Thai | English
eat and travel diary
ฉันชื่อeat and travel diary อาศัยอยู่ในอ.ธัญบุรี. I am a ธุรกิจส่วนตัว, ทำงานอยู่ที่อ.ธัญบุรี. ชอบไปลั้นลาที่ปทุมวัน, บางกะปิ. อาหารใต้, อาหารอีสาน, อาหารฝรั่งเศส are my favorite cuisines. ชอบไปลั้นลาที่ ร้านอาหารฝรั่ง, ร้านกาแฟ / ร้านชา, ร้านเค้กและเบเกอรี่และขนมหวาน ไอศครีม, อาหารทะเล.
สมาชิก 51 รีวิวแรก
รีวิว153 รีวิว
編輯推介數目107 Editor's Choice
Recommended18 แนะนำ
ความนิยม8833 เข้าชม
Replies in Forum0 ความคิดเห็น
อัพโหลดรูปภาพ1514 รูปภาพ
อัพโหลดวิดีโอ0 วิดีโอ
My Recommended Reviews0 รีวิวแนะนำ
My Restaurant33 ร้านโปรด
Follow13 Following
粉絲1193 Follower(s)
eat and travel diary  Level 4
ติดตาม ติดตาม  ความคิดเห็น: Leave a Message 
เรียงตาม:  วันที่ ยิ้ม ยิ้ม ไม่ปลื้ม ไม่ปลื้ม  Editor's Choice  คะแนนโดยรวม 
 
 
 
 
 
  เวอร์ชั่นเต็ม เวอร์ชั่นเต็ม   |   ดูแผนที่ ดูแผนที่
แสดงรีวิวที่ 6 ถึง 10 จาก 153 รีวิวใน ประเทศไทย
Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : ร้านในคอมมูนิตี้มอลล์ | ขนมหวาน ไอศครีม | ลำลอง

 
Sweetery ร้านของหวานน้องใหม่ในเครือ Tinee Eatery Workshop

 

 

 

 

 
แม้จะเป็นร้านของหวานแต่ร้านนี้แตกต่างเรื่องการตกแต่ง ซึ่งฉีกแนวคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านเบเกอรี่ที่เปิดใหม่ แต่ที่นี่เน้นสีสันจัดจ้าน ตัดกับโทนสีดำของร้าน ซึ่งดูแล้วเป็นร้านที่โดดเด่นเรื่องสีสันสุด นอกจากนี้ยังใช้แรดเป็นสัญลักษณ์และการตกแต่งที่พบให้ได้ทั่วร้านอีกด้วยครับ
ขนาดเล็ก

ขนาดเล็ก

 
ขนาดเล็ก

ขนาดเล็ก

 
ขนาดเล็ก

ขนาดเล็ก

 
สำหรับสีสันที่จัดจ้านไม่ได้มีเฉพาะแค่การตกแต่งเท่านั้น แต่ดูจากเมนูแล้วของหวานที่นี่ก็สีสันจัดจ้าน น่าทานทั้งนั้นเลยครับ งั้นขอเริ่มที่เมนูเด่นของร้านนั่นก็คือ Berry Bang Bang (Small Size 165 บาท) ไอศครีมวนิลลาแบบโฮมเมด ที่หนักด้วยท็อปปิ้งไม่ว่าจะเป็น มิกซ์เบอร์รี่, คุ้กกี้ครัมป์, เบอร์รี่เจลลี่, ชีสเค้ก และอัลมอนต์ ซึ่งเป็นเมนูที่มีสีสัน และรสชาติก็ถือว่าดีด้วยนะครับ เมนูนี้ถือเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเลยก็ว่าได้ และที่เสิร์ฟเป็นไซต์เล็ก ซึ่งปริมาณก็พอควรไม่น้อยจนเกินไป ที่สำคัญสั่งไซต์นี้ก็เพราะอยากทานอย่างอื่นด้วย

 

 

 
ซึ่งอีกเมนูก็เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานโทสต์อยากผมเพราะว่าเมนู TEW’s Signature “Dark V” (340 บาท) ถือว่าเป็นอีกเมนูที่ใครเคยไปทานอาหารที่ Thinee Eatery Workshop ต้องคุ้นเคยกับเมนูเฟรนช์โทสต์แบบนี้ ซึ่งตัวโทสต์นั้นนุ่มฉ่ำหวานกำลังดี เติมความสดชื่นด้วยไอศครีมวนิลลาที่มาพร้อมกับซอสเบอร์รี่ นอกจากนี้ยังเติมความสดชื่นเข้าไปอีกด้วยผลไม้สดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมิกซ์เบอร์รี่ กีวี กล้วยหอม เสาวรส และลูกพีช ถือว่าเป็นเมนูที่สีสันจัดจ้าน รสชาติถูกใจ เติมความชุ่มฉ่ำให้ร่างกายได้เยอะเลยครับ

