ราคา 140 บาท) – คำว่า Hummus นั้นมาจากภาษาอาราบิคที่แปลได้ว่า “Chickpeas” ซึ่งบ่งบอกที่มาของเมนูนี้ได้ดีทีเดียว แม้ปัจจุบันนี้เมนู Hummus ในหลายๆแห่งจะมีการดัดแปลงพลิกแพลงสูตรไปต่างๆ (บางสูตรไม่มี Chickpea ผสมอยู่เลยก็ยังจะเรียกว่า Hummus)แต่สำหรับจานนี้ที่เราได้ลองจะเป็น Hummus แบบ original แท้ๆ ที่ทำจาก Chickpeas หรือถั่วลูกไก่นำมาแช่น้ำค้างคืนแล้วต้มจนนิ่ม บดผสมกับ Tahini หรือซอสงา น้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว โรยหน้าด้วยถั่วลูกไก่ต้มเม็ดอวบๆมาพูนๆ แต้มเครื่องเทศแต่งลวดลายไว้ด้านบนเพื่อเสริมรสชาติค่ะ...

 

ต้องบอกก่อนว่าปกติแล้ว Hummus นั้นไม่ใช่เมนูโปรดของเรา เพราะไม่ค่อยชอบกลิ่นของ Chickpeas กับสัมผัสแบบถั่วบดที่ของหลายๆร้านยังมีความหยาบให้รู้สึกได้นิดๆ  แต่ Hummus ของที่นี่นั้นเด็ดขั้นสุดชนิดที่เปลี่ยนใจเราได้เลย  กลิ่นถั่วไม่แรง (ซึ่งอาจเป็นเพราะคัดมาแต่ถั่วลูกไก่เกรดท็อปสดๆใหม่ๆก็เป็นได้) เนื้อสัมผัสบดจนเนียนเป็นครีมฟูทั้งนุ่มทั้งเบา ละมุนลิ้นที่สุด ระดับความเนียนละเอียดนั้นถึงขั้นผิวหน้าเป็นมันวาวสะท้อนแสงดั่งเซรามิคเนื้อดีเลยทีเดียว  ทางด้านรสชาติก็กลมกล่อมนุ่มนวล มีเปรี้ยวมีเผ็ดนิดๆกำลังสมดุล เป็น Hummus ที่โชว์ทั้งทักษะฝีมือและความพิถีพิถันละเมียดละไมสมกับที่เป็น Fine cuisine อย่างแท้จริงค่ะ

● Mutable Batenjan (ราคา 160 บาท) – Hummus ก็ว่าอร่อยแล้ว มาเจอจานนี้กลับฟินได้ยิ่งกว่า ..มะเขือย่างที่ Grill มาจนหอมถ่านกรุ่น นำมาบดละเอียด ปรุงรสด้วย Lemon ใส่น้ำมันมะกอก โรยเม็ดทับทิม แต้มผงเครื่องเทศ ทั้งหอม ทั้งเปรี้ยวสดชื่น อร่อยปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหล ...

 


[Hot Mezza Starter]

● Hot Mezza to Share (ราคา 350 บาท) – สำหรับ Mezza จานร้อนของที่นี่ก็มีให้เลือกหลายชนิดค่ะ  ถ้าอยากลองหลายๆอย่าง อย่างละนิดละหน่อย ก็แนะนำให้สั่งเมนูนี้เลย ในจานประกอบไปด้วย Hot Mezza 5 ชนิด ลักษณะเป็นแป้งพายทอดกรอบๆยัดไส้แบบต่างๆ มีอย่างละ 2 ชิ้น โดยเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้ม 3 แบบคือซอสมะม่วง ซอสงา และซอสมิ้นต์ ใช้จิ้มสลับเปลี่ยนรสกันดีเลย รสชาติดีทั้ง 3 อย่างค่ะ

 


- Meat Kebbe :  Mezza ชิ้นรีๆสีเข้มๆนี้มีเปลือกที่ทำจากเนื้อแกะบดละเอียดผสมกับ Bulgur Wheat ยัดไส้เนื้อแกะที่สับคลุกเคล้ากับหอมใหญ่และ Pine Seeds แล้วนำมาทอด  ได้รสเนื้อแกะแบบเต็มๆ ผสมกลิ่นรสเครื่องปรุงอย่างลงตัว  สำหรับเรานี่เป็นชิ้นที่ชอบที่สุดในจานนี้เลย

-Cheese Roll : แป้งพายกรอบๆยัดไส้ชีส 2 ชนิด คือ Akawi และ Feta Cheese อร่อยกลมกล่อมลงตัว กลิ่นชีสไม่ฉุนค่ะ

- Meat Sambousek : พายหน้าตาคล้ายกะหรี่พัฟ ไส้เป็นเนื้อสับ (น่าจะเป็นเนื้อแกะ เพราะถามดูพนักงานบอกว่าไม่ใช่เนื้อวัวนะ) ผสมหอมใหญ่และ Pine Seeds ...อร่อยเลย

- Spinach Fatayer : เป็นพายไส้ผักโขม ปรุงรสด้วย Pine Seeds และหอมใหญ่เช่นเดียวกับอันที่แล้ว  พอทานได้เพลินๆแต่ยังไงซะไส้เนื้อแกะก็อร่อยกว่าล่ะ

