Read full review
2018-01-15
943 views
วันนี้จะพาไปกินร้านอาหารริมน้ำที่มีคอนเซปต์ว่าจัดแค่บางช่วงเวลาของปีนะคะ กับ HOBS Canapaya นั่นเองหละค่ะ โดยปกติทุกปีจะเปิดราวๆ พฤศจิกายนถึงมีนาคม แต่ปีนี้เปิดช้า จึงเปิดถึง 16 เมษายนนะคะสำหรับพิกัด จะอยู่เลยเบนซ์พระรามสามไปราว 20 เมตรค่ะ ทางเข้าจะเป็นทางเข้าเดียวกับไซต์ก่อสร้างนะคะ ถ้ามาตอนกลางวันหรือตอนเย็นที่แสงยังมี จะไม่เห็นป้ายชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถ้ามามืดๆ จะมีป้ายไฟของฮอบส์ชัดเจนค่ะ จะอยู่ในพื้นที่ของโครงการ Canapaya Riverside นะคะเอาแผนที่มาแปะแล้วกันเนาะวันนั้นเราเอารถไป วิ่งผ่านไซต์ก่อสร้างไปจะเจอลานจอดรถก่อนค่ะ จอดเรียบร้อยแล้วก็เข้าไป จะเจอต้นคริสต์มาสต์ขวด เก๋ไก๋สวยงาม อิอิสำหรับปีนี้ฮอบส์จัดในค
สำหรับพิกัด จะอยู่เลยเบนซ์พระรามสามไปราว 20 เมตรค่ะ ทางเข้าจะเป็นทางเข้าเดียวกับไซต์ก่อสร้างนะคะ ถ้ามาตอนกลางวันหรือตอนเย็นที่แสงยังมี จะไม่เห็นป้ายชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถ้ามามืดๆ จะมีป้ายไฟของฮอบส์ชัดเจนค่ะ จะอยู่ในพื้นที่ของโครงการ Canapaya Riverside นะคะ
เอาแผนที่มาแปะแล้วกันเนาะ
วันนั้นเราเอารถไป วิ่งผ่านไซต์ก่อสร้างไปจะเจอลานจอดรถก่อนค่ะ จอดเรียบร้อยแล้วก็เข้าไป จะเจอต้นคริสต์มาสต์ขวด เก๋ไก๋สวยงาม อิอิ
สำหรับปีนี้ฮอบส์จัดในคอนเซปต์ Refreshtival (คือแต่ละปีเขาจะเปลี่ยนคอนเซปต์ไปเรื่อยๆ นะคะ) ผ่านอุโมงค์นี้มาแล้วคุณจะสดชื่นทันที ฮิ้วววว แบบประมาณว่าได้มากินดื่มสร้างความเฟรชให้ตัวเองได้ที่นี่นะคะ ใครเลิกงานก็ตรงมานี่ได้เลยยย ที่นี่จะเปิด 17.00 น.นะคะ เปิดถึงเที่ยงคืนฮับ
บรรยากาศนี่ชนะเลิศมากกกกกกกกกก (เสียดายวันนั้นที่ไป ไฟสะพานพระรามเก้าไม่เปิดซะงั้น ไม่งั้นจะเลิศยิ่งกว่านี้ค่ะ วิวหลักล้านจริมๆ) อยู่ริมน้ำ ถ้าไปวันที่อากาศกรุงเทพฯ เย็นผิดปกติ (ฮา) จะยิ่งชิลล์มากค่ะ บรรยากาศเหมือนๆ ลานเบียร์ แต่เค้าเน้นว่าเป็นร้านอาหารที่มีเบียร์ขายน่อ แต่ก็ยังมีพวก Food Trucks ต่างๆ (ที่เดี๋ยวจะพาไปดูว่ามีอะไรบ้าง) นอกเหนือไปจากครัวของ HOBS เองด้วยนะคะ
ที่นั่งนี่มีถึง 500 ที่นั่งเลยนะคะ มาจัดงานปาร์ตี้ให้บริษัทใหญ่ๆ บางบริษัทได้สบายเลยค่ะ
