วันนี้พาไปเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างนะคะ โดยจะพาไปยังร้านที่ทำให้การกินผักเป็นความรื่นรมย์ค่ะ กับร้าน Greens Mill นั่นเอง โดยวันนี้จะเป็นการพาไปที่สาขาพาซิโอกาญจนาภิเษกค่าา


สำหรับพิกัดร้าน จะอยู่ที่ The Paseo Park Kanchanaphisek นะคะ เซิร์ชหาด้วยตัวนี้ก่อน ส่วนพิกัดร้านในโครงการคือ อยู่ติดกับโอปองแปงเลย จากแผนที่กูเกิ้ลที่เอามาจะเห็นว่าจากถนนใหญ่ เลี้ยวเข้ามาตรงวงเวียน ถ้านั่งแท็กซี่มาก็ให้จอดแถววงเวียนได้เลยค่ะ ร้านจะอยู่ติดกับโอปองแปงนะคะ แต่ถ้าเอารถจอด ที่นี่จะมีทั้งลานจอดรถและอาคารจอดรถค่ะ แล้วก็หาทางเดินมาตรงวงเวียนอะค่ะ เป็นแลนด์มาร์คที่ทำให้หาร้านเจอง่ายสุดแล้ว


ที่หน้าร้าน จะเป็นโซนที่มีลำคลองเล็กๆ และสะพานข้าม ให้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นๆ หน่อยๆ ด้วยค่ะ

บรรยากาศภายในร้านค่ะ ถึงจะมีคูหาเดียว แต่เราว่าก็จัดร้านได้น่ารักดีนะคะ

สำหรับร้านนี้นะคะ ความเป็นมาคือ คุณกัน เจ้าของร้านและครอบครัวเป็นคนชอบกินผักมากๆ วันหนึ่งก็เจอผักที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย พวกกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ระหว่างที่กำลังหยิบผักจากชั้น จู่ๆ ก็มีภาพเก็บผักจากรางสีขาวขึ้นมา ซึ่งตัวคุณกันเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนศึกษาก็รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นคือ การปลูกผักแบบไฮโดรโปนิคค่ะ แล้วก็เลยคิดจะปลูกผักเอง


ตอนแรกคุณกันเองตั้งใจจะทำเป็นออร์เแกนิค แต่ศึกษาแล้วเป็นไปได้ยากมาในพื้นที่ที่ตัวเองมีอยู่ ณ ตอนนี้  เลยเปลี่ยนเป็นไฮโดรโปนิคแทน แต่รับประกันได้ว่าของฟาร์มคุณกัน จะไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงและสารพิษค่ะ เพราะปลูกนี้นอกจากขายแล้วก็กินเองที่บ้านด้วย ที่ฟาร์มจะใช้น้ำส้มหมักแทนยาฆ่าแมลงนะคะ


ต่อมาประกอบกับสามีคุณกันเป็นคนชอบทำอาหาร ก็เลยไปเรียนทำอาหาร แล้วก็เริ่มเปิดร้านที่สาขาแรกที่สวนผัก 32 ชื่อร้านเวจจี้มิลล์นะคะ โดยจนถึงปัจจุบันก็เปิดมา 6 ปีแล้วค่ะ สาขานั้นถ้าใครได้ไปนี่จะกินติดกับแปลงผักเลยค่ะ


ในส่วนของกรีนส์มิลล์นั้น เนื่องจากคุณกันมีความคิดจะเปิดแฟรนไชส์ค่ะ ก็เลยเปิดด้วยชื่อร้านนี้และเปิดสองสาขาคือ สาขาที่เราจะมารีวิววันนี้ (พาสิโอปาร์ค กาญจนาภิเษก) และอีกสาขาคือ บรีโอ้ พุทธมณฑลสายสี่ค่ะ เพื่อทำการเทสต์ระบบ ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้วก็จะเริ่มขายแฟรนไชส์ภายในปีนี้ค่ะ

มาดูเมนูกันค่ะ

หน้าแรกที่เปิดเจอเลยคือ My Salad ค่ะ ซึ่งจะเป็นราคา 99 บาท โดยราคานี้เลือกน้ำสลัดได้สองน้ำ และเลือกท็อปปิ้งสองอย่างค่ะ นอกจากนั้นถ้าต้องการเติมอย่างอื่นก็จะมีราคากำหนดไว้ให้ค่ะ


นอกจากนั้นก็ยังมีซิกเนเจอร์สลัด ไม่ว่าจะเป็นสลัดกรีนส์มิลล์ สลัดเต้าหู้ญี่ปุ่นธัญพืช สลัดผลไม้ ฯลฯ นะคะ

หรือถ้าชอบแนวจัดจ้านก็แนะนำนี่เลยค่ะ สลัดยำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสลัดยำแซลม่อน สลัดยำทูน่า ฯลฯ


หรือถ้าใครสายเนื้อก็มีเสต็กหลากหลายให้เลือกอยู่นะคะ โดยถ้าเลือกเนื้ออย่างเดียวก็มีจะมีเครื่องเคียงให้เลือกได้หนึ่งรายการ ระหว่างขนมปังกระเทียม เฟรนช์ฟรายด์ ข้าวออแกนิค หรือมันฝรั่งผัดเบคอน (แต่อันหลังนี่ต้องบวกเพิ่ม 15 บาทนะคะ)

หรือจะสั่งแบบมิกซ์เนื้อสัตว์สองอย่างก็ได้นะคะ รวมทั้งจะสั่งเป็นเมนูข้าวไปเลยก็มีให้เลือกเช่นกันค่ะ

รวมทั้งสปาเก็ตตี้ก็มีให้เลือกเช่นกันนะคะ มีทั้งแบบสไตล์ตะวันตกและสไตล์ไทยเลยค่ะ

ถ้าใครมีเด็กๆ มาด้วยก็มีเมนูสำหรับเด็กให้เลือกด้วยนะคะ ส่วนของหวานมีสี่เมนูค่ะ


ส่วนหมวดเครื่องดื่มก็มีทั้งร้อนเย็นค่ะ ซิกเนเจอร์ก็มีคือ กรีนส์มิกซ์ค่ะ



นอกจากนั้นทางร้านก็ยังมีชุดสลัดและน้ำสลัดจำหน่ายสำหรับใครที่ต้องการนำกลับบ้านด้วยนะคะ


