3
0
0
Level4
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินร้านอาหารไทยอีกหนึ่งร้านในย่านถนนวิทยุ ปากซอยร่วมฤดีนะคะ ซึ่งการไปครั้งนี้ ก็เป็นการแลกรีวิวกับเวาเชอร์จากเว็บหนึ่งเช่นเคยค่ะ และน้องเหมียว nanareview ก็แลกไว้เช่นกัน จึงนัดหมายไปพร้อมกันซะเลยนะคะ อิอิป.ล. รูปรอบนี้ เนื่องจากมีงานติดๆ กันมาก กลัวรีวิวไม่ทัน เลยรีบย่อรูปด้วยโปรแกรม photoscape นะคะ ซึ่งคุณภาพรูปจะออกมาด้อยกว่าย่อด้วยโฟโต้เฉาะหน่อยหนึ่งค่ะ ขออภัยทุกท่านด้วยนะฮับป.ป.ล. ปลายก.พ.จะมีพาเพื่อนไปเลี้ยงขอบคุณอีกรอบ แล้วจะมารีวิวเพิ่มเติมนะคะสำหรับพิกัดร้านนี้ก็อยู่ปากซอยร่วมฤดี ตามนี้เลยนะคะวันนั้นเราขับรถไปค่ะ ไปจากทางแยกราชประสงค์ กูเกิ้ลแมพให้วิ่งไปทางเส้นราชดำริ ต่อด้วยสารสิน จนชนทีตั
Read full review
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินร้านอาหารไทยอีกหนึ่งร้านในย่านถนนวิทยุ ปากซอยร่วมฤดีนะคะ ซึ่งการไปครั้งนี้ ก็เป็นการแลกรีวิวกับเวาเชอร์จากเว็บหนึ่งเช่นเคยค่ะ และน้องเหมียว nanareview ก็แลกไว้เช่นกัน จึงนัดหมายไปพร้อมกันซะเลยนะคะ อิอิ
ป.ล. รูปรอบนี้ เนื่องจากมีงานติดๆ กันมาก กลัวรีวิวไม่ทัน เลยรีบย่อรูปด้วยโปรแกรม photoscape นะคะ ซึ่งคุณภาพรูปจะออกมาด้อยกว่าย่อด้วยโฟโต้เฉาะหน่อยหนึ่งค่ะ ขออภัยทุกท่านด้วยนะฮับ
ป.ป.ล. ปลายก.พ.จะมีพาเพื่อนไปเลี้ยงขอบคุณอีกรอบ แล้วจะมารีวิวเพิ่มเติมนะคะ
สำหรับพิกัดร้านนี้ก็อยู่ปากซอยร่วมฤดี ตามนี้เลยนะคะ
125 views
1 likes
0 comments
วันนั้นเราขับรถไปค่ะ ไปจากทางแยกราชประสงค์ กูเกิ้ลแมพให้วิ่งไปทางเส้นราชดำริ ต่อด้วยสารสิน จนชนทีตันก็เลี้ยวซ้ายแล้วอยู่ขวาเลย เพื่อจะเลี้ยวขวาตรงซอยร่วมฤดีค่ะ เพราะหลังร้านอาหาร (ซึ่งอยู่ปากซอยตรงหัวมุมที่จะเลี้ยวพอดี) จะมี velvet parking นะคะ ให้กุญแจพนักงานไปให้เอารถไปจอดค่ะ แล้วเค้าจะให้กระดาษมา สำหรับตอนที่จะออกก็ให้พนักงานไปเอารถมาก่อนได้ค่ะ
88 views
2 likes
0 comments
เดินมาที่ด้านหน้าถนนวิทยุค่ะ ร้านจะอยู่เยื้องๆ อาคารเคี่ยนหงวนตามภาพนะคะ
82 views
2 likes
0 comments
หน้าร้านค่ะ ที่จริงข้างๆ ร้านก็มีที่นั่งอยุ่หน่อยหนึ่งนะคะ แต่วันนั้นไม่มีคนนั่งข้างนอกค่ะ
74 views
3 likes
0 comments
74 views
2 likes
0 comments
เป็นอีกร้านที่ได้รับรางวัล Best Restaurant นะคะ
87 views
2 likes
0 comments
เข้าไปในร้านก็จะเจอส่วนต้อนรับค่ะ ถ้าจองมาก็แจ้งชื่อไปนะคะ หรือถ้าไม่ได้จองก็แจ้งจำนวนไป พนักงานจะพาไปนั่งค่ะ
67 views
2 likes
0 comments
เข้าไปในร้านกันค่าา อลังการพอควรเลยนะคะ ที่นั่งจะมีทั้งด้านล่างและด้านบนค่ะ (เดี๋ยวด้านบนจะพาไปชมอีกทีนะฮับ)