 
จากนั้นก็ปิดท้ายความสดชื่นด้วย Elder Flower (135 บาท) เครื่องดื่ม Fizzy Soda ที่หวาน หอม ซ่า ชื่นใจสุดๆ ครับ

 

 
เรียกได้ว่าย่านทองหล่อมีอะไรให้คนที่ชอบเติมความหวาน ความสดชื่นให้กับร่างกายได้ไม่หมดสิ้นจริงๆ ซึ่งใครที่ชื่นชอบอาหารและของหวานจาก Thinee Eatery Workshop อยู่แล้วคงจะติดใจรสชาติความอร่อยของที่นี่ได้ไม่ยากครับ ซึ่งที่นี่นอกจากจะโดดเด่นในด้านบรรยากาศของร้านแล้ว ของหวานแต่ละเมนูก็สีสัน รสชาติโดดเด่นไม่แพ้กันเลยทีเดียวครับ สำหรับร้าน Sweetery นั้นอยู่ที่ชั้น 2 โครงการ The Taste Thonglor ซึ่งเข้าซอยทองหล่อ 11 ไปนิดเดียวก็จะอยู่ทางขวามือครับ ใครที่ขับรถส่วนตัวไปก็สามารถจอดในโครงการ หรือหากมีที่ว่างก็จอดในซอยทองหล่อ 11 ก็ได้นะครับ แต่ต้องดูวันคู่ วันคี่ สำหรับการจอดให้ดีนะครับ ถ้าได้ที่จอดในซอยก็สบายหน่อย เพราะค่าที่จอดรถแถวนั้นถือว่าแรงพอตัวทีเดียว
 
เมนูแนะนำ:  Berry Bang Bang,TEW’s Signature “Dark V”
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿300

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 4  |  
Environment
 3  |  
Service
 4  |  
Clean
 4  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : ร้านเค้กและเบเกอรี่ | ร้านกาแฟ / ร้านชา | คาเฟ่ | ลำลอง | โอกาสพิเศษ

 
รีวิวนี้จะพาไปนั่งชิลๆ ในคาเฟ่สีขาวแสนสวย รับรองว่าบรรยากาศสวยงามชวนฝันที่มีชื่อว่า Organika Café ซึ่งถือว่าถอดแบบมาจากภาพลักษณ์ของคุณศิริต้า เจนเซ่น เจ้าของนางเอกสาวแสนสวยนั่นเองครับ

 

 

 

 

 

 
สำหรับบรรยากาศร้านนั้นบอกตามตรงเลยว่าชอบมากๆ เพราะผมเป็นคนที่ชอบร้านที่ตกแต่งด้วยสีขาว สะอาดตา แทรกด้วยสีเขียวของต้นไม้ประดับ ซึ่งตัวต้นนั้นเป็นต้นไม้จริง แต่ใบเป็นของตกแต่งซึ่งดูเหมือนของจริงมากๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่น ทำให้คล้ายกับว่าอยู่ใน Glass House ดูร่มรื่น จนลืมไปว่าร้านนี้นั้นตั้งอยู่บนชั้น 6 ของโครงการ Piman49 ใจกลางเมืองในซอยสุขุมวิท 49 (โครงการนี้มีร้านน่าสนใจหลายร้านเลยครับ คาดว่าคงได้มาวนเวียนแถวนี้อีกหลายครั้งแน่เลย)

 

 
และที่เพิ่มความเก๋ไก๋ได้ดีก็คือบันไดเหล็กสีเขียวที่วนขึ้นไปชั้นลอยด้านบน ซึ่งก็เปิดเป็นพื้นที่โต๊ะอาหารเช่นกัน แต่บรรยากาศสู้ด้านล่างไม่ได้ แต่ที่เป็นจุดเด่นก็คือ เป็นมุมถ่ายรูปของร้านที่สวยที่สุดมุมนึงเลยก็ว่าได้ ใครที่ชอบถ่ายรูปก็ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นไปด้านบนนะครับ

 
มาดูเรื่องอาหารบ้างดีกว่าครับ ที่ Organika Café นั้นให้บริการทั้งอาหารคาว หวาน ซึ่งเน้นไปทางอาหารเพื่อสุขภาพ โดยวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารนั้นเป็นออร์แกนิกทั้งหมด

 

 

 

 
สำหรับมื้อนี้ผมขอจัดแต่เครื่องดื่มกับของหวาน เพราะเพิ่งอิ่มจากมื้อกลางวันไม่นานนัก ซึ่งของหวานของที่นี่แต่ละเมนูก็ดูดีน่าทานไม่แพ้บรรยากาศในร้านเลยครับ แต่ก่อนอื่นขอเริ่มที่เมนูเครื่องดื่มก่อนละกันครับ สำหรับผมเริ่มที่กาแฟแก้วโปรด Caffe Latte (145++) กาแฟลาเต้ร้อน หอมๆ ที่เติมความหวานด้วยไซรัปหลากกลิ่น ที่ทางร้านมีให้เลือกเติมตามใจชอบ