จุดเด่นมากๆ ของที่ร้านนี้เลยก็คือน้ำสลัดที่มีความหลากหลายมากๆ ค่ะ มีทั้งหมด 20 รสชาติด้วยกัน แบ่งออกเป็นหมวดดังนี้นะฮับบบบบบบ
สายสุขภาพ
ครีมงาม่อน
ครีมบีทรูท
พริกไทยดำ
ฟักทอง


สไตล์ญี่ปุ่น
ซอสโซยุ
ญี่ปุ่นงาดำ
ญี่ปุ่นงาขาว
วาซาบิ


แซ่บจัดจ้าน
ครีมซีฟู้ด
ซีฟู้ดใส
ซีฟู้ดใสมาโย


สากลคนนิยม
แครอท
น้ำผึ้งสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ต
ฮันนี่มัสตาร์ด
ซอสส้ม


ไขมันต่ำ
ซีซาร์
เทาส์ซันไอส์แลนด์
บัลซามิค


ส่วนอันไหนรสชาติประมาณไหน เหมาะกับการกินเมนูไหน ไปดูคลิปกันค่ะ


มาดูกันค่าว่าวันนั้นได้กินอะไรกันไปบ้างนะฮับบบบบ


เมนูแรก สลัดเต้าหู้ญี่ปุ่นธัญพืช 159 บาท+ (มีบวกเดียว เป็นค่าเซอร์วิสชาร์จ 10% ค่ะ)

อร่อยยยย ใครที่ชอบแนวสลัดญี่ปุ่นนี่คือคำตอบค่ะ น้ำสลัดก็อร่อยมาก หอมงา รสเปรี้ยวนิดๆ กินเพลินมากค่ะ


ถ้าใครมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชอบกินแนวๆ สุขภาพ ชอบทั้งผัก เต้าหู้ ธัญพืช เมนูนี้คือคำตอบเลยค่ะ


เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้านค่ะ กรีนมิกซ์ 60+ บาท
เป็นน้ำผักรวมปั่นค่ะ มีกลิ่นผักอยู่ แต่ไม่ได้เขียวจนไม่ไหวนะคะ รสออกเปรี้ยวๆ ด้วยค่ะ ค่อนข้างอร่อยเลยแหละ แต่ถ้าใครไม่ชอบผักเลย อาจจะเลือกเมนูอื่นแทนค่ะ

ส่วนสี อาจจะไม่ใช่สีออกเขียวแบบนี้ทั้งหมดนะคะ ขึ้นอยู่กับว่าผักใบที่เอามา อาจจะมีม่วงผสมมากกว่า ก็อาจจะออกแดงๆ หรือถ้าเขียวกับม่วงพอกันก็อาจจะออกสีน้ำตาลได้ค่ะ


เครื่องดื่มอื่นๆ ที่เพื่อนๆ สั่งมาค่ะ เราชอบตัวเสาวรสปั่นแหละ เข้มข้นมากๆ หอมด้วยค่ะ

ซุปวันนั้นมีสองตัวค่ะ ซุปฟักทองญี่ปุ่นกับซุปผักโขม 89+ บาท นะคะ จะออกไม่ครีมมี่มากค่ะค่อนข้างเบาๆ ถ้ากินเปล่าๆ คนที่ชอบครีมมี่อาจจะรู้สึกไม่ชอบ แต่เราว่าพอกินคู่กับขนมปังแล้วรสชาติจะกำลังพอดีมากค่ะ


อีกหนึ่งเมนูอร่อย เหมาะสำหรับสายแซ่บค่าาา สลัดยำปลาแซลมอน 179+ บาท

ตัวนี้น้ำสลัดเป็นซีฟู้ดใสนะคะ รสจัดจ้านมากมาย ถูกจริตสุดๆ ตัวแซลมอนทอดแห้งไปหน่อยหนึ่งค่ะ แต่โดยรวมอร่อย ใครที่ชอบรสจัดจ้านๆ แนะนำให้เลือกเมนูนี้นะคะ ฟินมากๆ

เมนูต่อไป มาสายพาสต้ากันบ้างนะค้าาาา
สปาเก็ตตี้ผัดพริกแห้ง (สามารถเลือกได้ว่าจะเอาเป็นผัดกับแซลมอน ทะเล ไส้กรอกเยอรมัน หรือเบคอนค่ะ สองอย่างแรก 159+ สองอย่างหลัง 149+ ค่ะ) ของเราเลือกเป็นเบคอนนะคะ


เส้นเกินอัลดังเต้ไปนิดค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับนิ่ม น่วมนะคะ ผัดมาได้รสชาติดีค่ะ มีความเผ็ดเบาๆ นะคะ ไม่ได้จัดจ้านมาก แต่เหมาะสำหรับคนที่อยากกินพาสต้าแต่กลัวเลี่ยนค่ะ


ซี่โครงหมู 329+ บาท ตัวนี้เลือกไซด์ดิชเป็นข้าวออร์แกนิคค่ะ

ซี่โครงจะราดมาด้วยน้ำซอสที่รสออกค่อนไปทางหวานนะคะ มีเจือเปรี้ยวนิดหน่อย รสชาติซอสดีเลย ส่วนตัวซี่โครงก็ถือว่าล่อนง่ายพอสมควรเลยค่ะ กินง่ายอยู่ค่ะ


หมวดข้าวกันบ้างกับข้าวหมูผัดกิมจิ 139+ บาทค่ะ


รสจะออกเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ค่ะ นัวอยู่ น้องคนหนึ่งที่ไปด้วยกันชอบเมนูนี้มากๆ ค่ะ เห็นตักกินเมนูนี้เยอะสุดเลย 555