62 views
2 likes
0 comments
ไปถึงก็มีสะเต๊ะไก่ (200 บาท++) ที่น้องเหมียวสั่งให้ลูกสาวกินเล่นอยู่แล้วค่ะ หน้าตาก็แบบนี้นะคะ
67 views
1 likes
0 comments
จากนั้นพนักงานก็นำ welcome drink ซึ่งเป็น complimentary มาให้ค่ะ เป็น Osha Sparkling (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) มี Pop Juice รสแพสชั่นฟรุ้ตและสตรอเบอรี่ค่ะ รสชาติออกหอมๆ หวานอมเปรี้ยว อร่อยดีค่ะ
แล้วก็จะเห็นว่าเค้ามีอุปกรณ์สำหรับเด็ก (ให้ลูกของเหมียว) ด้วยนะคะ ดีจัง
71 views
2 likes
0 comments
อ้อๆ ที่นี่มีไวไฟด้วยนะคะ
บนเพดานของร้านจะเป็น 3D Mapping มีการฉายภาพเรื่องราวต่างๆ ของไทยด้วยค่ะ สวยงามดี ไอเดียเก๋ค่ะ ชอบๆ
52 views
2 likes
0 comments
มาดูเมนูกันนะคะ มีทั้งเมนูเครื่องดื่มและอาหารค่ะ ที่นี่รับกรุ๊ปด้วยนะคะ เพราะมีถึง 120-130 ที่นั่งค่ะ
81 views
3 likes
0 comments
75 views
3 likes
0 comments
69 views
2 likes
0 comments
60 views
2 likes
0 comments
ก่อนที่จะเริ่มรีวิวอาหารที่ได้กินวันนั้น เรามารู้จักร้าน Osha กันก่อนดีกว่านะคะ
ใครอยากอ่านที่เว็บของร้านก็เชิญที่นี่เลยนะคะ
http://www.oshabangkok.com/
สำหรับร้าน Osha นี้เปิดครั้งแรกที่เมืองซานฟรานซิสโกนะคะ มีทั้งหมด 9 สาขา แต่ไม่ใช่ Fine dining ทั้งหมดค่ะ ซึ่งสาขาแรกเปิดมาได้ 18 ปีแล้วค่ะ (นี่ตรูไปอยู่ไหนมา ไม่รู้จักร้านนี้อ้ะ) เพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1997 (2540) ค่ะ
ซึ่งเชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ เป็นผู้คิดค้นและสร้างสรรค์เมนูในสไตล์ Molecular Gastonomy นะคะ โดยเราก็ไปหาข้อมูลของการทำอาหารแบบ Molecular Gastonomy ซึ่งได้มาจากลิงก์นี้ ก็ได้ความว่า
ใครๆ ก็พูดถึงอาหารตำรับ “โมเลกูลาร์” (Molecular Gastronomy) ยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยจึงเรียกทับศัพท์กันไปก่อน หากจะเรียกว่า “อาหารอณูโมเลกุล” อาจจะทำให้นึกถึงชิ้นส่วนของสัตว์หรือพืชจากห้องทดลอง อย่างนั้นอย่าดีกว่า เรียกว่าอาหารโมเลกูลาร์ไปดีแล้ว
ลองนึกถึงค็อกเทล แทนที่จะเสิร์ฟใส่แก้วแต่กลับเอาค็อกเทลที่ผสมแล้วไปใส่แม่พิมพ์น้ำแข็งที่เป็นรูปทรงกลมเหมือนลูกบิลเลียด นำเข้าช่องแช่แข็งประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งรอบนอกที่หนาพอ นำออกมาแล้วเจาะรูด้านบนใช้หลอดดูดยาดูดน้ำตรงกลางลูกบอลออกแล้วเติมค็อกเทลไปใส่แทน หลังจากนั้นนำลูกบอลค็อกเทลไปใส่ในแก้วทรงกระบอกจะให้ดูเป็นงานศิลปะก็ควรจะเป็นค็อกเทลที่มีสีสัน เช่น สีฟ้าหรือสีส้ม เวลาดื่มก็ต้องเอาค้อนเล็กๆ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับลูกบอลค็อกเทลทุบให้แตก ฟังดูยุ่งยาก แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าได้ความตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นกว่าที่จะแค่ยกแก้วซดเข้าปาก