 

 
ส่วนยิ้มเค้าเพิ่มความสดชื่นด้วย Memoirs of Sunrise (295++) เป็นชาที่ไม่มีคาเฟอีน ซึ่งเป็นชาจากผลไม้อบแห้งทั้ง แอปเปิ้ล, Roselle, ตะไคร้, ส้ม และพีช ชาผลไม้สีแดงสดใส หอมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ รสชาติไม่หวานเกินไปด้วยครับ

 

 
หรือใครที่ชอบช็อกโกแลต ก็ลอง Chocolate Lavender & Mashmallow (255++) หน้าตาดูน่าทานจริงๆ ครับ แก้วนี้ของพี่ที่มาด้วยเลยไม่ได้ชิมรสชาติ แต่ท่าทางน่าจะหอมเข้มข้นดีนะครับ

 

 

 
จากนั้นก็มาต่อด้วยของหวานนะครับ เริ่มด้วยเมนูโปรดของเราสองคนนั่นก็คือ ORGANIKA Waffle (340++) วาฟเฟิลอุ่นๆ ที่มาพร้อมกับ Mixed Berries สดหวานอร่อย ราดด้วยซอสสตอเบอร์รี่หอมหวาน และที่ชอบสุดๆ คือวิปครีมที่มีความหอมของกุหลาบ ช่วยเพิ่มรสชาติให้ของหวานของที่นี่หอม อร่อยยิ่งขึ้นครับ

 

 
แล้วก็ตามมาด้วยเมนู Buttermilk Pancake (295++) แพนเค้กเนื้อเนียนนุ่ม ที่มาพร้อมกับ Mixed Berries และธัญพืช เติมรสชาติเปรี้ยวนิดๆ ด้วยเสาวรสสด และเพิ่มความหอมหวานด้วยวิปครีม เป็นอีกเมนูที่อร่อย ไม่ควรพลาดเช่นกัน เมนูนี้จะต่างจากภาพในเมนูเพราะน้องที่สั่งเค้าไม่ทานกล้วยหอมเลยเลือกเปลี่ยนเป็นเพิ่มพวก Berries แทนครับ

 

 
มาถึงเมนูสุดท้ายที่น่าทานไม่แพ้กันนั่นก็คือ Strawberry Vanilla Crepe (280++) เครปที่มาพร้อมกับสตรอเบอร์รี่และบลูเบอรี่พร้อมทั้งครีมวนิลา เติมรสชาติด้วยแยมราสเบอร์รี่ ส่วนตัวแล้วเครปที่นี่ยังดูแข็งไปนิด แต่โดยรวมก็ถือว่าอร่อยดีครับ

 
สำหรับที่นี่แล้วบรรยากาศ การบริการ และหน้าตาของอาหารนั้นถือว่าสวยงาม แม้ราคาจะสูงไปนิด แต่ก็ถือว่าแลกกับบรรยากาศของที่นี่ก็แล้วกันนะครับ ครั้งหน้าจะขอมาลองของคาวดูบ้าง ว่าจะอร่อยน่าทานแค่ไหน ส่วนใครที่ทานแล้วจะเลือกผ่อนคลายด้วยการทำสปาของ Organika House ก็ทำได้สบายๆ เลย เอาเป็นว่าใครชอบร้านบรรยากาศสวยๆ ก็ลองแวะมาที่นี่ดูได้นะครับ ร้านอยู่ที่ชั้น 6 ของโครงการ Piman 49 ซึ่งอยู่ในซอยโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หากมาจากทองหล่อก็สามารถเข้าซอยทอง 13 แล้วตรงไปสุดทางเจอโรงพยาบาลเลี้ยวไปไม่ไกลก็จะพบแล้วครับ แต่ขอเสียของที่นี่คือที่จอดรถน้อยไปนิดครับ หากมา BTS แล้วต่อด้วย Taxi หรือพี่วินก็สะดวกไม่ต้องวนหาที่จอดรถให้เสียเวลาครับ
 
เมนูแนะนำ:  Buttermilk Pancake
 
Table Wait Time: 10 minute(s)


ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿500

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 4  |  
Environment
 5  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 3

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารอเมริกัน | ร้านเค้กและเบเกอรี่ | ร้านกาแฟ / ร้านชา | คาเฟ่ | ลำลอง