ลองสั่งแบบมิกซ์กันมาบ้างค่ะ เป็นไก่สไปซี่มิกซ์กับแซลมอนนะคะ 259+ บาท

น้ำซอสที่มาด้วยมีสองตัวค่ะ อันหนึ่งเป็นบาร์บีคิว อันหนึ่งเป็นถ้าจำไม่ผิดคือซอสพริกไทยดำนะคะ (อันนี้ไม่ชัวร์จริงๆ ถ้าอยากลองเอารูปให้ที่ร้านดูแล้วกันค่ะ 5555) อร่อยมากๆ รสชาติดีสุดๆ ค่ะ ตัวไก่สไปซี่ก็จัดจ้านดี เนื้อฉ่ำไม่แห้ง แซลมอนมาแบบสุกค่ะ แต่ไม่ได้แห้งนะคะ
อีกหนึ่งเมนูสลัดที่อร่อยมากกกกกก กินเสร็จแล้วได้ไอเดียมาทำต่อกินที่บ้านเลยค่ะ 555

สลัดกรีนส์มิลล์ 199+ บาทค่ะ

นอกจากผักและน้ำสลัดสามอย่าง (อย่างวันนั้นที่เราเลือกจะเป็นงาขาว ซีฟู้ดครีมและสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ต ซึ่งอร่อยทุกตัวเลยแบบแตกต่างกันค่ะ) ก็ยังมีเครื่องเคียง ไม่ว่าจะเป็นแอลมอนด์สไลซ์ ลูกเกด แครนเบอร์รี่อบแห้ง ซีเรียล เมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งวิธีกินก็เอาผักจากในกระถางมา ใส่เครื่องเคียงต่างๆ แล้วก็ราดน้ำสลัดลงไปค่ะ อร่อยมากกกกกกกกกก เรานี่กินแล้วกินอีก กินจนเครื่องหมด 555 กรณีน้ำสลัดหมดแล้วต้องการเติมก็เพิ่มถ้วยละ 25-40 บาทนะคะ แล้วแต่ประเภทของน้ำสลัดค่ะ

ต่อไปเป็นอีกหนึ่งเมนูข้าวค่ะ ข้าวผัดสับปะรดซีฟู้ด 319+ บาทค่ะ

ตัวนี้กลิ่นผงกะหรี่ชัดมาก รสเข้มข้นค่ะ เพื่อนที่ไปด้วยกันกรี๊ดเมนูนี้มากๆ ค่ะ แต่รสชาติดีจริงๆ นะคะ 


ต่อไป มันบดเบค่อน 99 บาท ซึ่งจะมีมันบดสองลูกนะคะ แต่ถ้าต้องการมันบดลูกเดียวไม่มีเบคอน จะเป็นราคา 49 บาทค่ะ

ตัวนี้จะไม่ได้ใส่เนยมากนักนะคะ เราชอบเนยมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เนื้อเนียนดีค่ะ

สลัดผลไม้ 109+ บาทค่ะ

ตัวนี้น้ำสลัดจะเบาๆ หน่อยค่ะ พอให้ไม่กลบตัวรสผลไม้ แต่เราชอบแบบตำผลไม้รสจัดจ้านไปเลยมากกว่าค่ะ อันนี้เราเลยเฉยๆ ง่ะ แหะๆ

สปาเก็ตตี้ผัดพริกแห้งเบคอนไข่กุ้ง 159+ บาท

ตัวนี้รสจะละมุนขึ้นกว่าผัดพริกแห้งเบคอนอย่างเดียวนะคะ ชอบตัวมะกอกดำที่ใส่มาด้วย เพราะมันไม่เค็มจัดๆ เหมือนร้านอื่นที่เคยกินหละ
หมดคาวแล้ว มาลองของหวานกันค่ะ วันนั้นลองไปสองเมนู

ไอศกรีมวานิลามะม่วงสุก 139+ กับไอศกรีมชาเขียวเฉาก๊วย 109+

อร่อยทั้งสองตัวเลยยยยยยย มะม่วงสุกหวานมาก เข้ากับไอติมด้วยค่ะ ส่วนไอติมชาเขียวที่นี่ก็เข้มข้น ไม่ขม รสละมุน แถมเข้ากับเฉาก๊วยหนึบๆ ด้วยค่ะ 


สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ


อันดับแรกเลย สำหรับสายที่รักการกินผัก รักอาหารสุขภาพ บอกเลยว่าร้านนี้คือทางของคุณค่ะ มีหลายเมนูอร่อย น้ำสลัดหลากหลาย (เรายังซื้อน้ำสลัดกลับมาสามขวด (แต่ไม่มีซีฟู้ดที่เราชอบง่ะ เค้าไม่ได้เอามาขายวันนั้น แง) แถมซื้อสลัดชุดกลับมาอีกสองอัน) เป็นร้านที่ใครได้กินก็น่าจะติดใจนะคะ

แต่สำหรับใครที่ไม่ใช่สายผัก บอกเลยว่าร้านนี้จะทำให้คุณกลายเป็นคนกินผักได้มากขึ้นค่ะ วันนั้นที่ไปมีคนหนึ่งเป็นสายเนื้อ (คือ กินผักได้ แต่เน้นเนื้อ) ยังซัดผักไปแบบไม่ยั้ง ส่วนอีกคนที่ไม่กินผักเลย ยังบอกว่าเป็นการกินผักที่เยอะที่สุดในหนึ่งมื้อ เพราะอร่อยจริงๆ ค่ะ

เป็นร้านที่เชียร์อย่างมากสำหรับใครที่ชอบสายนี้นะคะ แล้วคุณจะพบว่าการกินผักจะกลายเป็นความรื่นรมย์ค่ะ

และแล้วเราก็พามากินบุฟเฟต์ปิ้งย่างกันอีกแล้ววววว 555 กับร้าน Tora Yakiniku นั่นเอ๊งงงงง ซึ่งเราเคยรีวิวสาขาแรกไปแล้วกับสาขากัลปพฤกษ์ (คลิกเพื่ออ่าน) ไปแล้ว วันนี้จะเป็นสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ค่ะ กับสาขาลาซาลอเวนิวนั่นเองฮ้าบบบบบบ