จากเครื่องดื่มแบบโมเลกูลาร์มาลองทำ ราวิโอลี (Ravioli) กันบ้าง แทนที่จะห่อด้วยแผ่นแป้งสีเหลืองอ่อน เราจะทำราวิโอลีหายตัวได้คือเป็นเกี๊ยวแผ่นใสที่ทำมาจากส่วนผสมของแป้งมันสำปะหลัง เมื่อโดนน้ำแผ่นแป้งก็จะย่อยละลายทันที เมื่อเสิร์ฟจะมองเห็นไส้ของราวิโอลีว่ามีอะไรบ้างและสามารถดัดแปลงไส้ให้แปลกจากไส้ราวิโอลีปกติ เสริมให้อาหารธรรมดามีความเลอค่าเพิ่มขึ้น แต่วิธีทำไม่ได้ง่ายเหมือนพักเกี๊ยว เพราะแผ่นฟิล์มใสจากมันสำปะหลังนั้นต้องเอามาพับให้เป็นกระเปาะสามเหลี่ยม แล้วใช้เครื่องนาบขอบให้ติดกัน หลังจากนั้นก็ต้องใช้หลอดดูดยาฉีดไส้เข้าไปในกระเปาะ ราวิโอลีโปร่งใสนี้มีมาตั้งแต่ปี 2009 โดยเชฟเฟอราน อาดรียา (Ferran Adira) แห่งร้านอาหารระดับโลกชื่อ elBulli ในเมืองโรสเซส เขตคาตาโลเนียของสเปน
อาหารโมเลกูลาร์จึงหมายถึงนวัตกรรมการทำอาหารโดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยวิธีการศึกษาองค์ประกอบของเครื่องปรุงอย่างวิทยาศาสตร์ศึกษาปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เครื่องปรุงเปลี่ยนรสหรือเปลี่ยนสี เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ได้ทั้งรูปทรงใหม่ๆ และรสชาติที่แตกต่างจากของเดิม โดยยังอ้างอิงถึงความสวยงามในเชิงศิลปะและการรับรู้ของแต่ละสังคมอีกด้วย
เชฟรุ่นใหม่อาจจะชอบเรียกศาสตร์แห่งการปรุงแบบโมเลกูลาร์ว่า Modern Cuisine หรือ Modernist Cuisine มากกว่า Molecular Gastronomy ยังมีนิยามอื่นๆ อีกมาก ซึ่งจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เช่น Experimental Cuisine และ Avant-Garde Cuisine แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็มีคนบางกลุ่มรู้สึกต่อต้าน เพราะเป็นการนำเสนออาหารที่ต้องอาศัยความเข้าใจศาสตร์ชั้นสูงแบ่งแยกชนชั้น และครัวเรือนทั่วไปไม่สามารถทำได้
แต่ร้านอาหารที่อาศัยโมเลกูลาร์สไตล์เป็นจุดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่อครัวแม่ครัวที่เก่งและทำอาหารอย่างใส่ใจด้วยความหลงใหลคงไม่ต้องอาศัยเครื่องมือวิทยาศาสตร์มากมาย เพราะเมื่อทำมามากชั่วโมงบินเยอะ สร้างสรรค์เองไว้มาก ย่อมจะสังเกตแล้วว่าเครื่องปรุงชนิดใดทำปฏิกิริยากับความร้อนความเย็นอย่างไร และได้รสชาติออกมาเป็นอย่างไร ส่วนการนำเสนอให้เป็นศิลปะสมัยใหม่ที่ไม่ใช่การแกะสลักผักและผลไม้ คงต้องศึกษาศิลปะสมัยใหม่และองค์ความรู้โลก เพื่อนำมาช่วยในการจัดรูปทรงและสีสัน