-Vegetable Samosa : ตัวนี้เปลือกเป็นแป้ง Samosa เนื้อเบาพรุน ทอดมากรอบๆ ยัดไส้ผักหลากชนิดค่ะ


[Lebanese from the Grill]

ครัวทางแถบเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกกลางนั้นดูจะถนัดอาหารประเภทเนื้อย่างเป็นพิเศษค่ะ  สำหรับอาหารของเลบานอนก็จะเน้นเนื้อแกะและเนื้อไก่เป็นหลัก  ส่วนเนื้อหมูนั้นไม่มีอยู่แล้วเพราะขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม อาหารของ Al Saray จึงเป็น Halal ทั้งหมด  สำหรับเนื้อวัวนั้นมีบ้างแต่น้อยมาก กวาดตาดูในเมนูคร่าวๆเห็นมีแต่ Beef Steak อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนอาหารทะเลก็พอมีบ้าง แต่จานที่เราลองกันนี้จะมีแต่เนื้อแกะและเนื้อไก่นะคะ เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้ม Garlic Yoghurt (ตัวนี้ชอบมาก) และซอสงาหรือ Tahini Sauce ค่ะ 

● Extra Mixed Grill Platter (ราคา 550 บาท) – จานนี้เป็นรวมมิตรอาหารเนื้อย่างหลากหลายเมนูอย่างละนิดอย่างละหน่อย จะได้ลองสลับกันไปไม่จำเจค่ะ แต่ถ้าใครมีเมนูโปรดอยู่แล้ว หรือมากันน้อยคนกลัวจะทานไม่หมด ก็มีให้สั่งเดี่ยวๆเป็นอย่างๆไปได้นะ ในจานจะมี...

 

- Kofta : เนื้อแกะบดผสมกับเครื่องเทศแบบอาหรับ parsley และหอมใหญ่ เอามาปั้นเป็นแท่งยาวๆเสียบไม้ย่าง เป็นเมนูเนื้อที่ยังมีกลิ่นแกะค่อนข้างแรง แต่กลิ่นรสเครื่องเทศก็จัดจ้านจนออกมาสมดุลกันดีค่ะ

- Chicken Kofta : เป็น Koftaเช่นเดียวกับตัวที่แล้วแต่เปลี่ยนจากเนื้อแกะเป็นไก่แทน สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับกลิ่นเนื้อแกะ ตัวนี้จะทานง่ายกว่านะ

- Lamb Skewers : เอาเนื้อแกะหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ หมักเครื่องเทศแบบอาหรับ แล้วนำมาเรียงเสียบไม้ย่าง เนื่องจากเครื่องเทศจะเคลือบอยู่แค่ผิวนอก กลิ่นรสจึงไม่จัดจ้านเท่า Kofta ส่วนตัวเลยชอบเมนูนี้มากกว่านะคะ

- Shish Tawouk : เนื้อไก่ส่วนอกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม หมักน้ำมะนาว กระเทียม และน้ำมันมะกอก จากนั้นจึงนำมาเสียบไม้ย่าง ได้ความอร่อยแบบเนื้อนุ่ม - แน่นไร้ไขมัน แต่ย่างได้ดีไม่แห้งฝืดคอ รสชาติกำลังดีเลย

- Lebanese Style Grilled Chicken : ไก่ชิ้นเขื่องเลาะกระดูกออกเรียบร้อย เป็นไก่ส่วนที่มีมัน มีหนังติด สัมผัสจึงนุ่มนวลกว่า Shish Tawouk  มีหมักเครื่องเทศมาเบาๆ หอมกลิ่นย่างกรุ่นทีเดียว ชอบมากมาย...

- Lamb Chops : ไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้ว Lamb Chops นี้จะมีในเซ็ทนี้อยู่แล้ว หรือเชฟใจดีใส่แถมมาให้ลองเฉพาะครั้งนี้นะคะ เพราะทั้งดูรูปและอ่านคำบรรยายในเล่มเมนูไม่ยักเห็น แต่ถ้าสั่งชุดใหญ่ที่สุด คือ Al Saray Special Mixed Grill (1,200 บาท) นั้นมี Lamb Chops อยู่แน่ค่ะ ถ้ายังไงตอนจะสั่งถามดูก่อนนะคะ ส่วนถ้าไม่ได้มาหลายคน แนะนำให้สั่ง Lamb Chops จานเดี่ยวๆไปเลยก็ได้  เพราะขอฟันธงเลยว่าเป็นตัวที่เด็ดที่สุดในมื้อนี้ เนื้อแกะนี่หมักมานุ่มฉ่ำละมุนลิ้นสุดๆ ย่างมาได้ที่เนื้อในเป็นสีชมพูสวย เลือดไม่ไหล กลิ่นเครื่องเทศแทบไม่รู้สึก มีแต่กลิ่นย่างหอมๆ ..ที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นสาบแกะเลยแม้แต่ซักนิดเดียว มั่นใจว่าแม้แต่คนที่ไม่เคยทานเนื้อแกะก็น่าจะฟินกับ Lamb Chops ของที่นี่ได้ไม่ยาก อร่อยระเบิดระเบ้อจริงๆค่ะ ขอปรบมือให้เชฟรัวๆเลย

 

ผ่าดูเนื้อในสุกกำลังสวยเลิศจริงๆ

ผ่าดูเนื้อในสุกกำลังสวยเลิศจริงๆ

 


[Main Course Curries]