สำหรับใครที่จะไป ให้ใส่คำค้นหาในกูเกิ้ลแมพด้วยคำว่า Lasalle's Avenueนะคะ สำหรับร้านโทระจะอยู่ตรงฝั่งขวา (ถ้าหันหน้าเข้าลาซาลอเวนิว) ถ้าจะจอดรถ ให้ไปจอดตรงใกล้ๆ ทางที่จะวนออกจากคอมมูนิตี้มอลล์จะเดินไปที่ร้านใกล้กว่าค่ะ


จุดสังเกตอีกอย่างของสาขานี้คือ จะอยู่ใกล้กับโซนสนามเด็กเล่นของคอมมูนิตี้มอลล์เลยค่ะ ร้านกว้างขวางพอควรเลย มีเมนูพร้อมบอกราคาชัดเจนนะคะ


เป็นบุฟเฟต์ที่มีทั้งหมดสามราคานะคะ คือ 599 (Standard) 799 (Premium) และ 1299 (Grand) เน็ตนะคะ ไม่มีบวกๆ อีก เดี๋ยวจะพาไปดูรายละเอียดของแต่ละราคาอีกทีค่ะ

ซึ่งหากจะไม่กินเป็นบุฟเฟต์ก็ได้นะคะ สามารถสั่งเป็นอลาคาร์ทได้ โดยเขาจะมีราคาอลาคาร์ทกำกับไว้ที่แต่ละเมนูด้วยค่ะ แต่สำหรับเรา...เราว่าบุฟเฟต์คุ้มกว่านะ แหะๆ ยกเว้นคนกินน้อยและไม่ได้ชอบความหลากหลายก็เลือกอลาคาร์ทได้ค่ะ

มาดูกันนะคะว่าแต่ละราคามีอะไรให้กินบ้าง ที่นี่จะใช้สีเป็นแถบๆ แบ่งว่าราคาไหนสั่งอะไรได้บ้างนะคะ หน้าแรกยังไม่งงเพราะมีระบุด้วยตัวอักษรด้วย แต่หน้าอื่นจะทำสีเป็นสัญลักษณ์อย่างเดียวค่ะ ต้องดูให้ดีเน้อ ถ้าไม่ได้กินราคา Grand เหมือนเรา จะสั่งบางเมนูไม่ได้นะคะ

อย่างสีเงินจะเป็นสแตนด์ดาร์ด สีทองเป็นพรีเมียม และสีออกแดงๆ จะเป็นแกรนด์นะคะ

การสั่ง จะติ๊กในใบสั่งได้เลยค่ะ ซึ่งสำหรับแกรนด์ก็จะมีใบสั่งแยกต่างหากสำหรับเมนูที่ระดับแกรนด์จะสั่งได้ด้วยค่ะ

น้ำจิ้มที่นี่มีสามแบบนะคะ คือ น้ำจิ้มซีฟู้ด คล้ายๆ น้ำจิ้มสุกี้อีกหนึ่ง และที่เรากินเป็นหลักคือตัวขวาค่ะ น้ำจิ้มเนื้อย่าง มีพริกและกระเทียมมาให้เติมตามชอบเช่นเคยนะคะ

โดยรสชาติน้ำจิ้มเนื้อย่าง เป็นรสที่เราชอบนะคะ มีรสหวานเจือน้อยๆ พอเติมพริกกับกระเทียมให้แซ่บยิ่งขึ้นก็จะยิ่งอร่อยค่ะ


ที่นี่จะมีข้อแตกต่างจากที่สาขาแรกอีกอย่างก็คือเคาน์เตอร์ค่ะ จะมีเคาน์เตอร์ทำซูชิให้เห็นเลยนะฮับบบบ


สำหรับซูชิที่นี่ก็จะทำให้เมื่อมีออเดอร์นะคะ จะไม่ทำไว้ก่อนให้มันแห้งค่ะ

สแตนดาร์ด
ซูชิหน้าปูอัด / ปลาซาบะ / หมึก และไข่หวาน

พรีเมียม
พรีเมียมบีฟโรลล์ / โทระซิกเนเจอร์โรล / ซาชิมิแซลมอน / ซูชิแซลมอนฟัวร์กราส์ / ซูชิแซลมอน และซูชิแซลมอนไซเคียว

แกรนด์
ฟัวร์กราส์ / เอนกาวะ / ปลาไหล และไข่ปลาแซลมอน

สำหรับสายเนื้อและหมู ก็ตามนี้เลยนะคะ (เนื้อจะถาดสีแดง วัวจะถาดสีดำค่ะ)

เนื้อ

สแตนดาร์ด
เนื้อติดมัน เนื้อลาย เนื้อออยสเตอร์เบลด

พรีเมียม
เนื้อเมลทีคออสเตรเลีย เนื้อแบลคแองกัสออสเตรเลีย ลิ้นวัวอาเจนตินา เนื้อวากิวฮารามิ

แกรนด์ 
โทระซุปเปอร์สเต็ก (เนื้อสเต็กหั่นลูกเต๋า) เนื้อวากิวร่องซี่โครงคัดพิเศษ เนื้อวากิวโรสท์คัดพิเศษ

หมูและแกะ

สแตนดาร์ด
เนื้อแกะนิวซีแลนด์ เบคอนรมควัน หมูนุ่ม หมูสันคอ

พรีเมียม
หมูคุโรบุตะ หมูคุโรบุตะโรลล์ หมูคุโรบุตะบุลโกกิ

แกรนด์ 
ซี่โครงแกะออสเตรเลีย

หมวดซีฟู้ด


สแตนดาร์ด
กุ้งแม่น้ำ (กุ้งก้ามกราม) หอยไม้ไผ่ หอยหวาน ปลาหมึก

พรีเมียม
หอยเชลล์ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ปูม้า แซลมอนนอร์เวย์ กุ้งขาวแกะ