ถ้าหากมองในระดับศาสตร์ชั้นสูงเชฟที่จริงจังกับอาหารโมเลกูลาร์จะทดลองแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่อิงนิยายหรือโมเม เช่น การใช้ไขมันมาปรุงอาหารโดยให้มีรสของโหระพา มะกอก (โอลีฟ) และหอมหัวใหญ่ โดยให้น้ำมันคลายรสออกมาอย่างเรียงลำดับไม่ใช่มีสามรสรวมกัน หรือแม้แต่การใช้เนื้อสัตว์ เช่น ปูหรือแซลมอนมาทำไอศกรีมก็ต้องอาศัยความชำนาญทางเคมี เพื่อกำจัดกลิ่นคาวของปูและปลาให้ได้ไอศกรีมปูแทนไอศกรีมคาวปูอย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนำจริตโมเลกูลาร์ที่กล่าวมาไปปะปนกับการทดลองหารสชาติใหม่ๆ โดยการลองไปเรื่อยๆ เช่น ไอศกรีมปลาช่อน ไอศกรีมวาซาบิ ข้าวเกรียบปลาทูหรือกุนเชียงปลา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการลองทำ ลองชิม และลองตลาด อันไหนผู้คนไม่นิยมก็เลิกรากันไป
สำหรับคนที่ไม่คุ้นอาจจะรู้สึกว่าอาหารโมเลกูลาร์นั้นพิสดาร เคลือบแคลงในรสชาติ เพราะหน้าตาไม่เหมือนกับที่คุ้นเคยและอาจรู้สึกว่าไม่ได้คุณค่าทางอาหารเป็นอาหารสังเคราะห์ หรือมีสารเคมีหลายชนิด ซึ่งก็ว่ากันไม่ได้ เพราะมีวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ชัดๆ ให้เห็นบ่อยๆ เช่น การใช้ไนโตรเจนเหลวพ่นใส่อาหาร หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเตรียมที่ดูเหมือนเครื่องมือแพทย์ แต่เชฟที่ประดิษฐ์อาหารเหล่านี้มีชื่อเสียงและร้านอาหารระดับโลกเป็นเดิมพัน ดังนั้นแม้ว่าจะมีการใช้ส่วนประกอบเคมี แต่ก็เป็นเคมีที่ทำมาจากธรรมชาติ ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ แปรรูปแล้วให้กินได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อร่างกายและใช้ในปริมาณที่ผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยาของแต่ละประเทศ
แต่อาหารโมเลกูลาร์คงยังก้าวไปข้างหน้าอย่างแน่นอน เพราะไม่มีขอบเขตจำกัด เราอาจจะอ่านเมนูไม่ค่อยเข้าใจชัดนักและคิดภาพว่าอาหารควรจะหน้าตาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อนำมาเสิร์ฟแล้วอาจจะแทบจำไม่ได้ เช่น แอสพารากัสทำให้เป็นเม็ดกลมขนาดไข่มุกเม็ดใหญ่ เสิร์ฟมาเป็นกองเหมือนไข่ปลาแซลมอนบนช้อนรูปทรงทันสมัย หรือขนมเค้กชิ้นพอดีคำมีโฟมครีมสีชมพูหวานวัยรุ่นท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ด้านบน