มาลองเมนูแกงของทางอินเดียบ้าง เสิร์ฟมา 2 อย่าง จะทานกับ Naan หรือกับข้าวบาสมาติก็ได้ค่ะ 

● Butter Chicken (ราคา 280 บาท) – เป็นแกงกะหรี่ไก่ใส่เนยสไตล์อินเดียที่นำเนื้อไก่ไปหมักโยเกิร์ตและเครื่องเทศแล้วย่างแบบ Tandoori ก่อนจะนำมาเคี่ยวกับแกง   ปกติแกงกะหรี่อินเดียที่เราเคยทานนั้นแม้จะหอมเครื่องเทศดี แต่มีข้อเสียคือมักจะเค็มเกินไป แต่ของที่นี่ไม่เป็นแบบนั้นค่ะ   คงเป็นเพราะใส่เนยด้วย รสชาติเลยออกมากลมกล่อม ระดับกลิ่นรสเครื่องเทศกำลังดี นอกจากจะไม่เค็มแสบคอแล้วยังมีหวานอ่อนๆด้วยซ้ำ อร่อยมากๆเลยทีเดียว

 


● Dal Makhani (ราคา 180 บาท) – เป็นแกงที่ทำจากถั่ว Black Lentils และ Kidney Beans นำไปเคี่ยวกับมะเขือเทศและน้ำมันเนย ปรุงรสด้วยเครื่องเทศแบบกำลังกลมกล่อมได้ใจ เทียบกับ Butter Chicken แล้วเมนูนี้จะไม่มีรสหวานปน ส่วนตัวเลยชอบมากกว่าอยู่นิดนึงนะคะ จิ้มทานกับ Naanนี่อย่างฟินเลย  ว่ากันจริงๆถ้าเทียบเฉพาะเมนูแกงแบบอินเดียนี่ เราว่าของที่นี่ทำได้อร่อยไม่แพ้ร้านดังเจ้าของตำแหน่งอันดับ 1  Asia’s Best Restaurants เลยล่ะค่ะ (แต่เมนูอื่นๆมันคนละแนว เทียบกันไม่ได้นะจ๊ะ)

 


● Mixed Naan (ราคา 100 บาท) – ขนมปัง Naan ที่เสิร์ฟมาหลากหลายรสชาติ ทั้งแบบดั้งเดิม รสกระเทียม รสชีส รส Spicy และรสเนยโรยหน้าด้วยผักชี เนื้อขนมปังนุ่มเหนียวอร่อยได้ใจ จะทานกับแกงแบบอินเดียหรือกับ Mezza ของเลบานอนก็เข้ากั๊นเข้ากันค่ะ

 


[Biryani & Rice]

● Al Saray Biryani (ราคา 280 บาท) – เมนู Biryani นี้สามารถเลือกสั่งได้ว่าจะเอาเป็นข้าวหมกเนื้อไก่ / แกะ / Seafood / กุ้ง (Prawns) / หรือผักนะคะ ราคาก็ต่างๆกันไป  สำหรับเราได้ลองเป็นข้าวหมกเนื้อแกะ ทางร้านใช้ข้าวบาสมาติเมล็ดยาวที่นำเข้ามาจากอินเดีย หุงออกมาได้นุ่มละมุน หอมกลิ่นเครื่องเทศในระดับกำลังดีไม่มากไม่น้อย เนื้อแกะก็หมักมานุ่มได้ใจ อร่อยอีกแล้ว

 

 


[Dessert]

● Gulab Jamun (ราคา 150 บาท) – ของหวานของชาวอินเดียที่ทำจากแป้งผสมนม นำมาปั้นกลมๆทอดในเนย Ghee แล้วแช่น้ำเชื่อมจนซึมซาบเข้าเนื้อ ปกติแล้วขนมชนิดนี้จะขึ้นชื่อเรื่องความหวานเว่อร์วังแบบขึ้นสมอง แต่ของที่นี่ไม่หวานมากเท่าที่คาดไว้ค่ะ ระดับความหวานแค่กำลังสมดุลกับกลิ่นของเนย ออกมาเป็นรสชาติที่กลมกล่อมพอดีทานสบาย (ทองหยอดของไทยเรายังจะหวานกว่านี้) ทำเอาติดใจเลยล่ะ
หวานไม่มากเท่าที่กลัว อร่อยค่ะ

หวานไม่มากเท่าที่กลัว อร่อยค่ะ

 


● Mohalabieh (ราคา 150 บาท) – มาลองขนมของทางเลบานอนบ้าง มูฮาลาเบียนี้จะเป็นพุดดิ้งนมผสมด้วยน้ำกุหลาบหอมๆ แค่ชิมก็รู้สึกได้ว่าเป็น rose water ที่ทำจากกลีบกุหลาบจริงๆ ไม่ได้เติมกลิ่นสังเคราะห์ เนื้อพุดดิ้งนุ่มละมุน รสชาติหวานอ่อนๆ เข้ากับความหอมมันของผงถั่ว Pistachio ที่โรยมาด้วยเป็นอย่างดี ได้ความอร่อยแบบเบาๆทานสบายไม่เลี่ยน ดีงามสุดๆค่ะ
หอมอร่อยไม่หวานมาก

หอมอร่อยไม่หวานมาก

 

นุ่มๆ-เด้งๆ-ฟินๆ

นุ่มๆ-เด้งๆ-ฟินๆ

 