แกรนด์
หอยนางรมเกาหลี

นอกจากนั้นเมนูอื่นๆ ก็ยังมีทั้งผักสด เห็ดออรินจิ แครอท กิมจิ ยำสาหร่าย ข้าวสวย ข้าวกระเทียม เฟรนช์ฟรายด์ วัฟเฟิลฟรายด์ ปอเปี๊ยะแฮมชีส ไก่นิวออร์ลีนส์ คูโรบุตะสเต็ก แซลม่อนแซ่บ สเต็กไก่สไปซี่ ชีสดิปปิ้งค่ะ

และนี่คือบางส่วนของบุฟเฟต์ที่นี่นะคะ (สำหรับหมวดของคาววววว)

สำหรับเรา ชอบเนื้อของระดับราคาแกรนด์ที่นี่ทั้งสามตัวเลยค่ะ โดยเฉพาะเนื้อเสต็กหั่นเต๋ากับเนื้อวากิวโรสท์คัดพิเศษ หอมนุ่มมาก ส่วนตัวพรีเมียม เราชอบเนื้อวากิวฮารามิ กับเนื้อแบล็คแองกัสออสเตรเลียนะคะ อร่อยทั้งคู่เช่นกันค่ะ

สำหรับเครื่องดื่ม ก็แบ่งตามราคาดังนี้ค่ะ


สแตนดาร์ด
น้ำเปล่า / ชาเขียวเย็น โค้ก สไปรท์ (รีฟิลล์ทั้งสามตัวนะคะ)

พรีเมียมและแกรนด์
เวอร์จิ้นโมฮิโต้ / สไปรท์บ๊วยจีน / บลูพาราไดซ์โซดา / ลิ้นจี่โรสโซดา / สตรอเบอร์รี่บับเบิ้ลกัมโซดา / ไอซ์เอสเปรสโซลาเต้ / ชาร้อน


สำหรับเครื่องดื่ม วันนั้นเราลองไปสองตัวค่ะ คือ สไปรท์บ๊วยจีน อร่อยมาก หวานอมเปรี้ยว ดีงามค่ะ เลยลองอีกตัวที่ยังไม่เคยลองคือ สตรอเบอร์รี่บับเบิ้ลกัม ถูกจริตอีกเช่นกันค่ะ หอมมาก ชอบๆ


ต่อไปเป็นหมวดของหวานค่ะ มีให้เลือกดังเน้

สแตนดาร์ด
วานิลาพาเฟต์ / สตรอเบอร์รี่พาเฟต์ / มัจฉะพาเฟต์

พรีเมียม
คากิโกริสตรอเบอร์รี่ / คากิโกริช็อกโกแลต / โฮมเมทวัฟเฟิล / โทระฮันนี่โทสต์ / บราวนี่ดาร์คช็อกโกแลต

แกรนด์
ฮอกไกโดชีสเค้ก (มีสามรสคือ บรูเล่ นิวยอร์ค และ ออริจินัลค่ะ) / ช็อกโกแลตลาวา

หมายเหตุ ภาพเป็นไซส์อลาคาร์ทนะคะ ถ้าสั่งบุฟเฟต์จะทำมาไซส์เล็กกว่าค่ะ แต่สามารถสั่งได้เรื่อยๆ นะคะ

สำหรับของหวานที่ได้ชิมนะคะ บราวนี่ - อร่อยมาก ดาร์คช็อกเข้มข้น ชีสเค้กเราชิมสามรสแล้ว ชอบตัวนิวยอร์กกับบลูเล่ค่ะ ช็อกฯ ลาวาก็เข้มข้นค่ะ คากิโกริที่นี่ก็เรียกว่าดีกว่าหลายๆ เจ้าดังๆ นะคะ ตัวเนื้อของคากิโกริเข้มข้นดีค่ะ มีรสชาติอยู่หละ ไม่เหมือนบางเจ้าที่จื๊ดจืดอ้ะ โทสต์ก็อร่อยค่ะ ชอบที่เค้าทำไซส์เล็กด้วยค่ะ เพราะปกติเจอแต่ไซส์ใหญ่ๆ ทำให้กินได้น้อยเมนู พอที่นี่ทำมาให้แบบชิ้นไม่ใหญ่ก็เลยกินของหวานได้หลายเมนูเลย (สรุป กินมันเกือบครบทุกเมนู 555 ของหวานเราสู้เสมอค่ะ)


สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ


คุณภาพยังคงเดิมเลยค่ะ ทั้งคาวหวาน เป็นอีกร้านที่เราชอบมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเนื้อของราคาแกรนด์นี่เราชอบมาก หรือแม้กระทั่งเนื้อของพรีเมียมก็ชอบค่ะ (ถ้าไม่ใช่สายเนื้อจัดๆ เราว่าพรีเมียมก็โอเคแล้วนะคะ) แล้วสาขานี้อยู่ห่างจากคอนโดฯ เราสามสิบนาทีเองหละ คงได้ไปบ่อยๆ ปัญหาคือ หาเพื่อนชอบกินปิ้งย่างเหมือนกันยากมากง่าาา (เพื่อนรักอิชั้นก็ไม่ชอบ) ฮืออออ จะไปคนเดียวก็น่าจะกินได้น้อย กินได้ไม่ครบทุกเมนูง่ะ แต่อยากไปอีกค่ะ กะว่าถ้าน้องชายกับครอบครัวมา จะพาไปกินแหละ แฮร่...