การปรุงอาหารแบบโมเดิร์นนิสต์อาจไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์จากห้องทดลองวิทยาศาสตร์เสมอไป วิธีการทำอาหารให้สุกที่เรียกว่า ซูสวิด (Sous-Vide) คือการนำอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ใส่ถุงพลาสติกไล่ลมออกให้เป็นสุญญากาศ แล้วนำลงไปแช่ในน้ำร้อนตามอุณหภูมิและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะใส่เวลานานกว่าแต่จะได้เนื้อสัตว์ที่สุกเสมอกัน หรือกึ่งสุกทั่วทั้งชิ้น เนื้อสเต๊กที่ทอดในกระทะหรือบนเตาย่างที่ใช้อุณหภูมิระดับหนึ่ง (เพื่อให้สุกน้อยหรือกึ่งสุก) ผิวนอกของเนื้อจะสุกมากไปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่วิธีการ Sous-Vide ที่ใช้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับของกระทะผิวนอกจะไม่สุกมากเลย แต่ก่อนเสิร์ฟอาจจะใช้ปืนไฟเผาเพื่อให้ดูน่ากิน หรือการทำแคบหมูของทางเหนือ โดยนำหนังหมูที่หั่นแล้วต้มในน้ำมัน แล้วปล่อยแช่ทิ้งไว้ในน้ำมันข้ามคืน วันรุ่งขึ้นเพียงจุดเตาให้น้ำมันร้อนจัดแคบหมูก็จะพองกรอบ วิธีการเหล่านี้เกิดจากการทดลองนอกห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการทดลองในครัวที่ทำกันหลายสิบหลายร้อยหน จนได้เคล็ดลับที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาหลายชั่วคน
อาหารทุกชาติมีสิทธิ์ที่จะปรับรูปทรงและดัดแปลงรสชาติ โดยให้มีรสเด่นจากตำรับดั้งเดิม เพื่อให้ระบุถึงที่มาได้ อาหารไทยก็มีสิทธิ์เช่นกัน แต่ต้องเข้าใจคุณลักษณะของเครื่องปรุงทุกชนิด ทั้งเครื่องเทศ เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องปรุงรสให้ถ่องแท้ ถ้าเข้าใจดีไม่ต้องลงทุนห้องแล็บ แต่เมื่อประดิษฐ์ขึ้นมาได้แล้วก็ควรจะต้อง “ทดสอบ” การยอมรับของผู้กินก่อน อาจจะในวงเพื่อนฝูงขยายไปยังบุคคลทั่วไป
อ่านจบแล้วก็ต้องออกตัวก่อนว่า..สำหรับเมนูวันนั้นเราไม่ได้สัมผัสกับกรรมวิธีการทำอาหารแบบที่ว่านักนะคะ ที่จริงมีหลายเมนูเลยแหละที่โชว์กรรมวิธีการทำอาหารสไตล์ Molecular Gastonomy แต่เวาเชอร์กำหนดมาแบบนี้ก็เลยกินตามนี้ไปก่อนน่ะค่ะ ถึงอยากไปกินเองอีกรอบหละค่ะ แหะๆ
เอาหละค่ะ มาสู่เมนูแรกนะคะ กับเครื่องดื่มที่แค่ตอนเสิร์ฟก็ว้าวแล้วค่ะ
Osha Chada (555 บาท..ค่ะ พิมพ์ราคาไม่ผิด นี่เพิ่งรู้ว่าการซื้ออีเวาเชอร์มันคุ้มขนาดนี้นะนี่ นี่แลกคะแนนมาก็ยิ่งคุ้มค่ะ เหอๆ)
50 views
2 likes
0 comments
จะเห็นว่ามีสองแก้วนะคะ แก้วหนึ่งมีแอลกอฮอล์ของเหมียวค่ะ ส่วนของเราเป็นแบบไม่มีแอลกอฮอล์ค่ะ เพราะเราขับรถมาง่ะนะคะ แหะๆ
รสชาติของเราเปรี้ยวกำลังดีค่ะ หอมเสาวรสมากๆ อร่อยสดชื่นดีนะคะ
ต่อไปเป็นอะมุชบุชค่ะ รอบนี้เราได้เป็นปอเปี๊ยะไก่ (น้องพนักงานแจ้งว่าแต่ละวันไม่เหมือนกันนะคะ มีการเปลี่ยนเมนูค่ะ)