[Drinks]

● Lemon Mint (ราคา 195 บาท) – เป็น Non-Alcoholic Cocktail ที่ทำจากน้ำมะนาวสดผสมกับใบมิ้นต์ปั่น ฟังดูง่ายๆแต่สัดส่วนรสชาติของเค้าเลิศจริงๆ ทั้งความเปรี้ยว-หวาน-หอม กำลังพอดี สดชื่นได้ใจ บอกเลยว่ามีไม่กี่ร้านที่ผสมเครื่องดื่มได้โดนใจขนาดนี้ ชอบมากมายค่ะ
สดชื่นได้ใจ

สดชื่นได้ใจ

 


● Brewed Coffee (ราคา 120 บาท) – เห็นมีขนมก็ต้องขอสั่งกาแฟร้อนซะหน่อย ที่นี่ใช้กาแฟของ Illy  หอมเข้มดีงามตามมาตรฐานแบรนด์เค้าล่ะ 

 


● Moroccan Mint Tea (ราคา 120 / 240 บาท) – เป็นชาของ TWG หอมกลิ่นมิ้นต์สดชื่น ถ้าสั่งเป็นเซ็ทใหญ่ก็จะเสิร์ฟมาเป็นกาสีเงินฉลุลาย กับจอกแก้วหลากสีสไตล์อาหรับ ดูสวยงามอลังการน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆค่ะ

 

 


****-The Verdict-****

อาหารเลบานอนของที่นี่ทั้งรสชาติและความพิถีพิถันต้องถือว่าดีงามไม่มีอะไรจะติ อร่อยเด็ดทุกเมนูและ perfect ทุกรายละเอียด ..จะว่าไปแล้วก็จัดเป็นมื้อที่ประทับใจที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยทานอาหารแนวนี้มาเลยล่ะค่ะ แม้แต่คนที่ไม่เคยลองอาหาร Lebanese มาก่อน แต่ถ้าเคยชื่นชอบอาหารกรีกหรืออิตาเลียนทางตอนใต้อยู่แล้วล่ะก็ เชื่อว่ารสชาติของอาหาร Lebanon ก็น่าจะถูกใจเช่นกัน

ในส่วนของอาหารอินเดียทั้งคาวหวานของที่นี่ ชิมแล้วก็ได้เห็นความแตกต่างจากอาหารอินเดียที่เคยทาน คือมีการปรับรสชาติให้ประณีตกลมกล่อม กลิ่นเครื่องเทศไม่ฉุนจนฉูดฉาด ไม่เค็มหรือหวานเกินไปและไม่เลี่ยน ได้สมดุลกำลังดีทุกประการ จะเรียกให้เห็นภาพก็คือเหมือนเป็นอาหารอินเดียตำรับชาววังนั่นเลย ใครที่อาจจะเคย “เข็ด” กับอาหารอินเดียจากร้านอื่นมาก่อน ถ้ามาลองทานที่นี่อาจเปลี่ยนใจมาชอบก็ได้นะคะ

อาหารเลบานอนและอินเดียนั้นแม้ปัจจุบันจะเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก  แต่ในบ้านเราก็ยังนับว่ามีร้านอาหารแนวนี้อยู่น้อย  ยิ่งถ้าเป็นร้านสไตล์ Fine Cuisine แบบนี้ยิ่งแทบไม่มีเลย   ร้าน Al Saray ที่โดดเด่นทั้งรสชาติอาหาร การบริการ และบรรยากาศนี้จึงเปรียบเสมือนเพชรน้ำงามที่ควรจะหาโอกาสไปลองกันดูสักครั้งค่ะ
 
Recommended Dish(es):  Hummus, Mutable Batenjan, Lamb Chops, Butter Chicken, Dal Makhani, Gulab Jamun, Lemon Mint
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


Date of Visit: Jun 08, 2017 

Spending per head: Approximately ฿750(มื้อเย็น)

Other Ratings:
Taste
 5  |  
Environment
 5  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 5

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • Interesting

  • Touched

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
Recommend
0
Share on TwitterShare on Facebook
Categories : Italian | Restaurant | Pizza / Pasta | Casaul Dining

เมื่อเอ่ยถึงร้านพิซซ่าชื่อเสียงเก่าแก่เจ้าของตำรับพิซซ่าแป้งบาง - ชีสยืดดดด... หลายคนก็คงนึกถึงพิซซ่าเตาถ่านเกาะลันตาซึ่งมีสาขาแรกเริ่มอยู่ที่จังหวัดกระบี่  ส่วนในกรุงเทพฯตอนนี้มีร้านภายใต้เครือเดียวกันอยู่ 3 ร้าน ทำเอาหลายคนชักงงว่าร้านไหนคือออริจินัล ของแท้-ของเทียมยังไง  ซึ่งทางร้านได้อธิบายไว้ตามนี้ค่ะ


****-Profile- ****


ทางร้านมีจำนวน 3 สาขาในกรุงเทพมหานคร คือ สาขาตรงข้ามวัดชนะสงคราม, สาขาถนนเจ้าฟ้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า , และสาขาศาลายา


