Video
Read full review
2015-01-26
107 views
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปหม่ำร้านอาหารญี่ปุ่นที่เคยรีวิวไปแล้วครั้งหนึ่งแต่เป็นที่สาขาธนิยะนะคะ นั่นก็คือ ฮอกไกโดสึโบฮาจิ นั่นเองค่ะ แต่คราวนี้จะพาไปกินที่อีกสาขาหนึ่งนั่นก็คือที่สาขานิฮอนมาชิค่ะ พิกัดอยู่ที่สุขุมวิท26 รายละเอียดของร้านก็ตามนี้นะฮับโครงการ นิฮอนมาจิSEATING CAPACITY: 100 ท่านPRIVATE ROOM: 8 ห้องOPEN DAILY:จันทร์-ศุกร์: 17.00-24.00 น.เสาร์-อาทิตย์: 11.00-24.00 น.LAST ORDER: 23.30TEL: 02-262-0331แต่แม้ว่าจะบอกว่าพิกัดร้านอยู่สุขุมวิท 26 แต่วันที่เราไป เราไปจากทางพระรามสี่ โดยเข้าทางข้างๆ บิ๊กซีค่ะ ซึ่งเราว่า..ไปง่ายพอควรนะคะ (น่าจะง่ายกว่าเข้าทางสุขุมวิทด้วยซ้ำ แหะๆ)แผนที่ของทางร้านก็ตามนี้เลยนะคะพอเข้าไปใ
โครงการ นิฮอนมาจิ
SEATING CAPACITY: 100 ท่าน
PRIVATE ROOM: 8 ห้อง
OPEN DAILY:
จันทร์-ศุกร์: 17.00-24.00 น.
เสาร์-อาทิตย์: 11.00-24.00 น.
LAST ORDER: 23.30
TEL: 02-262-0331
แต่แม้ว่าจะบอกว่าพิกัดร้านอยู่สุขุมวิท 26 แต่วันที่เราไป เราไปจากทางพระรามสี่ โดยเข้าทางข้างๆ บิ๊กซีค่ะ ซึ่งเราว่า..ไปง่ายพอควรนะคะ (น่าจะง่ายกว่าเข้าทางสุขุมวิทด้วยซ้ำ แหะๆ)
แผนที่ของทางร้านก็ตามนี้เลยนะคะ
พอเข้าไปในนิฮอนมาชิเรียบร้อยแล้ว ก็จะเจอลานจอดรถอยู่ทางขวามือนะคะ รวมทั้งบริเวณหน้าตึกที่เป็นรูปตัวแอลคว่ำด้วยค่ะ จอดได้เยอะพอควรแหละ แต่พอค่ำๆ คนและรถก็เยอะมากนะคะ เพราะงั้น..ไปเร็วหน่อยดีกว่า (รูปนี้มาเก็บตอนจะกลับแล้วนะคะ เลยมืดหน่อยค่ะ)
ซึ่งตัวร้านสีโบฮาจิ จะอยู่ปลายตัวแอล เลยตัวลานจอดรถไปด้านในนะคะ ปลายตึกนี้ตามภาพเลยหละค่ะ
หน้าตาปลายตึกที่ร้านสึโบฮาจิตั้งอยู่ค่ะ จะอยู่ที่ชั้นล่างนะคะ จะเห็นว่ามีป้ายเทศกาลกินปูติดไว้ด้วยค่ะ ตัวเทศกาลนี้จะมีถึงเดือนมกราคมเท่านั้นนะคะ(เราไปกินตั้งแต่พฤศจิกายนค่ะ แหะๆ)
หันหน้าเข้าตึก เดินไปทางซ้ายมือจะเห็นประตูทางเข้าร้านอยู่ทางขวามือตามภาพนะคะ
เข้าไปปุ๊บก็จะเจอเคาน์เตอร์ตามภาพเลยค่ะ แจ้งจำนวนคนที่มาตรงนี้นะคะ หรือถ้าจองไว้ก็แจ้งชื่อค่ะ เพราะที่นี่มีห้องส่วนตัวด้วยนะคะ