วันนี้จะพาไปกินอีกร้านที่กินแล้วดีงามพระรามสี่มาก เป็นร้านแรกที่กินแล้วรู้สึกอร่อยแทบทุกเมนูที่กินกันวันนั้นค่ะ กับร้านกุ้งทองซีฟู้ด พระรามสี่นั่นเองงงงง


สำหรับพิกัดนะคะ ถ้าอยู่ที่ถนนพระรามสี่ขาออก ร้านจะอยู่ตรงสามแยกที่ตัดระหว่างพระรามสี่กับถนนเกษมราษฎร์อะค่ะ (เค้าเรียกแยกอะไรราษฎร์ๆ สักอย่าง ไม่แน่ใจว่าแยกเกษมราษฎร์ไหมนะคะ) ตรงสามแยกพอดีเป๊ะเลย ทางเลี้ยวเข้าร้านจะอยู่ตรงไฟแดงเลยค่ะ 555 จุดสังเกตคือจะอยู่ก่อนถึงบิ๊กซีเอกซ์ตร้าพระรามสี่และช่องสามนะคะ ฝั่งเดียวกันเลย ถ้าเปิด google map ไปนี่ พิกัดตรงเป๊ะมาก เซิร์ชหาด้วยคีย์เวิร์ด กุ้งทองซีฟู้ด (Kungthong Seafood) ได้เลยค่ะ

เลี้ยวเข้าไปก็จะมีลานจอดรถของทางร้านนะคะ สะดวกมาก จอดได้หลายคันอยู่ค่ะ ตอนเราไปเป็นกลางวันวันเสาร์ เราไปถึง 11 โมงกว่าๆ ยังว่าง แต่พอตอนเที่ยงก็จะหนาแน่นหน่อยนะคะ

ที่นั่งร้านจะมีทั้งแบบในห้องแอร์และแบบไม่มีแอร์นะคะ 


menu ของทางร้านค่ะ

concept ของร้านคือ ความสุขคือการกินนนนนนน แหม้...ถูกใจข้าพเจ้ามากกกกก อ่านคำโปรยร้านก็รู้สึกว่าน่าสนใจแล้วหละค่ะ

ส่วนคำว่าซีฟู้ดแบบไทยแท้นี่ก็ขอบอกว่า มันจริง จริงๆ ค่ะ เดี๋ยวจะบรรยายแต่ละเมนูให้รู้ว่ามันเป็น "ไทยแท้" ยังไง


ส่วนราคาที่เห็นในเมนู จะมี ++ อีกนะคะ แต่ค่าบริการที่นี่ + แค่ 3 เปอร์เซนต์ค่ะ ไม่ใช่ 10 เปอร์เซนต์แบบหลายๆ ร้านหละ ส่วนเมนูแนะนำนี่ วันนั้นได้กินเกือบครบทุกเมนูเลยค่ะ 555


สำหรับราคาอาหาร จะมีบางเมนูนะคะที่คิดตามน้ำหนัก โดยปูนี่จะมีทั้งปูเนื้อและปูไข่ ขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาค่ะว่าแต่ละช่วงมีแบบไหนเข้ามานะคะ

มาดูกันค่ะว่าวันนั้นได้กินอะไรกันไปบ้างน้าาา

ปลากะพงทอดน้ำปลา ราคา 450 บาท++

ตัวนี้แค่ยกมาก็รู้เลยค่ะว่า ใช้ปลาสดมากแน่ๆ เพราะไม่งั้นเนื้อจะไม่ฟูแบบนี้ค่ะ ซึ่งพอได้คุยถามข้อมูลก็จริงดังว่า เพราะที่นี่ถ้าปลาตายปุ๊บ จะขายต่อทันทีค่ะ ไม่เอามาทำอาหารหละ สุดปะหละ แล้วการทอดก็ทอดมาดี๊ดี เนื้อฟู กรอบนอกนุ่มใน น้ำราดก็รสชาติดีค่ะ เค็มเจือหวานแบบที่เราชอบ เรากินโดยไม่อาศัยตัวยำมะม่วงเลยแหละ ฟินมาก


ปลาเนื้ออ่อนทอดราดพริกสูตรโบราณ (ไซส์ใหญ่) (ขีดละ 150 บาท) 400 กรัม ราคา 600 บาท++

สารภาพก่อนเลยว่าไม่เห็นปลาเนื้ออ่อนไซส์นี้นานมากกกกกกกกกแล้วค่ะ นี่ยังสงสัยว่าไปสรรหามาจากไหนน้อพ่อคุณ ใหญ่เต็มจานขนาดนี้ แล้วทำมาถึงเครื่องมากนะคะ เครื่องแกงที่ทำมาด้วยนี่รสชาติจัดเต็มมาก รสพอดิบพอดีแบบที่ควรเป็นเลยค่ะ

แกงส้มปลากระบอกโบราณ ราคา 260 บาท++

ปกติถ้าเป็นทางบ้านเรา ปลากระบอกจะเอามาต้มส้มมากกว่า แต่ปรากฏว่าร้านนี้พอแกงส้ม ก็อร่อยแฮะ รสแกงส้มเป็นแบบที่เคยกินสมัยเด็กมาก รสยันกันพอดี ทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวานเบาๆ น้ำแกงเข้มข้นพอดี อร่อยค่ะ นี่หลายเมนูเลยที่มันคือรสชาติบ้านเรา (เพชรบุรี) อ้ะ 


ปูเนื้อผัดพริกขี้หนูสวน (190 บาทต่อ 1 ขีด) 650 กรัม ราคา 1,235 บาท


ที่นี่จะใช้ปูทะเล (ปูดำ) ในการทำเมนูนี้นะคะ ไม่ใช่ปูม้า มีการทำให้พวกก้ามและอื่นๆ แตกเพื่อการผัดจะได้เข้าเนื้อเพิ่มเติมด้วยค่ะ ผัดมากลิ่นหอมจรุงฟุ้งขจรมากๆ เนื้อปูสดแน่นเช่นเคย (เรื่องวัตถุดิบต้องยกให้เขาจริงๆ) เครื่องและรสก็ยังคงจัดจ้านค่ะ แต่ถึงอย่างไรด้วยความที่ผัดทั้งตัว มันก็ไม่ได้รสทั่วถึงเท่าการผัดด้วยเนื้อปูอย่างเดียวนะคะ 


อย่างไรก็ตามทางร้านก็ให้อุปกรณ์สำหรับการช่วยในการเอาเนื้อปูออกจากพวกก้ามมาให้ด้วยค่ะ 