สาขาแรกในกรุงเทพฯคือสาขาตรงข้ามวัดชนะสงคราม โดยมีคุณพ่อ คุณแม่และลูกๆ เป็นผู้ริเริ่มขึ้น เมื่อเห็นว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทางลูกค้า จึงเปิดอีกสาขาในระยะเวลาที่ใกล้กันคือ สาขาถนนเจ้าฟ้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า โดยสาขานี้ทราบมาว่าบริหารจัดการโดยรุ่นลูก มีการตกแต่งร้านให้ดูทันสมัยสวยงามน่านั่ง และเพิ่มเติมเมนูต่างๆให้หลากหลายมากขึ้น ใช้ระบบบริหารจัดการที่ทันสมัย จึงสามารถเปิดอีกสาขาคือสาขาศาลายา โดยมีทีมงานบริหารเดียวกัน  (ดังนั้นถ้าพูดถึงเฉพาะร้านที่บริหารโดยทีมของรุ่นลูกนี้ ก็ต้องบอกว่าสาขาถนนเจ้าฟ้าคือสาขาแรก และที่ศาลายาคือสาขาที่สองนั่นเอง)


ส่วนของสาขาแรกดั้งเดิม (รุ่นพ่อ-แม่) ที่อยู่ตรงข้ามวัดชนะสงครามได้แยกการบริหารเป็นเอกเทศเพียงสาขาเดียว ฉะนั้นรายละเอียดในเรื่องของเมนูต่างๆบางอย่างจึงมีความแตกต่างจากร้านที่สาขาถนนเจ้าฟ้าและสาขาศาลายาบ้าง  แต่ทั้ง 3 ที่ก็ยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเกาะลันตา พิซซ่า ในเรื่องของการอบพิซซ่าด้วยเตาถ่าน สูตรพิซซ่าและความขึ้นชื่อเรื่องชีสเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นร้านในเครือเดียวกันทั้ง 3 สาขา 


ส่วนตัวเรานั้นเมื่อหลายปีมาแล้วได้เคยลองทั้งสาขานี้ คือสาขาตรงข้ามวัดชนะสงคราม และสาขาที่ถนนเจ้าฟ้า เปรียบเทียบดูแล้วถูกใจพิซซ่าของสาขาแรกมากกว่าอยู่นิดนึง  ส่วนปัจจุบันไม่แน่ใจว่าร้านไหนจะรสชาติดีกว่ากันหรือไม่อย่างไร แต่เมื่อมีโอกาสแวะมาย่านนี้อีกทีก็ขอลองสาขาที่เคยติดใจนี้ดูก่อนค่ะ


****-ทำเลที่ตั้ง/บรรยากาศ-****


ร้านอยู่บนถนนจักรพงษ์ ในซอยตันเล็กๆตรงข้ามวัดชนะสงคราม ข้างสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม เป็นซอยที่ขนานกับถนนข้าวสารค่ะ  เมื่อเดินเข้าซอยไปจะเห็นร้านอยู่ทางขวามือ หน้าตาเป็นร้านเล็กๆขนาดห้องเดียว มีเตาอบพิซซ่าขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าร้านให้เห็นจะๆ ด้านในร้านติดแอร์เย็นสบาย  มีการเอาดอกไม้และรูปภาพต่างมาประดับบ้าง แต่ก็ยังคงลักษณะแบบร้านรุ่นเก่าอยู่ เก๋ไปอีกแบบค่ะ

 

 



****-เมนูที่ได้ลอง-****


กลับมาใหม่ครั้งนี้ สังเกตดูเมนูของร้านนั้นหลากหลายขึ้นกว่าเดิม คือนอกจากพิซซ่าแล้วยังมีพาสต้า สลัด ยำ และของทานเล่นต่างๆเพิ่มมาด้วย ดูๆไปชักคล้ายคลึงของร้านสาขาถนนเจ้าฟ้าอยู่ แต่อาจจะไม่ได้มีครบเหมือนกันเป๊ะทุกเมนูนะคะ สำหรับเราสั่งมาลองกันตามนี้


[Appetizer]


● Lanta Bread (ราคา 140 บาท) – ก็คือขนมปังหน้าหมูสับอบชีสเยิ้มๆ ที่ดูแล้วน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก bruschetta แต่ใช้ขนมปังเนื้อนุ่มกว่า แบบเดียวกับขนมปังกระเทียม นัยว่าอาจจะเอาใจคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบให้ขนมปังนุ่มไว้ก่อน แต่สำหรับเรานั้นชอบเนื้อขนมปังกรอบนอก-เนื้อในแน่น+เหนียวนุ่ม แบบขนมปังฝรั่งมากกว่า  ประกอบกับรู้สึกว่าขนมปังนุ่มๆนั้นเนื้อขนมปังดูดซับชีสได้มากเกินไปจนทำให้แฉะ ชิมแล้วเลยยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่น่ะค่ะ

 


[Pizza]


แป้งพิซซ่าที่นี่จะบางกรอบและ chewy นิดๆ ดูเผินๆคล้ายพิซซ่าอิตาเลียน แต่รสชาตินั้นไม่ใช่อิตาเลียนแท้ๆ มีการผสมผสานครีเอทสูตรออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ทีเดียว ที่สำคัญชีสเยิ้มๆที่ให้มาแบบสะใจ แม้ทางร้านจะมี option ให้เพิ่มชีสได้ (เพิ่มเงิน 100 บาท)  จะให้ทำขอบชีสด้วยก็ได้ (เพิ่ม 120 บาท)  แต่สำหรับเรา แค่แบบปกติธรรมดาก็รู้สึกว่าได้ชีสเพียงพอ  ลงตัวที่สุดแล้วค่ะ (ถ้ามากไปกว่านี้ ดีไม่ดีอาจกลายเป็นเลี่ยนได้นะ) เราลองสั่งไป 2 แบบตามนี้เลย