เราไปถึงช้ากว่าคนอื่นนะคะ เพราะเลิกงานมาจากลาดกระบังโน่น ฮือออ สำหรับที่นี่ที่เราว่าเก๋อีกอย่างคือเรื่องของการมีโต๊ะพิเศษ อย่าง HOBS Table Tap ซึ่งซื้อเบียร์เป็นถังแล้วจะมีที่กดเบียร์สดๆ อยู่ที่กลางโต๊ะให้เลย (เหมาะกับสายฮาร์ดคอร์ที่ขี้เกียจเรียกมาสั่งบ่อยๆ ที่แท้ทรู) หรืออย่าง HOBS Chilling Table ซึ่งจะมีรางแช่เบียร์ให้กลางโต๊ะนะคะ
เอาเมนูของที่นี่บางส่วนมาให้ดูนะคะ มีทั้งเมนูของทางครัวฮอบส์เอง และจาก Food Trucks สามเจ้าได้แก่ Mono Mono Alice's Pizza และ Yakimono By Yuu ค่ะ
เมนูบางส่วนของฟู้ดทรัคส์ค่ะ
ส่วนนี่ก็หน้าตาของฟู้ดทรัคส์นะคะ ส่วนคราฟท์เบียร์ก็จะมีซุ้มของคราฟท์เบียร์สัญชาติไทยด้วยค่ะ
เอาหละค่ะ มาดูกันว่าวันนั้นได้ชิมอะไรกันไปบ้างนะคะ อย่างที่บอกว่าเราไปสายแล้ว เพราะฉะนั้นอาหารทุกอย่างจะค่อนข้างเย็นแล้วนะคะ 555 แต่หลายจานรสชาติก็ยังดีผิดคาดมาก
ก่อนอื่นให้ดูหน้าตา Executive Chef ก่อนค่ะ น่ากิน เอ๊ย ท่าทางจะทำอาหารได้น่ากินนะคะ (ป้าคะ เช็ดน้ำลายนิดหนึ่ง #สายหื่นมาทางนี้)
จานแรกกันเลยค่ะ หอยเชลล์ล์ล์ล์ล์ล์ แม่เจ้าาาา ใหญ่มากกกก ใหญ่บิ๊กเบิ้ม นำเข้าจากฮอกไกโดนะคะ มีตับห่าน ไข่กุ้งและซอสด้วย
ตัวนี้เราไม่ได้กินอ้ะ แต่เมนูนี้หลายคนติดใจสั่งเบิ้ลกันด้วยนะคะ แค่ขนาดก็น่าโดนแล้ววววอ้ะ แล้วตับห่านอีก เมนูนี้ราคา 150 บาทค่ะ
ยังคงวนเวียนอยู่กับหอย 555 ต่อไปเป็นหอยนางรมนำเข้าจากญี่ปุ่น ใหญ่เท่าฝ่ามือผู้ชายเลยค่ะ (เค้าเรียกเต็มไม้เต็มมือชิมิ เอิ่มมม ป้ารีวิวเอนทรี่นี้ 18+ สุดๆ ใครต่ำกว่า 18 ขออภัยด้วยค่ะ #ไม่ทันแล้วค่ะป้า)
หอยนางรม Sanriku เลือกได้ว่าจะกินแบบสด (มีเครื่องเคียงมาให้ทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ดและหอมทอดแบบไทยๆ นะคะ) หรือย่าง ราคาจะคิดเป็นตัวค่ะ ยิ่งสั่งเยอะตัวราคาจะยิ่งถูกลงนะคะ 1 ตัว 120 บาท / 3 ตัว 330 บาท และ 5 ตัว 500 บาทค่ะ
เป็นอีกเมนูที่ไม่ได้ชิมค่ะ เสร็จบล็อกเกอร์หนุ่มๆ (ไม่ได้หมายถึงวัย แต่หมายถึงเพศ ฮา) ไปหมด เราอดค่ะ แต่น่าจะชอบกันนะคะ เห็นชมหอยทั้งสองอย่างกันทั้งคู่อะค่ะ