อีกหนึ่งเมนูแปลกเก๋ไม่เหมือนใครและอร่อยค่ะ กับเมนูนี้

กะเพรากุ้งแชบ๊วยใหญ่อบวุ้นเส้น 295 บาท++

ฮัลโหลลลลลลล คิดได้ไง เก๋มากมาย ที่อื่นอาจจะกุ้งอบวุ้นเส้น แต่ที่นี่วุ้นเส้นเอามาทำเป็นอบกับกะเพราและปรุงรสให้จัดจ้านด้วย อร่อยยยยยยย ชอบมากกกกก เป็นการครีเอทเมนูที่ไม่เคยกินมาก่อนเลยค่ะ 555 

ส่วนกุ้งแชบ๊วยก็ให้ตัวขนาดตามภาพเลย คิดว่าน่าจะชั่งตามน้ำหนักค่ะ เพราะหม้อหนึ่งมีสามตัว อีกหม้อมีสี่ตัวหละ 


ตัวกุ้งแชบ๊วย เนื้อหนั่นแน่น สดมว้าก หวานเจี๊ยบ อร่อยค่ะ (แต่จริงๆ ถ้ากุ้งไม่พอสำหรับคน กินวุ้นเส้นอย่างเดียวก็อร่อยแล้วนะคะ 555555)



ข้าวผัดปู ใหญ่ ราคา 450 บาท++ (เล็ก 160 บาท, กลาง 300 บาท, ใหญ่ 450 บาท)

เอาจากภาพก่อนเลย จะเห็นเลยว่า ผัดมาได้เป็นเม็ด ร่วนและไม่อมน้ำมันมากๆ (อ้อ ที่นี่ใช้ข้าวหอมมะลินะคะ ลืมถ่ายรูปข้าวสวยมาให้ดูหละ) สำหรับเนื้อปู เนื่องด้วยเรากินตอนจะหมดจานแล้ว (มัวแต่จ้วงเมนูอื่นอยู่ค่ะ ขออภัย แหะๆ) เลยไม่ค่อยเจอเนื้อปู แต่เท่าที่ถามคนอื่น เค้าบอกเนื้อปูเยอะอยู่ค่ะ แล้วก็เนื้อหวานสด (อีกแล้ว) แต่เรื่องความหอมของกระทะ อาจจะยังไม่เด่นมากนักนะคะ แต่โดยรวมถือว่าอร่อยค่ะ

ปลากระพงทอดราดพริกสามรส 490 บาท++

คือที่สุดของเมนูอร่อยอีกหนึ่งเมนูในมื้อนั้นค่ะ จัดกระเทียมมาเต็มอย่างที่เห็นตามภาพ แต่ที่สำคัญคือน้ำที่ราดมา อร่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย มันคือรสเดียวกับร้านป้าหยันที่เพชรบุรีที่เราปลื้มปริ่มเมนูนี้หนักหนา หวาน เผ็ด เปรี้ยวกำลังดีมากกกกกกก อร่อยค่ะ ชอบบบบบ

กุ้งแม่น้ำทอดเกลือโบราณ (320 บาท++ต่อตัว) 

เมนูนี้ราคาจะคิดต่อตัวนะคะ ขนาดตัวนี่พอๆ กับกุ้งแม่น้ำย่างที่อยุธยาบางร้านเลย เรื่องวัตถุดิบ เหมือนเดิมค่ะ สด แน่น (และจะได้ยินคำบรรยายแบบนี้ต่อตัววัตถุดิบในทุกเมนู 5555) ส่วนตัวรสชาติ จะออกแนวมันๆ เค็มๆ นะคะ ใครชอบแนวนี้ก็จัดเลยค่ะ แต่ข้าพเจ้าเน้นไปที่อาหารรสจัด+เผ็ด ซึ่งทำคะแนนถูกจริตมากกว่าจานนี้นะฮะ

ฉู่ฉี่กุ้งแชบ๊วย ราคา 380 บาท++

ใครที่อ่านบล็อกข้าพเจ้าเป็นประจำ คงรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบกินฉู่ฉี่ เพราะรู้สึกว่ามันเลี่ยน แต่ด้วยความที่เมนูนี้ บุ๊งเชียร์ว่าอร่อย ก็เลยต้องขอลองสักหน่อย ซึ่งปรากฏว่ามันดีย์ฮ่ะ ไม่เลี่ยน รสเข้มข้น เครื่องเคราที่ใส่จะเห็นว่ามีพริก มีโหระพา และตัวพริกแกงที่ใช้ก็ดูเหมือนจะมีความจัดจ้าน แตกต่างจากร้านอื่นที่เคยเห็นและกินค่ะ เออ สรุปแล้วรสชาติดีกว่าฉู่ฉี่ที่อื่นๆ ที่เคยกินง่ะ ถูกจริตสุดแระตั้งแต่กินฉู่ฉี่มา

ผัดสะตอกะปิกุ้งแชบ๊วย ราคา 270 บาท++

อีกหนึ่งเมนูสุดกรี๊ดของใครหลายคน รวมทั้งสะตอเลิฟเวอร์อย่างข้าพเจ้าด้วย สะตอของที่นี่เม็ดจะออกแนวไม่แบนนะคะ มีความนูนและมีเนื้อหนังค่ะ ซึ่งที่ร้านนี้จะมีไร่สะตอเจ้าประจำจากจังหวัดพัทลุง คือ เหมาไร่เลยค่ะ เพื่อควบคุมคุณภาพของสะตอ (สุดยอดปะหละ) รสชาติ...ยังคงความเข้มข้นเหมือนเคย เผ็ด แต่อร่อย เป็นหนึ่งเมนูที่หลายคนกรี๊ดมากๆ ค่ะ

หมดคาวแล้ววววว มาของหวานกันบ้างเถอะเรา (ลั้นลาออกนอกหน้ามากนะป้า)