รสเบาๆ นะคะ ออกหวานนำค่ะสำหรับเมนูนี้
56 views
3 likes
0 comments
ระหว่างรอเมนูต่อไปก็ไปเก็บภาพที่นั่งด้านล่างบริเวณอื่นๆ ก่อนค่ะ
53 views
2 likes
0 comments
56 views
2 likes
0 comments
ต่อไปค่ะกับเมนูไข่ซูวี่ (พยายามจะขยายดูราคาจากเมนูแล้ว แต่ไม่สำเร็จค่ะ ขออภัย แต่จากใบเสร็จบอกว่า 280 บาท++นะคะ)
47 views
3 likes
0 comments
รสจะออกแนวเบาๆ นะคะ เค็มจากไข่ปลาแซลมอนที่โรยเป็นท็อปปิ้งมา เหมาะที่จะอุ่นท้องก่อนถึงจานหลักค่ะ
เมนูนี้ลูกสาวน้องเหมียวชอบมากๆ ค่ะ เลยสั่งเพิ่มให้น้องได้หม่ำอีกชามหละ อิอิ กินหมดด้วยนะนั่น
จากนั้นพนักงานก็นำโบรชัวร์รายละเอียดต่างๆ ของร้านมาให้ค่ะ ถ้าท่านใดต้องการมาช่วง Happy Hour buy 1 get 1 free ที่ร้านนี้มีโปรฯ ดังกล่าวในช่วงเวลา 17.00-20.00 น.ค่ะ
54 views
3 likes
0 comments
43 views
2 likes
0 comments
นอกจากนั้นก็ยังมีเซ็ตอาหารกลางวันในราคา 285++ (335 net) สำหรับเมนคอร์สด้วยค่ะ แต่ถ้าต้องการจับคู่กับสตาร์ตเตอร์หรือของหวานก็เพิ่มอีก 100++ (118 net) รวมแล้วก็ราวๆ 453 บาทเน็ตนะคะ
แต่สำหรับดินเนอร์เซ็ต 3 คอร์ส (น่าจะคล้ายกับที่เรากินครั้งนี้) จะเป็นราคา 1700++ (2201 net) ค่ะ
สำหรับเมนคอร์สของเราวันนั้นเป็นผัดไทยไชยาค่ะ (เช่นกันค่ะ ซูมเมนูดูราคาแล้วไม่สำเร็จง่า ขออภัย แต่ไปดูจากรีวิวเว็บหนึ่งบอกว่าผัดไทยราคา 450 บาท++นะคะ) โดยมีเครื่องปรุงมาให้ด้วยนะคะ แล้วก็มะนาวก็เสียบไม้มาให้บีบได้สะดวกขึ้น ชอบค่ะ แต่มาจานใหญ่มากกกกกกกก เก๊ากินไม่หมดง่ะ เสียดายมากๆ
39 views
2 likes
0 comments
47 views
2 likes
0 comments
สำหรับเมนูนี้ เท่าที่ฟังพนักงาน (ที่เดี๋ยวจะมีรูปให้ดูว่าคนไหนนะคะ) ซึ่งให้ข้อมูลดีมากเล่าให้ฟัง (และพอจะจดทัน เพราะละเอียดมาก ชอบๆ) ก็บอกว่านำเส้นไปผัดกับไข่เค็มไชยา โดยใช้เฉพาะไข่แดง จากนั้นก็นำไปผัดกับซอสพริกเผา ซึ่งกุ้งในเมนูนี้จะเป็นกุ้งแม่น้ำ ตัวผักแนมก็เป็น banana blossom tempura คือการนำปลีไปชุบแป้งทอดค่ะ
สำหรับรสชาติการกินนะคะ เส้นผัดไทยมีรสเผ็ด หอมน้ำพริกเผา มีความมันของไข่เค็มแฝงมาเบาๆ ไม่เด่นมากกำลังดีค่ะ รสจัดแบบแทบไม่ต้องปรุงเลยนะคะ อร่อยอ้ะ ชอบ (แต่ถ้าเย็นแล้วรสชาติจะดร็อปลงนะคะ แนะนำให้กินตั้งแต่ยังร้อนๆ อุ่นๆ อยู่ค่ะ) ซึ่งเราก็ถามน้องเค้าว่า ชาวต่างชาติจะกินเผ็ดขนาดนี้ได้เหรอ น้องแจ้งว่า สำหรับชาวต่างชาติสามารถสั่งเป็น less spicy ได้ค่ะ (ก็ควรนะ ไม่งั้นไม่น่าจะกินไหวค่ะ หุๆ)
นี่คือไข่ซูวี่ที่สั่งเพิ่มมาให้ลูกสาวน้องเหมียวค่ะ...ทำไมสวยกว่าของเราที่มาในเซ็ตหละ 555
48 views
3 likes
0 comments