 
The Hen and The Egg ชื่อร้านที่สื่อความหมายง่ายๆ นั่นก็คือไก่กับไข่ ซึ่งจะเป็นซิกเนเจอร์ของร้านนี้ แม้ว่าจะเป็นวัตถุดิบธรรมดาๆ ในการทำอาหาร

 

 

 
แต่สำหรับ เชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ เชฟกระทะเหล็กที่โดดเด่นทางด้านเมนู Modern Cuisine ก็รังสรรค์ให้เป็นเมนูที่สวยงาม น่าทาน และรสชาติดีอีกด้วยครับ แต่ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ไก่กับไข่เท่านั้นนะครับ เพราะว่าเมนูอื่นๆ ก็มีให้เลือกอร่อยกันหลายเมนูทีเดียว

 

 

 

 

 

 
ก่อนที่จะพาไปชิมอาหารขอพาไปดูบรรยากาศร้านก่อนนะครับ The Hen and The Egg ตั้งอยู่ริมถนนหลังสวน การตกแต่งเป็นไปในสไตล์ตะวันตก ซึ่งเรียบง่าย แต่ดูดี ด้วยบรรยากาศที่เน้นสีโทนสว่าง ทำให้ดูโปร่งสบายตา และด้วยการตกแต่งร้านด้วยผนังกระจก ทำให้รับแสงธรรมชาติได้สบายๆ บวกกับความสวยงามของกระเบื้องและโต๊ะไม้ที่วางยาวอยู่กลางร้านทำให้ช่วยขับให้บรรยากาศในร้านดูเก๋ไปอีกแบบ

 

 
ยังมีพื้นที่ด้านในอีกห้องที่เน้นการตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีขาว ตัดกับภาพกราฟฟิครูปไก่และไข่สีดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่ร้านดูสวยงามไม่เบา นอกจากนี้ยังมีโซน outdoor ซึ่งเพิ่มสีเขียวสบายตาสำหรับใครที่ต้องการรับลมด้านนอกได้สบายๆ

 

 

 
สำหรับอาหารของที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เมนูไก่กับไข่ แต่ยังมีเมนูอื่นๆ ที่มาในรูปแบบ All Day Breakfast ไว้ให้เลือกอร่อยกันหลายเมนู แต่ก่อนอื่นขอเริ่มด้วยเครื่องดื่ม Strawberry Smoothie (120 บาท) น้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นได้รสชาติสตรอเบอร์รี่แบบเข้มข้น เพิ่มความสดชื่นได้เยอะเลยครับ

 
นอกจากนี้ยังมี Blue Hawaii เครื่องดื่มสีฟ้าสดใส รสชาติหวานนิดๆ ด้วยส่วนผสมของน้ำผลไม้ ถือว่าช่วยดื่มแล้วชื่นใจขึ้นมาเลยครับ

 

 

 
จากนั้นก็มาถึงด้านอาหารกันบ้างครับขอเริ่มที่เมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่นก็คือ Egg-E-Egg-Egg (145 บาท) มองผ่านๆ ก็คือไข่นกกระทาที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เมนูนี้โดดเด่นด้วยท็อปปิ้งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบคอน, กุนเชียง, ชีส, ไข่กุ้ง, เคเปอร์, ปลาคัตสีโอะป่น และมะเขือเทศ-ผักชีฝรั่ง ที่ช่วยเพิ่มให้เมนูนี้รสชาติอร่อยครบรสมากขึ้น ที่สำคัญเสิร์ฟเก๋ไก๋บนกระทะหลุม แนะนำให้ทานตอนร้อนๆ จะทำให้รสชาติดียิ่งขึ้นครับ

 

 

 
ต่อด้วยเมนูแบบไทยๆ แต่สไตล์อินเตอร์อย่าง ยำ 2 ส้มกับคอหมูย่าง (295 บาท) เป็นเมนูยำส้มโอและหมูย่างจิ้มแจ่วที่จัดจานมาได้อย่างสวยงาม และน่าทาน ตัวยำส้มโอนั้นรสชาติกลมกล่อมไม่จัดจ้านเกินไปนัก ส่วนหมูย่างก็นุ่ม อร่อยจิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วรับรองเคี้ยวเพลินเลยจ้า

 

 
จากนั้นก็ปิดท้ายด้วย ปูนิ่มทอดกรอบซอสพะแนง (275 บาท) เมนูนี้เห็นแล้วว้าว เลยครับ เพราะหน้าตาดูแล้วน่าทาน ปูนิ่มที่ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน ตกแต่งด้านบนและล่างด้วยมะเขือม่วงดูแล้วเหมือนปูที่ยังอยู่ในกระดองยังไงยังงั้น แล้วก็ราดด้วยซอสพะแนงรสชาติกลมกล่อม ตักทานทั้งมะเขือม่วงและปูนิ่มในคำเดียวกัน รับรองอร่อยลงตัวครับ