เข้าไปในร้านเลี้ยวขวาไป โซนแรกทางซ้ายมือ จะเป็นโซนที่ไม่ใช่ห้องส่วนตัวนะคะส่วนทางขวามือจะเป็นห้องส่วนตัวโซนแรกที่มีโต๊ะเก้าอี้ค่ะ (จะเห็นบานพับสำหรับกั้นพับเก็บไว้อยู่ เห็นมั้ยเอ่ย?) ส่วนถัดเข้าไปด้านในสุ่ดทางซ้ายมือก็จะเป็นห้องส่วนตัวที่เป็นที่นั่งแบบสไตล์ญี่ปุ่นนะคะ
ห้องส่วนตัวนี่มีทั้งหมด 8 ห้องนะคะ จะเป็นห้องนั่งแบบญี่ปุ่น 6 ห้อง เป็นห้องเล็ก ส่วนตัวห้องมีเก้าอี้ที่เป็นห้องใหญ่มี 2 ห้องค่ะ
บริเวณตรงนี้จะเป็นที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์นะคะ ที่จริงถ้าเรามากินคนเดียว เราคงเลือกนั่งตรงนี้อะค่ะ ได้เห็นเชฟด้วยอ้ะ เป็นอาหารตาดีออก (ไม่ใช่แล้วเจ๊ ) ครืออออ..หมายถึงว่า นั่งดูเชฟทำอาหารไปเรียกน้ำย่อยดีออกค่า (หราา)
เมนูค่ะ ตัวนี้เป็นเมนูเฉพาะช่วงเทศกาลกินปูนี้เท่านั้นนะคะตัวเทศกาลนี้จะมีปูสามชนิดที่ทางร้านนำมานะคะ ได้แก่ ปูซูไว ปูขน และปูทาราบะค่ะ โดยจะมีทั้งหมด 14 เมนูนะคะ แล้วกรณีที่มีลูกค้ามากิน แล้วสั่งเมนูปูเมนูใดเมนูหนึ่งก็มีสิทธิ์ลุ้นที่จะได้รับบัตรกำนัล 5000 บาทสำหรับมารับประทานอาหารที่สึโบฮาจิอีกด้วยหละค่ะ ตัวนี้จะจับรางวัลวันที่ 10 ก.พ. และประกาศผลวันที่ 24 ก.พ. 58 นะคะ
ซึ่งเทศกาลปูนี่ จัดทั้งสี่สาขาเลยนะคะ แฮ่...
ตัวเมนูหลักเราไม่ลงแล้วนะคะ เพราะเคยลงไปแล้วเมื่อรีวิวเอนทรี่ก่อนหน้านี้น่ะค่ะ แฮ่...ส่วนอันนี้จะเป็นเมนูตัวที่เรายังไม่ได้ลง ทางขวามือนี่เป็นเมนูหลอกล่อเด็กค่ะ ถ้าใครเอาลูกเอาหลานมาก็สั่งมาได้นะคะ น้องๆ น่าจะเพลิดเพลินมากมายอ้ะ อ้อ สาขานี้บอกได้เลยว่าคนละอารมณ์กับสาขาธนิยะเลยค่ะ สาขานี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวมากันค่ะ เยอะมากๆ เลยอ้ะ
วันนั้นเราสั่งชาเขียวร้อนเหมือนทุกครั้งหละนะคะ แหะๆ อ้อๆ แล้วก็พนักงานของร้านในช่วงนี้จะสวมเจ้าที่คาดรูปปูนี้นะคะ น่ารักป๊ะหละ
menu เครื่องดื่มและบัตรเครดิตที่มีส่วนลดค่ะ (เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่า เหมือนว่าถ้าชอบกินอาหารญี่ปุ่น ทำบัตรเครดิตของเจซีบีเหมือนจะคุ้ม เพราะส่วนลดร้านอาหารญี่ปุ่นจะค่อนข้างเยอะค่ะ แบบว่ามีหลายร้านหลายที่ที่ร่วมรายการง่ะ เอ่อ...อันนี้ไม่ได้สปอนเซอร์อะไรทั้งสิ้นนะฮะ )