หนึ่งในเมนูอร่อยมากๆ ถูกปากเราสุดๆ ของมื้อนั้นจาก Mono Mono ค่ะ Soft Shell Crab Bun ขนมปังปูนิ่มทอด อร่อยหมดเลยทั้งตัวขนมปัง ปูนิ่ม (ที่กินตอนเย็นสุดๆ ก็ยังอร่อย) และซอส จานนี้ชมเปาะกันทุกคนเลยค่ะ เมนูนี้ 215 บาทนะคะ เป็นเมนูห้ามพลาดถ้าไปที่นี่เลยค่ะ
ต่อไปเป็นชุดข้าวซี่โครงเนื้อบาร์บีคิว 295 บาทค่ะ จะเสิร์ฟมาพร้อมข้าว กิมจิ และสลัดมันฝรั่ง ตัวนี้เนื้อหมักมาเข้มข้นมาก อร่อยค่ะ
ซึ่งถ้าใครไม่กินเนื้อ ก็มีชุดหมูด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ชิมง่ะนะ อยู่อีกฝั่ง เอาแต่รูปมาให้ดูแล้วกันค่ะ
ต่อไปเป็นอีกหนึ่งฟู้ดทรัคส์ที่เราเชียร์อยากให้ลองนะคะ กับพิซซ่าหน้าต่างๆ ของ Alice's Pizza ที่สายกินน่าจะรู้จักกันดีค่ะ รอบนี้เอามาให้ชิมสามหน้าได้แก่ หน้าผักกระเฉดและเห็ดพอร์ทเทอเบลโล หน้าแซลม่อนแซ่บที่มีกิมมิคเป็นคาร์เวียร์เบียร์ และหน้าพาร์มาร์แฮม เห็ดพอร์ทเทอเบลโลกับทรัฟเฟิลเพสท์ค่ะ ไปฟังจากปากเจ้าของร้านกันก่อนเนาะ
มาไล่กันทีละหน้าค่ะ หน้าแรกพิซซ่าหน้าผักกระเฉดและเห็ดพอร์ทเทอเบลโล 280 บาท
เป็นอีกจานที่กินตอนเย็นแล้วยังอร่อย (ถ้ากินตอนร้อนน่าจะโคตรอร่อย) แป้งยังกรอบ ไม่นิ่มเลย กระเฉดไม่เหนียว รสชาติพอดีมาก แกมเผ็ดนิดๆ ด้วย อร่อยผิดคาดค่ะ ตอนเขาบอกว่าเป็นหน้าที่ขายดี เรายังแบบ...จริงดิ? พอกินแล้ว...เออ มันอร่อยจริงแหละ
ต่อไปกับพิซซ่าหน้าพาร์มาร์แฮม เห็ดพอร์ทเทอเบลโลและทรัฟเฟิลเพสท์ราคา 300 บาท ตัวนี้กลิ่นและรสจะแนวเวสเทิร์นหน่อย รสและกลิ่นทรัฟเฟิลกำลังดีค่ะ อร่อยแบบตะวันตกๆ อ้ะ
และหน้าสุดท้ายค่ะ หน้าแซลม่อนแซ่บคาร์เวียร์เบียร์นะคะ หน้านี้ราคาแพงสุด 440 บาท
ตัวนี้จะแยกน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ ออกมาให้ลูกค้าราดเองค่ะ อร่อยมาก ตัวคาร์เวียร์เบียร์ที่ทำจากเบียร์ Hoegaarden ก็เก๋ดีค่ะ เพิ่มเทกซเจอร์ให้เวลากิน เรียกว่าพิซซ่าสามหน้านี่อร่อยสามแบบเลย ถ้าไปก็อยากให้ลองกินดูนะคะ เลือกหน้าที่ชอบก็ได้ค่ะ
อีกหนึ่งเมนูจากร้าน Mono Mono นะคะ กับไก่ทอดโมโนโมโน มีสามราคาคือ 6 ชิ้น 220 บาท 10 ชิ้น 315 บาท และ 18 ชิ้น 485 บาท ซึ่งมีสองซอสคือ Soy Garlic และ Hot & Spicy ค่ะ หรือจะสั่ง 2 แบบ คละกันก็ได้นะคะ วันนั้นเราได้กินแบบฮอทแอนด์สไปซี่ (เหมาะกับสาวฮอตอย่างป้าค่ะ ครุคริ) อื้อหือออ รสดีเลยค่ะ มิน่าถึงได้รับการบอกว่าเป็นหนึ่งในไก่ทอดที่อร่อยของโลกจากเว็บหนึ่ง (ไปอ่านที่บล็อกน้องชื่นได้ค่ะ กร๊าก) อร่อยค่ะ แต่ไม่มีรูปนะคะ ไปดูได้ที่บล็อกน้องชื่นเช่นกัน 555