 
โดยรวมแล้วที่นี่ทั้งบรรยากาศที่ดูแล้วเพลิน สบายตา รวมทั้งอาหารที่หน้าตาและรสชาติถือว่าดีไม่เสียชื่อเชฟหนุ่มจริงๆ ครับ เอาเป็นว่าใครที่ชอบร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ไม่วุ่นวาย และอยู่ใจกลางเมือง ก็แวะมาที่ The Hen and The Egg หลังสวนถ้าเข้าจากทางเพลินจิต ร้านจะอยู่ริมถนนขวามือ ที่ร้านมีที่จอดรถด้วยนะครับ แต่ก็ไม่มากนัก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาไพม์ไทม์น่าจะจอดได้สบายๆ ครับ
 
เมนูแนะนำ:  Egg-E-Egg-Egg,ปูนิ่มทอดกรอบซอสพะแนง
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


วันที่ไปกิน: Jul 30, 2016 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿400

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 4  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารไทยทั่วไป | อาหารฟิวชั่น | ร้านอาหารทั่วไป | ธุรกิจ | โอกาสพิเศษ

 
ขึ้นชื่อว่าอาหารไทยรับรองว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก ยิ่งเป็นอาหารไทยที่ได้รับความยอมรับจากฝั่งตะวันตกด้วยระยะเวลากว่า 19 ปี ที่ร้าน Osha นั้นทำให้ทางฝั่ง USA ยอมรับว่าอาหารไทยนั้นยอดเยี่ยม เพราะว่ามีการขยายสาขามากถึง 8 สาขา และแน่นอนว่าอาหารไทยยังไงก็ต้องถูกปากคนไทยอย่างผมด้วยแน่นอน ซึ่งก็เป็นเหตุผมที่ Osha Thai Restaurant & Bar จะได้รับการยอมรับเมื่อกลับมาเปิดที่บ้านเราได้ไม่ยาก และขอบอกเลยว่ารสชาติอาหารไทยของที่นี่จัดจ้านแบบไทยๆ แต่ภาพลักษณ์สวยงามไม่แพ้อาหารยุโรปเลยครับ

 

 

 

 
แต่ก่อนอื่นขอพาไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านอาหารที่ถือว่าสวยงามแบบไทยๆ แต่ได้กลิ่นอายความทันสมัยแบบนานาชาติ ซึ่งที่นี่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีเข้มขรึม ตัดกับสีทองที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้ดี แม้จะตกแต่งด้วยโทนสีเข้มแบบนี้แต่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในร้านดูอึดอัด เพราะเพดานทรงสูงทำให้บรรยากาศในร้านดูโปร่งสบายๆ นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกความเป็นไทยไว้แทบทุกมุมของร้านที่เด่นชัดคือแชนเดอเลียร์รูปชฎาขนาดใหญ่ ที่สวยงาม โดดเด่นสะดุดตา อยู่ตรงบันไดวนที่จะขึ้นไปชั้นสอง ทำให้ต้องหยิบกล้อง หรือสมาร์ทโฟนมาเก็บภาพกันรัวๆ ทีเดียว

 

 

 

 

 
และเมื่อขึ้นไปยังชั้นสองที่นี่ก็แสดงความเป็นไทยได้อย่างสวยงาม ด้วยภาพของวรรณกรรมชื่อดังที่ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างรามเกียรติ์ ที่ชูตัวละครหนุมานไว้อย่างโดดเด่นอยู่ริมผนังไว้ได้อย่างเพลินตา ซึ่งพื้นที่ชั้นบนนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่จัดงานไพรเวทดินเนอร์ หรือปาร์ตี้ส่วนตัวกับเพื่อนฝูงได้สบายๆ ด้วยครับ

 
ยังไม่หมดแค่นี้เมื่อยามค่ำคืนยังมีการโชว์เทคนิค 3D Mapping ด้วยการฉายภาพเคลื่อนไหวบนเพดาน และประตูทางเข้าด้านหน้าร้าน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับมื้อดินเนอร์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

 
มาดูเรื่องอาหารกันบ้างดีกว่าครับ ที่บอกว่าที่นี่แม้จะดูทันสมัย หรูหรา แต่ว่ารสชาติอาหารนั้นถือว่าจัดจ้านแบบไทยๆ อาหารของที่นี่จึงอยู่ภายใต้คอนเซ็ปท์ The Best Authentic Thai Taste with Modern Twist เพราะว่าได้รับการรังสรรค์จาก เชฟปู ปูริดา ธีระพงษ์ สุดยอดเชฟหญิงระดับแนวหน้าของเมืองไทย ที่มีประสบการณ์ด้านอาหารไทยมานานกว่า 15 ปี กับภัตตาคารชั้นนำทั้งต่างประเทศและในบ้านเรา นอกจากนี้ยังการันตีด้วยตำแหน่งแชมป์ผู้ท้าชิงจากร้านการเชฟกระทะเหล็กแห่งประเทศไทย ซึ่งชนะด้วยเมนูที่ใช้วัตถุดิบหลักอย่างดอกไม้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีทีเดียวครับ และแน่นอนว่าค่ำคืนนี้จะต้องมีเมนูสวยๆ รสชาติดีที่ทำจากดอกไม้แน่นอนครับ