เมนูแรกของวันนั้นค่ะ กับโมจิพิซซ่าปูซูไว Zuwaigani Mochi Pizza ราคา 199 บาทค่ะ
ตัวนี้ชีสยังหอมเหมือนเคยค่ะ พร้อมกับมีตัวเนื้อปูมาด้วย คนชอบชีสน่าจะชอบจานนี้หละค่ะ อ้วนดีแท้เลยทีเดียว แต่รสของปูยังไม่เด่นมากนักนะคะตัวนี้
ส่วนเหล่านี้เป็นบรรดาเครื่องดื่มทั้งหมดที่สั่งกันมาวันนั้นค่ะ (นอกจากเราและผู้ติดตามแล้ว ยังมีบล็อกเกอร์อีกท่านกับผู้ติดตามของเค้าอีกสองท่านค่ะ)ของเราจะเป็นตัวซ้ายล่างนะคะ กับ Angel's smile (120 บาท) อร่อยนวลๆ ดีค่ะ หอมนมหน่อยๆ (อย่าลืมว่านมฮอกไกโดก็ดังนะฮะ) เป็นม็อกเทลนะคะ ไม่มีแอลกอฮอล์ค่ะ ส่วนคนที่ดื่มเหล้าบ๊วยเห็นชอบกันนะคะ เดี๋ยวจะมีขวดให้ดูด้วยค่ะ แฮ่...
และแล้วนางเอกพระเอกงานนี้คู่แรกก็มาค่ะ ปูทาราบะกับปูซูไว
ปูซูไวนะคะ ตัวเนื้อปูหวานอร่อยมาก ลักษณะเนื้อจะนุ่มนวลกว่าตัวทาราบะค่ะ รสชาติก็ซับซ้อนกว่านิดหนึ่ง บอกไม่ถูก แต่เราชอบค่ะ อร่อยอ้ะ
ปูทาราบะค่ะ ตัวนี้คุณภาพวัตถุดิบ ความสดของปูดีกว่ารอบที่กินที่ธนิยะค่ะ เนื้อแน่นและสดกว่าเยอะเลย อร่อยสมกับที่จัดมาให้กินในเทศกาลนี้นะคะ
ต่อไปค่ะกับรวมมิตรปูซูไว Zuwaigani Zukushi 569 บาทนะคะเป็นเมนูที่นำปูซูไวมาทำเป็นข้าวปั้น และซูชิหน้าต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้าวปั้นหน้าปูซูไว 2 ชิ้น ข้าวปั้นซูชิปูซูไวมอยองเนส 2 ชิ้น และ ซูชิปูซูไว 6 ชิ้นทานคู่กับวาซาบิ และขิงดองค่ะ
เนื่องด้วยเมนูนี้ประกอบไปด้วยข้าวปั้นหน้าปูซูไว 2 ชิ้น ข้าวปั้นซูชิปูซูไวมายองเนส 2 ชิ้น และซูชิปูซูไว 6 ชิ้น แต่ผู้ร่วมหม่ำมีจำนวนทั้งสิ้น 5 คน ตัวนี้เราจึงได้ทานไม่ครบนะคะ ได้กินแต่ตัวซูชิปูซูไว กับข้าวปั้นซูชิปูซูไวค่ะ โดยรวมก็อร่อยนะคะ แต่ไม่ว้าวง่ะ มาเทศกาลปูทั้งทีจะมานั่งกินกับซูชิก็กระไรอยู่ (ในความรู้สึกเรานะคะ) แต่ถ้าคนชอบซูชิและปู เมนูนี้น่าจะฟินหละค่ะ