● Capricciosa Pizza (ราคา 280 บาท) – เมนูยอดนิยมของทางร้าน หน้าพิซซ่าประกอบไปด้วยมะเขือเทศ หอมใหญ่ เบคอน ชีส เห็ด แฮม และพริกเขียว เป็นหน้าแบบที่เราชอบมากที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ซอสพิซซ่าที่ใช้ทาเป็นเบสของร้านนี้จะค่อนข้างหวาน พอมาเจอความเค็มจากเบคอน+แฮมและความเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ตามด้วยความเผ็ดนิดๆของพริกเขียวและหอมใหญ่ ทำให้ออกมาเป็นรสชาติที่ได้สมดุลกลมกล่อมลงตัว ชีสก็กำลังอุ่นๆหนาๆเยิ้มๆ กัดยืดดด...สะใจเคี้ยวได้รสชีสเต็มๆคำ กินกันเพลินๆแป๊บเดียวหมดถาดค่ะ อร่อยฟินเว่อร์บอกเลย

 

 


● Pescatora Pizza (ราคา 280 บาท) – ในกลุ่มมีคนชอบกินกุ้ง งานนี้ก็เลยต้องมีพิซซ่าซีฟู้ดซะหน่อย เมนูนี้หน้าพิซซ่าประกอบไปด้วยกุ้ง ปูอัด หัวหอม มะเขือเทศ และชีสสสส... ต้องชื่นชมทางร้านอยู่อย่างว่ากุ้งที่ใช้นั้นอย่างเลิศจริงๆ ตัวโต สด เนื้อแน่นเด้ง ไม่แพ้ร้านซีฟู้ดเจ้าไหนๆ แต่เพราะกุ้งเป็นวัตถุดิบที่รสอ่อน ไม่เค็มชัดเจนแบบเบคอนหรือแฮม ส่วนซอสพิซซ่าของที่นี่ก็ยังเป็นตัวเดิมซึ่งออกรสหวาน เลยได้รสแบบหวานๆปนรสอ่อนๆของกุ้ง บวกกับความมันของชีส ซึ่งเราว่ามันไม่เข้ากันเท่าไหร่น่ะค่ะ เทียบกันแล้วแม้จะอร่อย แต่ก็เลยรู้สึกด้อยกว่าเมนูยอดนิยมอย่าง Capricciosa Pizza ไปนิดนึงนะ

 

 


โดยรวมแล้วก็ยังเป็นร้านที่ทำออกมาได้อร่อยสมกับชื่อเสียง รสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (อันนี้ต้องเตือนว่าถ้าคนที่อยากกินพิซซ่ารสชาติแบบอิตาเลียนแท้ๆ ร้านนี้คงไม่ตอบโจทย์นะคะ) ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ราคาไม่แรงมาก ถ้าผ่านมาย่านนี้ก็น่าแวะลองดูค่ะ
 
Recommended Dish(es):  Capricciosa Pizza
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


Date of Visit: Jan 01, 2017 

Spending per head: Approximately ฿200

Other Ratings:
Taste
 4  |  
Environment
 3  |  
Service
 3  |  
Clean
 4  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • Interesting

  • Touched

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
Recommend
Share on TwitterShare on Facebook
Categories : Coffee Shop / Tea Room | Casaul Dining

Let’s Say Café – ร้านที่เป็นทั้งร้านอาหาร  café  และ working space  แถมมี board games ให้เล่นอีกต่างหากนี้ตั้งอยู่ในซอยราชวิถี 3   ข้างๆสวนสันติภาพค่ะ  จากทางด้านถนนราชวิถีเข้าซอยมาไม่ถึง 100 เมตรก็จะเห็นหน้าร้านอยู่ทางขวามือ ผนังด้านหน้าเป็นกระจกโปร่งทั้งหมดดูน่าสบายทีเดียว  ร้านนี้เปิดกันยาวๆ 24 ชั่วโมง (ไม่แพ้ 7-11 เลยนะ) สะดวกสุดๆไปเลย

 
****-การบริการ-****

มาร้านนี้ต้องบริการตัวเองหน่อย  คือเดินไปสั่งอาหารเอง  จ่ายตังค์  กลับมานั่งรอ  พออาหารเสร็จเค้าจะเรียกให้ไปรับ  ก็ไปยกถาดเอง เสิร์ฟตัวเองนั่นล่ะค่ะ  ว่าไปแล้วก็คล้ายร้านกาแฟอีกหลายแบรนด์  เพียงแต่ที่นี่มีอาหารคาวด้วย มีเบเกอรี่และขนมด้วยครบครัน  ถ้าสั่งหลายอย่างเข้าก็หนัก + เดินกันเมื่อยเหมือนกัน  ดีว่าทางร้านไม่คิด service charge – ก็เลยหยวนๆกันไปนะ