 
ก่อนอื่นขอเริ่มที่เครื่องดื่ม Signature ของทางร้านนั่นก็คือ OSHA Chada (โอชา ชฎา) เครื่องดื่มที่เลือกได้ว่าจะสั่งแบบ Cocktail หรือ Mocktail เครื่องดื่มที่มีน้ำเสาวรสเป็นตัวชูโรง ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สดชื่น เสิร์ฟมาแบบไทยๆ ด้วยการเพิ่มเติมชฏาทรงสูงเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของร้าน

 
แล้วก็เริ่มต้นด้วยเมนู Garden Talk Crispy & Berry Sauce (250 บาท) หรือ ดอกไม้กรอบซอสลูกหม่อน เป็นเมนูทานเล่นที่นำเอาแผ่นแป้งปอเปี๊ยะคลุกเคล้ากับกลีบดอกไม้ที่ทานได้นำไปอบแทนการทอด ทำให้ได้แป้งที่กรอบแต่ไม่แตกง่าย ทานกับซอสลูกหม่อนที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น รสชาติอร่อยเข้ากันอย่างลงตัวครับ เป็นเมนูที่ถือว่าทานง่ายไม่อ้วนด้วยนะครับ

 

 
ต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูที่สวยงามและถือว่าเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟปูเลยก็ว่าได้นั่นก็คือ OSHA Ocean & Flora Salad (490 บาท) ยำหอยเชลล์น้ำฟักข้าว เป็นเมนูที่ผมชอบมากเพราะน้ำยำที่ทำจากฟักข้าวนั้นรสชาติจัดจ้าน แถมสีสันก็สวยงาม นอกจากนี้ดอกไม้ที่ประดับอยู่รอบๆ จานก็สามารถนำมาทานคู่กับน้ำยำทำให้อร่อยจัดจ้าน ไม่แพ้ความสวยงามเลยครับ

 

 
ถัดไปก็เป็นเมนู Nam Prik Goong (350 บาท) ที่นี่เรียกเมนูนี้ว่าน้ำพริกกุ้งสะเออะ เป็นน้ำพริกที่ชื่อแปลกหู แต่รสชาติรับรองว่าอร่อยถูกใจ เพราะเป็นน้ำพริกที่ปรุงจากการคั้นเนื้อกุ้งกับน้ำมะนาวและเพิ่มรสชาติด้วยไข่เค็มกับพริกสด ทานคู่กับผักสดที่เสิร์ฟมาพร้อมกันได้อย่างอร่อยแบบไทยๆ แน่นอนครับ

 

 

 
มาต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูอาหารไทยที่ไปที่ไหนก็ขาดไม่ได้นั่นก็คือ Tom Yum Goong (400 บาท) แต่ต้มยำกุ้งของที่นี่เสิร์ฟในรูปแบบแปลกตาด้วยเครื่องต้มแบบวิธีไซฟ่อนด้วยการใช้ไฟทำให้หม้อร้อนแล้วทำให้น้ำต้มยำนั้นเดือดขึ้นไปผสมผสานกับเครื่องต้มยำ จากนั้นก็ทำการแยกน้ำต้มยำออกมาจากเครื่องต้มยำต่างๆ ทำให้สามารถซดน้ำต้มยำได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะติดวัตถุดิบอื่นๆ มาด้วยรึเปล่า นอกจากนี้ยังเพิ่มรสชาติอร่อยๆ และกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลของกุ้งแม่น้ำย่างตัวโต ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวลให้ชวนชิมสุดๆ แม้ว่ารูปลักษณ์จะแตกต่างออกไป แต่รสชาติรับรองว่าอร่อยจัดจ้านตามแบบฉบับต้มยำกุ้งจริงๆ ครับ

 
กับข้าวมาเต็มแบบนี้ต้องทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะครบรสอาหารไทยจริงมั้ยครับ แต่ที่พิเศษก็คือข้าวที่ทางร้านนำเสนอเป็น ข้าวกล้องโอชา ซึ่งเป็นการนำข้าวไรซ์เบอร์รี่ไปหุ้งด้วยในลูกมะพร้าวเผา ซึ่งจะทำให้ได้ข้าวที่รสชาติหอมหวาน บอกตรงๆ ว่าทานเปล่าๆ ก็หวานอร่อยสุดๆ แล้วครับ