มาที่เมนูที่มีรูปกันดีกว่า กับเมนู Chicken Ale 240 บาท เป็นปีกไก่หมักเบียร์ Leffe และนำไปคลุกเคล้ากับซอสบาร์บีคิวที่มีส่วนผสมของเบียร์ Leffe นะคะ ตัวนี้รสชาติดีอีกแล้ว (คือ มาที่นี่รู้สึกว่าอาหารอร่อยหลายอย่างเลยค่ะ คนไม่ดื่มเบียร์ก็น่าจะฟินกับกับแกล้ม เอ๊ย อาหารได้อ้ะ) เมนูไก่ที่สั่งมาสามอย่างนี่ อร่อยหมดเลยค่ะ แต่ขออภัยที่รูปเบลอด้วยค่ะ แง
ไก่ทอดไร้กระดูกราดชีส 95 บาท ตัวนี้ซอสรสชาติกำลังดี ไม่เลี่ยนชีสเกินไปค่ะ อย่างที่บอกว่า เมนูไก่ที่สั่งมาสามอย่างนี่อร่อยหมดเลย เค้าหมักมาดี มีรสชาติอ้ะ
หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบเบียร์ ราคา 520 บาท มีซอสสามแบบนะคะ ได้แก่ ซอส Hoegaarden / ซอส Leffe และซอส Stella Artois ตัวนี้เป็นซอส Hoegaarden แต่เราไม่ได้ชิมอีกเช่นเคย ดูหน้าตาไปแล้วกันเนาะ
นอกจากนั้นก็ยังมีเสต็กทั้ง Hoppy Beef 770 บาท ซึ่งเป็นสเต็กเนื้อที่นำเนื้อไปหมักแบบพิเศษ รมควันด้วยดอก Hop ทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัว สั่งไปแบบมีเดียมแรร์ ซึ่งได้มาตามสั่ง เนื้อนิ่มค่ะ ได้ชิมชิ้นเดียว ที่เหลือคนอื่นจัดการ
หรือถ้าใครไม่กินเนื้อ ก็มี Home Style Pork Chop 440 บาทค่ะ เป็นสเต็กพอร์คช็อป แต่เราว่า...แข็งไปหน่อยง่ะนะ หรือเพราะเพิ่งกินเนื้อนิ่มๆ มาก็ไม่รู้ค่ะ
ต่อไปเป้นหมวดเครื่องดื่มนะคะ ซึ่งมีทั้งเบียร์สดหลากหลายยี่ห้อนำเข้า
และเบียร์คราฟท์สัญชาติไทย ซึ่งวันนี้ทางร้านนำมาให้ชิมและดูห้าขวดด้วยกัน ไปฟังการบรรยายนะคะ
สรุปสำหรับที่นี่นะคะ
เป็นอีกที่ที่น่าไปค่ะ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสำหรับสายดื่มด้วย แต่เหมาะกับทั้งครอบครัวเลย (บล็อกเกอร์ที่ไปด้วยกัน หลังจากนั้นก็พาลูกไปอีกค่ะ 555) อาหารอร่อย เบียร์หลากหลาย วิวดี แต่ติดที่ร้อนหน่อยแหละค่ะ ถ้าไปก็เลือกไปเย็นๆ ค่ำๆ หน่อยนะคะ พอให้มีลมโชยกลางคืนแล้วจะดีกว่า ซึ่งเสียดายเหมือนกันที่เปิดแค่บางช่วงของปี แต่ก็เข้าใจหละค่ะว่าโดยพื้นที่แล้ว ถ้าหน้าฝนไม่น่าจะไหวอะนะ เพราะงั้นก็เลยปิดไปช่วงหน้าฝนค่ะ
Post