****- WiFi -****

เนื่องจากมี concept จะให้เป็น working space ด้วย ที่นี่ก็เลยมี WiFi ให้ใช้ฟรี  แต่ก็ต้องมีกฏเกณฑ์กันหน่อย  คือ ใบเสร็จ 1 ใบ (มูลค่า 50 บาทขึ้นไป) แลก WiFi password ใช้ได้ 3 ชั่วโมง  ซึ่งอันนี้เราชอบนะ  มันแฟร์ดีทั้งกับทางร้านเองและลูกค้าคนอื่นๆที่อยากเข้ามาใช้บริการบ้างน่ะค่ะ

 
****-เมนูที่ได้ลอง-****

● ข้าวไข่เจียว + ต้มข่าไก่ (ราคา 120 บาท) – เมนูนี้พอสั่งก็เห็นเค้าตะโกนสั่งกันให้เอาจากในตู้เย็นไปอุ่น  ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่าของคาวบางอย่างก็แช่แข็งมานั่นเอง  ข้าวที่ใช้นุ่มดีใช้ได้ ไข่เจียวโอเคไม่มีปัญหา  แต่ต้มข่าไก่ร้านนี้ประหลาดมาก  คือใส่หัวกะทิข้นจนคล้ายแกงเขียวหวาน เพียงแต่เป็นรสเปรี้ยวของต้มข่าแทนที่จะเป็นรสพริกแกงน่ะค่ะ กินไปๆชักแอบเลี่ยนเหมือนกัน  ที่ไม่ฟินอีกอย่างคือแม้จะใส่เนื้อไก่มาเยอะแต่เป็นเนื้ออกล้วน ซึ่งมันแห้งกระด้างเอามากๆ ไม่ค่อยโดนใจค่ะเมนูนี้

 

 
● เค้กมันหวานญี่ปุ่น – เป็นเค้กที่ทำหน้าตาเลียนแบบมันหวานเป๊ะ ดูเรียบง่าย แต่อร่อยสุดๆจ้า  เนื้อเค้กนุ่ม-แน่น-เนียน  กลิ่นรสมันหวานมาเต็มแต่ได้สัมผัสที่นุ่มนวลหอมเนยแบบเค้ก ทานกับวิปครีมและซอสคาราเมลที่ราดมานี่เข้ากันดี๊ดี  ...ฟินระเบิดระเบ้อ!

 

 
● Hot Americano (ราคา 60 บาท) – สั่งเค้กแล้วก็ต้องมีกาแฟร้อนแกล้มหน่อย  แก้วนี้จัดว่าธรรมดา ไม่เปรี้ยว ไม่ฝาด บอดี้บางๆ มีขมลึกๆ จิบได้เพลินๆแต่ไม่ถึงกับติดใจล่ะ

 
โดยรวมก็จัดว่าเป็นร้านที่เน้นความสะดวก บรรยากาศน่าสบาย ขนมอร่อย อาหารไม่เลิศมากแต่ก็พอพึ่งพาได้ ผ่านมาย่านนี้ก็แวะมานั่งชิลล์กันได้ค่ะ
 
Recommended Dish(es):  เค้กมันหวานญี่ปุ่น
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


Date of Visit: Oct 08, 2016 

Spending per head: Approximately ฿250

Other Ratings:
Taste
 3  |  
Environment
 3  |  
Service
 3  |  
Clean
 4  |  
Price
 3

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • Interesting

  • Touched

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
Recommend
0
Chapter 4 : The Lost Christmas Smile Jan 17, 2017   
Share on TwitterShare on Facebook
Categories : Bakery Shop | Pub and Bar | Coffee Shop / Tea Room | Cafe | Dessert Ice Cream | Special Occasion Dining / Party

From the hustle and bustle of Thonglor area, a step into “Mocking Tales” transports you to a fantasy world where fans of J.R.R. Tolkien and C.S. Lewis can easily imagine their favourite characters come to life. Mystic and magical, this small, dimly lit café/pub is carefully designed as a “castle” down to the very last detail. The gargoyles, the woods, the owl, bottles of witch’s potion, the dragon and knights in shining armours… Mocking Tales will put you under its spell and lead you to a realm of fairytale where every dish comes with a story. And each set of new menus is another chapter of the never-ending chronicles… 

 

 

 

 

 
After a tremendous success with their signature dessert “Inferno Mountain” from Chapter 1, followed by several much-hyped dishes from Chapter 2 (Pirates Attack) and Chapter 3 (The Prophecy from the Woods), Mocking Tales has now released their new “Chapter 4” menu… Revealing the story when winter comes knocking at the castle’s door… 

****-Chapter 4-**** 

The menu consists of 3 desserts. With the theme being “The Lost Christmas”, the dishes from Chapter 4 are inspired by the Three Spirits from Charles Dickens’ classic novel “A Christmas Carol”. The interpretation and presentation of each dish is indeed remarkable! You can order them separately, or, if you come with many friends, order the “Three Spirits of Christmas Set” and enjoy all these three dishes at a price of 990 baht. 

[Desserts] 

● Spirit of the Past (280 Baht) : Blueberry Choc Chip Ice Cream+ Strawberry Cheesecake Ice Cream + Vanilla Shortcake + Strawberry Sauce 

The Spirit (or the Ghost) of Christmas past was described as a childlike figure with a jet of light glowing from its head. Hench, at the center of the dish you’ll see a white meringue shaped like a torch sitting on a thin layer of red berry jam, surrounded by a ring of liquor where a “prince” will light it up upon serving at your table. The sight of the blue flame coming up around the white “torch” is very impressive. Make sure you have your camera ready when it’s served! 