ต่อไปเป็นเมนูที่สั่งมาลองกินกันเพิ่มจากเวาเชอร์ที่ไปใช้ค่ะ
Dancing King Prawn 380 บาท++ค่ะ
44 views
3 likes
0 comments
เป็นการนำกุ้งลายเสือ เพราะตัวไม่ใหญ่เกินไปสำหรับการกินดิบน่ะนะคะ ถ้ากุ้งแม่น้ำมันจะใหญ่ไปน่ะ (เห็นด้วยค่ะ) น้องบอกว่า ถ้ากุ้งแม่น้ำจะเป็นฉู่ฉี่ค่ะ
สำหรับเมนูนี้ กุ้งสดนิ่มดีค่ะ ซอส (กรานิต้าที่ทำจากน้ำจิ้มซีฟู้ด) ถ้ากินใหม่ๆ จะเย็นและสดชื่นกว่าตอนปล่อยละลายนะคะ รสจัดจ้านดีค่ะ
จากนั้นก็ไปสำรวจห้องน้ำค่ะ ชอบลายเพ้นท์สัญลักษณ์ห้องน้ำมาก เก๋เชียว
31 views
3 likes
0 comments
พอออกมาก็ขออนุญาตเค้าไปเก็บภาพที่ชั้นบนค่ะ ขึ้นบันไดไปกันเล้ยยย
40 views
3 likes
0 comments
สวยงามนะคะ มีอีกหลายที่นั่งพอควรเลยค่ะ เราว่าเป็นส่วนตัวกว่าข้างล่างดีนะคะ
50 views
3 likes
0 comments
ก่อนจะไปดูชั้นบนด้านใน เก็บภาพโดยรวมของชั้นล่างอีกครั้งค่ะ
50 views
2 likes
0 comments
ที่นั่งด้านในของชั้นบนค่ะ สวยเนาะ
53 views
3 likes
0 comments
50 views
2 likes
0 comments
65 views
2 likes
0 comments
72 views
2 likes
0 comments
ข้างบนก็มีป้ายบอกรางวัลที่ร้านนี้เคยได้รับค่ะ
52 views
3 likes
0 comments
น้องพนักงานท่านนี้นะคะที่ให้ข้อมูลตลอดเลยค่ะ ถ้าใครต้องการรู้เรื่องอาหารต่างๆ ก็สอบถามกับน้องเค้าได้นะคะ
ในมือเป็นไอแพ็ดสำหรับให้ดูรูปเมนูต่างๆ ค่ะ ตอนนั้นว่าจะสั่งของหวานกัน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถกันทั้งคู่ เสียดายเหมือนกัน
51 views
3 likes
0 comments
ค่าเสียหายที่จ่ายเพิ่มเติมจากเวาเชอร์ค่ะ ใช้บัตรเครดิตได้นะคะ
90 views
1 likes
0 comments
นอกจากนั้นก็มีให้ทำแบบสอบถามประเมินความพอใจด้วยค่ะ
115 views
2 likes
0 comments
สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ
เป็นอีกร้านที่เหมาะกับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ ราคาสูงตามระดับและชื่อเสียงของร้าน อาหารวันนั้นเราชอบจานหลัก (ผัดไทยไชยา) มากๆ ค่ะ อร่อยจัดจ้านดี ตัว Dancing King Prawn ก็ดีค่ะ การบริการดีมาก คู่ควรกับเซอร์วิสชาร์จ เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษๆ อยากกินอาหารที่ได้รับการปรุงแต่งในอีกรูปแบบหนึ่งน่ะค่ะ อย่างเราเองก็คิดว่าถ้ามีโอกาส (ซึ่งปลายกุมภานี้ก็คือโอกาสนั้นค่ะ พาเพื่อนไปเลี้ยงขอบคุณ แหะๆ) ก็คงจะไปอีก แต่คงไม่ไปบ่อย เพราะกระเป๋าจะเบาเกินไปนะคะ เหอๆ
(The above review is the personal opinion of a user which does not represent OpenRice's point of view.)
Post
DETAILED RATING
Taste
Decor
Service
Hygiene
Value
Dining Method
Dine In