 
จากนั้นก็มาต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูโปรดของผมนั่นก็คือ Classic Yellow Curry Chicken (650 บาท) แกงกะหรี่ไก่ที่พาเอาความอร่อยนุ่มละมุนลิ้นมาเสิร์ฟแบบจัดเต็ม ด้วยน้ำแกงที่หอมเครื่องเทศเข้มข้นแบบไทย น่องไก่ก็นุ่มอร่อย แถมทานคู่กับโรตีกล้วยทอดรสชาติเข้ากันอย่างลงตัวสุดๆ ครับ

 
จากนั้นก็ปิดท้ายขอคาวด้วยเมนู Grilled Lamb Cutlet with Herb Crush (750 บาท) ซี่โครงแกะสมุนไพรชิ้นใหญ่ ย่างมาแบบ medium rare ส่งกลิ่นหอมชวนทาน แถมเนื้อนุ่มสุกกำลังดี มาพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรพิเศษได้บรรยากาศความเป็นไทยขึ้นมาทันที ซึ่งรสชาติอร่อยไม่มีกลิ่นคาวมากวนใจแม้แต่นิด เมนูนี้ถูกใจสุดๆ ครับ

 
แล้วก็มาถึงเมนูของหวานบ้างครับ เริ่มที่ Fresh Fruits (280 บาท) ผลไม้รวมที่จัดมาได้อย่างสวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมเชอร์เบทแบบโฮมเมด ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดี ที่สำคัญโต๊ะข้างๆ สั่งเมนูนี้พร้อมปักเทียนวันเกิดถือเป็นเค้กวันเกิดที่สวยแปลกตาจากที่เคยเห็น เก๋ไก๋ไปอีกแบบครับ

 
หรือจะเลือกของหวานเบาๆ แต่รสชาติไม่เบาด้วย Ice Cream Sorbet (280 บาท) ไอศกรีมสัปปะรดพริกเกลือ และสตรอเบอร์รี่พริกเกลือ ไอศกรีมเชอร์แบทโฮมเมดที่ผสมผสานรวมเอาผลไม้และพริกเกลือที่ใช้ทานคู่กับผลไม้นำมาทำเป็นไอศกรีมได้ลงตัวสัมผัสได้ถึงรสชาติของพริกเกลือที่แทรกอยู่ในตัวผลไม้ได้ดีทีเดียว

 
สำหรับมื้อนี้นอกจากจะได้ดื่มดำกับอาหารไทยที่สวยงามแต่ได้รสชาติอร่อยจัดจ้านแบบไทยๆ ยังได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศร้านที่สวยสะดุดตา ทำให้รู้สึกได้ว่า Osha Thai Restaurant & Bar ถือว่าเป็น Fine Thai Dining ที่ดีอีกแห่งหนึ่งสำหรับผมเลยก็ว่าได้ครับ สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารไทยในบรรยากาศสวยๆ แบบนี้แวะมาได้ที่ร้าน Osha ปากซอยร่วมฤดีตัดกับถนนวิทยุ แล้วจะหลงรักที่นี่ได้ไม่ยากเลยครับ

 
เมนูแนะนำ:  Garden Talk Crispy & Berry Sauce,OSHA Ocean & Flora Salad,Tom Yum Goong,Grilled Lamb Cutlet with Herb Crush
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿700

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 4  |  
Environment
 5  |  
Service
 4  |  
Clean
 4  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารไทยทั่วไป | อาหารอิตาเลียน | อาหารอเมริกัน | อาหารฟิวชั่น | ร้านเค้กและเบเกอรี่ | ร้านอาหารทั่วไป | คาเฟ่ | ลำลอง | ครอบครัว ลำลอง

 
วันนี้ขอพาไปนั่งชิลๆ ร้านอาหารที่บอกเลยว่าตกแต่งได้อย่างสวยงาม น่ารัก น่านั่งสุดๆ เพราะร้านที่ว่าก็คือ Audrey Café des Fleurs นั่นเองครับ สำหรับรีวิวนี้มีโปรฯ ดีๆ มาบอกด้วยนะ เป็นอย่างไรเข้าไปดูรีวิวได้เลยครับ

 

 

 

 