ต่อไปค่ะกับ Kegani Sugatamori with Miso soup ปูขนนึ่งเสิร์ฟพร้อมมิโซะซุป ราคา 899 บาทซึ่งในเอกสารให้ข้อมูลมาดังนี้นะคะว่า ปูขน เป็นปูที่มีขนค่อนข้างเยอะ เป็นอีกหนึ่งราชันย์ของปู ที่ตัวขา หรือก้ามปูจะมีความนิ่มมากกว่าปูชนิดอื่น เวลาทานเมนูนี้จะต้องขูดมันปู บริเวณอกปูที่นึ่งมาแล้ว ใส่ไปน้ำซุปมิโซะพร้อมกับขา หรือ ก้ามปู เมื่อต้มลงไปพอเคี่ยวได้ที่ขาปูขนจะมีความนิ่ม และ ซดน้ำซุปมิโซะที่รสชาติเค็มนิดๆจะเข้ากันดี
วิธีการคือ ใช้ช้อนขูดไขมันตรงฝากระดองลงไปในซุปก่อนค่ะ จากนั้นก็ใส่สาหร่ายลงไปแล้วก็นำปูลงไป ตามภาพเลยนะฮับ
เมนูปูขนพร้อมซุปมิโซะนะคะ ตัวรสชาติ เราว่าซุปอร่อยหละ รสชาติเข้มข้นพอควร ซับซ้อนนิดๆ มีกลิ่นปูเบาๆ หน่อย แต่ชอบการกินโดยรวมมากกว่าการได้กินเนื้อปูในซุปนี้นะคะ เราว่าพอต้มลงแล้ว ความหวานของปูมันถูกละลายไปกับซุปน่ะค่ะ (ถึงจะต้มไม่นานก็เถอะ) เลยทำให้รสชาติของเนื้อปูเองหากนำมากินจะดร็อปลงไปหน่อยค่ะ แต่ความอร่อยไปอยู่ในน้ำซุปหมด แฮ่..ต่อไปเป็นเหล้าบ๊วยค่ะ เนื่องด้วยพี่แหม่มซึ่งมากับเมเม่ ปลาบปลื้มใจในเหล้าบ๊วยมาก ทางอิมแพ็คเลยเอาขวดมาให้ดูค่ะ เราไม่ได้ชิมอ้ะ แต่เห็นชมกันใหญ่ว่าอร่อยมาก ถ้าท่านใดชอบ ถ้าไปร้านนี้ก็อย่าลืมสั่งมาดื่มนะคะ
ของหวานค่ะ ไอศกรีม โรล เดอ มัทฉะ ตกลงเจ้าตัวนี้ได้รับความนิยมก็เลยขยายเวลากลายเป็นเมนูประจำไปแล้วค่ะ แหะๆรอบนี้ตัวครีมข้างในไม่แข็งเท่ารอบแรกนะคะ แต่เราก็ยังไม่ว้าวอยู่ดีง่ะค่ะ เง่อ...
ต่อไปก็ยังเป็นเมนูเหมือนคราวที่แล้วนะคะ ไอศกรีมชาเขียวที่เสิร์ฟมาพร้อมกับดังโหงะ ถั่วแดง และซอฟครีมส่วนตัวนี้ยังอร่อยเหมือนรอบที่แล้วค่ะ กินสามอย่างพร้อมกัน ได้ทั้งรสชาติและรสสัมผัสในปาก
ต่อไปเป็นเมนูใหม่บ้าง (เย้ๆ ) กับไอศกรีมวนิลา ชาเขียวไดฟุกุ Hide and seek Ice cream 119 บาทค่ะตัวนี้เป็นอีกตัวที่อร่อยค่ะ แป้งไดฟุกุก็อร่อยอ้ะ ให้รสสัมผัสอีกแบบที่แตกต่างไปจากดังโหงะ หรือตัวโรลเดอมัจฉะนะคะ ละมุนกว่าและอร่อยกว่าสำหรับเราค่ะ
สรุปสำหรับการกินครั้งนี้นะคะ ถ้าใครรักการกินปู เราว่าน่าจะไปค่ะ วัตถุดิบที่เป็นปูดีกว่ารอบที่เราไปกินตอนที่ไม่ใช่เทศกาลนะคะ (ตัวทาราบะเห็นชัดมาก เพื่อนที่ไปกับเรายังเอ่ยปากเลย แฮ่...) เราเชียร์ทั้งตัวปูทาราบะและปูซูไวนะคะ อร่อยค่ะPost