 

 

 

 

 
Out of the three dishes in Chapter 4, this dish was the one I chose to try. Beneath the meringue is a layer of Blueberry Choc Chip Ice Cream, followed by a layer of crispy Vanilla Shortcake, then another layer of Strawberry Cheesecake Ice Cream…then the Shortcake again. I really love the combination of flavors and how those layers were put together unevenly. The taste differed every time I took a bite depending on where my spoon chanced upon. And the bitterness of the liquor created just the right balance with the sweetness of Meringue, ice cream, and berry jam. (I’m not a liquor drinker, but I do love desserts with liquor!) For those who don’t like liquor in a dessert, fret not. The liquor is only put around the edge of the dish…so you can choose not to dip your ice cream there and you’ll be fine. 

The Verdict : This dish suits my taste in every way…The ice cream was firm and creamy, the Vanilla Shortcake had this pleasant buttery fragrance...perfect! 

● Spirit of Present (320 Baht) – Pistachio Ice Cream, Cotton Candy, Lava Matcha Cake 

In Dickens’ story, the Spirit of Present is a majestic giant clad in green robe, wearing a Holly wreath on its head and carrying a glowing torch in one hand…Mocking Tales interprets this character as a torch-shaped green cotton candy, filled with pistachio ice cream and lava matcha cake. (So yes, the keyword here is “green”!) The dish is decorated with icing sugar and a ring of nuts - like a wreath… Even though I didn’t get to try this dish, I can’t help but praise their attention to detail. 

 
● Spirit of Future (450 Baht) – Chocolate Peanut Butter Ice Cream & Chocolate Demon Ice Cream & Dark Chocolate Ice Cream, Marshmallow and Caramel Sauce & Strawberry Sauce & Nutella Sauce, fruit) 

Spirit of Future, or “The ghost of Christmas Yet to Come” in the story, appears as a tall, reaper-like figure shrouded in deep black garment….Scary as it sounds, this dish represents the “darkness” with one of the most well-loved dessert…Chocolate…Loads and loads of it. If you’re a chocolate lover, make sure not to miss this one! 

 
[Drinks] 

The Chapter 4 menu has not only desserts, but also some drinks. And this is the one I chose to try.. 

● Frozen Earth (120 Baht) – Black coffee frozen into ice cubes can well represent the name “Frozen Earth”. And the milk that is served separately can be seen as snow. This clever presentation allows you to taste the coffee from a light, milky tone right after you pour the milk into a glass full of coffee ice cubes – to a stronger coffee taste as the coffee cubes melt. Love it! 

 

 

 
****-Coffee Menu-**** 

…Or to be precise, a normal coffee menu outside Chapter 4. Mocking Tales is known to be a café during day time and a pub (with alcoholic drinks and live bands) at night, so most of the time it’s their fancy cocktails that attract attention. But don’t look down on their coffee! 

The coffee menu, like everything here, comes with their stories. “The Black Sword” is meant for black coffee, “The White Knight” for all kinds of hot coffee with milk, “The Frozen Shield” for iced coffee, and “The Three Kings” for their special coffee. 

●  Long Black (95 Baht) – Having a habit of drinking hot black coffee accompanying a dessert, I chose to order this “Long Black”, or Caffe Lungo, from The Black Sword series. (With espresso having an unfortunate name like “Short Black”, I won’t be surprised if Caffe Lungo gains more popularity here.) And, surprisingly, it was oh-so-gooood! The body, the aroma…everything was just right. Let’s say this place is obviously serious about their coffee. And a big plus is that it came with a whole piece of complimentary muffin (I’m not sure if they always serve muffin with coffee, though. I went there during Christmas time so it could just be a special Christmas treat). To be honest the taste of the muffin is rather bland, but the texture is soft and moist enough. Despite this place having a reputation of charging overly expensive, the price of their hot coffee is quite reasonable...And with a complimentary muffin, you can say it’s a steal! 

 
****- Location and Opening Hours-****

The shop is located on the G Floor of The Maze Thonglor, Soi Thonglor 4. Upon entering the building, you’ll immediately see a knight’s armour guarding the door on the right hand side…Easy.

 
Opening Hour : 11.00 – 01.00  (Last order at midnight)

Reservation: 083 386 6992

If you plan to go there during peak hours, be sure to make reservation in advance. The place is rather small and often have long queue due to its popularity.

****-…And the Verdict is…-**** 

I’m usually skeptical about restaurants with head-turning marketing tactics. And if I travel abroad and find a restaurant in Europe decorated with Thai ancient folklore theme, I might just feel more amused than anything else, thinking it fake and out of place. But, although the idea of a castle sounds foreign to Bangkok, the charm of a mystic fantasy world is universal. And Mocking Tales, despite the size of the café being rather small, embraces the concept very well. Above all else, I can feel that they’re serious about their drinks and desserts. There might be many conflicting reviews regarding the quality versus the price of the dishes. Even I myself, if I had chosen a different menu, might not have enjoyed this meal as much as I did. However, with their good-quality food materials, their attention to details, and their staffs all willing to explain the menu to you, I believe everyone can find something that suits one’s taste there. 
 
Recommended Dish(es):  Long Black, Spirit of the Past
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


Date of Visit: Dec 23, 2016 

Spending per head: Approximately ฿500(อาหารว่าง)

Other Ratings:
Taste
 5  |  
Environment
 5  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • Interesting

  • Touched

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
Recommend
0