 
ซึ่งร้านอาหารในเครือ Audrey นั้นรับรองได้เลยว่าบรรยากาศสวยงาม น่านั่งทุกร้าน ทุกสาขา และสำหรับ Audrey Café des Fleurs นั้นก็สวยสะดุดตาตั้งแต่ทางเข้า ไปยันมุมด้านในสุดของร้าน เพราะที่นี่ตกแต่งด้วยธีมสวนดอกไม้สไตล์ฝรั่งเศสย่านโพวองซ์ ซึ่งบรรยากาศด้านในเต็มไปด้วยความสดใน ความสดชื่นของไม้ประดับที่วางเรียงรายอยู่หน้าร้านและมุมต่างๆ โดยมีการแบ่งพื้นที่ 3 โซน ด้านในร้านโซนตรงกลางเป็นเหมือนบรรยากาศในบ้านที่ตกแต่งด้วยผนังกระจกสลับกับปูนที่มีการประดับด้วยกรอบรูปเรียงรายอยู่เต็มผนัง

 

 
ถัดออกไปด้านในก็จะเป็นบรรยากาศในสวนหน้าบ้าน ซึ่งมุมนี้น่ารักด้วยประตูไม้และหน้าต่างสีพาสเทล ดูสดใส พื้นก็ทำให้เหมือนเป็นถนนอิฐ และมุมนี้ได้รับแสงจากผนังกระจก ทำให้บรรยากาศส่วนนี้คล้ายกับสวนดอกไม้ที่อยู่ที่ฝรั่งเศสจริงๆ นอกจากนี้วิวจากมุมนี้ก็ทำให้มองเห็นตึกสูงย่านสุขุมวิท ซึ่งดูแล้วก็เพลินตาไปอีกแบบ ส่วนตัวแล้วผมชอบมุมนี้มากๆ ครับ

 

 
ส่วนโซนสุดท้ายคือมุมตรงข้ามร้านซึ่งมุมนี้เป็นมุมที่ใช้วางเค้ก เบเกอรี่ และไอศกรีม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สามารถแวะมาทานแต่ของหวานชิลๆ ได้สบายๆ

 
มาดูเรื่องอาหารกันบ้างดีกว่าครับ อาหารที่นี่ก็จะเน้นแนวฟิวชั่นเป็นหลัก ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลาย ที่นี่นอกจากจะมีธีมเป็นสวนดอกไม้แล้ว ยังมีการนำดอกไม้มาเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วยนะครับ แต่ก่อนอื่นขอเติมความสดชื่นด้วย Sakura Glazier (140 บาท) เครื่องดื่มสีชมพูหวานสดใสเข้ากับบรรยากาศของร้าน ที่สำคัญให้รสชาติกลมกล่อม หวานละมุนกำลังดี และมีกลิ่นหอมขอดอกซากุระมาเตะที่ปลายจมูกทุกครั้งที่ดื่ม ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายได้ดีทีเดียวครับ

 
ขอเริ่มที่เมนูรองท้องอย่าง Grilled Marinated Pork wrapped in White Noodles (180 บาท) ก๋วยเตี๋ยวหลอดสอดไส้หมูปิ้งราดด้วยน้ำซอสรสกลมกล่อม สามารถเติมรสชาติได้ด้วยน้ำจิ้มแจ่ว เสิร์ฟพร้อมผักสด เป็นเมนูที่รสชาติอร่อย ลงตัว แทบไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มเลยครับ

 

 
ต่อด้วย Spaghetti “Tom Yum” (กุ้งแม่น้ำ 370 บาท) สปาเก็ตตี้ที่เติมรสจัดจ้านด้วยรสชาติต้มยำกุ้งแบบไทย เมนูนี้สามารถเลือกได้ระหว่างกุ้งแม่น้ำ หรือกุ้งแชบ๊วย (190 บาท) สำหรับกุ้งแม่น้ำก็จะได้รสชาติกุ้งแบบเน้นๆ ที่แกะเปลือกมาเรียบร้อยพร้อมทานได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เป็นเมนูที่ไม่ควรพลาดครับ

 

 
จากนั้นก็ปิดท้ายของคาวด้วยอีกเมนูโปรดที่ผมมักจะสั่งอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือ “Tom Yum Kung” Spicy Herbal with Prawn & Mushroom (220 บาท) เบบี้พิซซ่าที่มาพร้อมรสชาติจัดจ้านของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน เสิร์ฟในปริมาณกำลังดี แบ่งกันทานสองคนได้สบายๆ ตัวแป้งบางกรอบอร่อย ส่วนหน้านั้นก็ได้รสชาติจัดจ้านของต้มยำกุ้งแบบไทยๆ เป็นเมนูที่เคี้ยวเพลินเลยครับ

 
สำหรับที่นี่แล้วผมชอบทั้งบรรยากาศร้านที่สวยเหมือนนั่งอยู่ต่างประเทศจริงๆ แล้วก็รสชาติที่อร่อยถูกปากด้วยครับ 

 
เมนูแนะนำ:  “Tom Yum Kung” Spicy Herbal with Prawn & Mushroom,Spaghetti “Tom Yum”
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿500

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 4  |  
Environment
 5  |  
Service
 4  |  
Clean
 5  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