ข้าวเหนียวมะม่วง (เล็ก 150 บาท, ใหญ่ 400 บาท) ราคา 400 บาท++

จานใหญ่มากค่ะ ตัวข้าวเหนียว...สารภาพว่าไม่ได้ชิมเลย กินแต่มะม่วง ซึ่งหวานอร่อยมากๆ แต่ข้าวเหนียวนี่เห็นบุ๊งจ้วงเอาๆ นะคะ แถมมีตักมากินกับไอติมอีกแหละ น่าจะอร่อยอยู่ค่ะ 5555

ไอศกรีมกะทิทรงเครื่อง ราคา 50 บาท++

คือ สารภาพว่าตอนแรกไม่คิดจะกิน เพราะไอติมกะทิไง ใช่ปะ กินที่ไหนก็ได้ปะฟระ แต่ปรากฏว่าพอชิมเท่านั้นแหละ...อร่อยเฟ้ยยยยยยยยยย หวานมันกำลังดีมากๆ เป็นการล้างปากและจบมื้อที่โคตรดีย์อ้ะ


อีกสองเมนูของหวานค่ะ พุดดิ้งมะพร้าว 70 บาท++ กับ บัวลอยน้ำขิง 50 บาท ++

ตัวพุดดิ้งมะพร้าว เราเฉยๆ นะคะ เราชอบร้านที่เยาวราชมากกว่า อันนั้นทั้งตัวเนื้อละรสชาติน้ำอร่อยมาก แต่บัวลอยน้ำขิงถือว่าดีเลยค่ะ ตัวแป้งนุ่มหยุ่นแบบที่เราชอบเลยยยย น้ำขิงก็เข้มข้น ถือว่าดีนะคะ


และพอได้คุยกับเชฟจริงๆ รสชาติที่ออกมานอกจากฝีมือเชฟแล้ว ก็เป็นเรื่องของรสปากของเจ้าของ คุณเบนซ์ (ซึ่งวันนั้นไม่อยู่ เลยไม่ได้คุยและถ่ายรูปมาง่ะค่ะ) ที่เป็นคนชิม สกรีน และบอกเชฟปิยะค่ะว่าต้องการรสจัดกว่านี้ เผ็ดกว่านี้ แบบนี้ๆๆ รวมทั้งเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องของวัตถุดิบด้วยว่า ปลาต้องแบบไหน กุ้งต้องแบบไหน สะตอต้องแบบไหน (ส่วนเชฟนั้น เรื่องวัตถุดิบ ไม่ซีเรียส ประมาณว่ากระบี่แบบไหนก็ได้ ตรูสู้ได้หมด) เพราะงั้นเรื่องของรสชาติและคุณภาพวัตถุดิบที่เรากรี๊ดมากๆ ต้องให้เครดิตกับคุณเบนซ์ด้วยค่ะ เสียดาย ไม่ได้เจอ อยากถาม อยากคุยเหมือนกันว่าทำไมกินรสชาติเดียวกันได้ขนาดนี้ 5555 ไม่คิดว่าจะได้เจอรสชาติแบบนี้ในกรุงเทพฯ ค่ะ



สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ


เป็นร้านที่ประทับใจเรามาก เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่ไปรีวิวก่อนหน้าเราถึงได้ชมนักชมหนา พอได้ไปกินเองนี่ก็แบบว่า...รสชาติจัดจ้านถูกจริต วัตถุดิบดี สด ราคาสูง แต่ของที่ได้ถือว่าสมราคามากค่ะ เป็นอีกร้านที่อยากพาที่บ้านไปกินหละ คิดว่าน่าจะเป็นอีกร้านที่ที่บ้านน่าจะชอบค่ะ



เมนูแนะนำ 

ปลากะพงทอดน้ำปลา / ปลาเนื้ออ่อนทอดราดพริกสูตรโบราณ / กะเพรากุ้งแชบ๊วยใหญ่อบวุ้นเส้น / ปลากระพงทอดราดพริกสามรส / ผัดสะตอกะปิกุ้งแชบ๊วย / ไอศกรีมกะทิทรงเครื่อง 

ร้าน Dressed เป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่เลือกสรรวัตถุดิบคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นผักออร์แกนิกส์ , ผักไฮโดรโปนิกส์ นำมาครีเอทเป็นเมนูต่าง ๆ ร้านเค้ามีหลายสาขา 
สาขาที่เราเลือกมาทานวันนี้คือสาขาสยามพารากอน พิกัดร้านอยู่ชั้น G โซนฟู้ดฮอลล์ ตรงข้ามร้านชานมโคโค่

ตัวร้านเป้นแบบโอเพ่น บรรยากาศสบาย ๆ ตกแต่งด้วยโทนสีส้ม-เขียวสะดุดตา มีบริการฟรีไวไฟให้ใช้ด้วยนะ

เมนูของทางร้านมีให้เลือกทานหลากหลาย ทั้งซุป , สลัด , แซนวิช , จานหลัก , ขนม , สมูทตี้ อาหารตะวันออกกลางก็มีนะฯลฯ ที่สำคัญแต่ละเมนูมีแคลอรี่กำกับไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเมนูใหม่เป็นเมนูอาหารไทยแบบฟิวชั่น และเมนูเนื้อวากิวให้สั่งด้วย สำหรับสลัด/แร๊ป และพาสต้า เราสามารถครีเอทเองได้ ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากใส่อะไรก็เลือกได้ตามชอบ

เมนูที่ได้ชิม
- เครื่องดื่มสมูทตี้มีหลากสี ทั้ง Bella Berry , Mango Tango , Minted Avocado , Vanilla Strawberry (Protein Shakes) เราสั่ง Mango Tango เพราะแคลน้อยดี 133 kcal เท่านั้น รสหวานเย็นชื่นใจ มีส่วนผสมของมะม่วง , แอปเปิ้ลและน้ำส้ม หรือใครชอบแบบไทย ๆ ก็ส่งเป็นเครื่องดื่มเมนูไทยฟิวชั่นอย่างน้ำอัญชัน ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำผึ้งและมะนาว
- Watermelon, feta and fired tuna salad เมนูปลาแห้งแตงโมที่หั่นแตงโม ที่ฟิวชั่นมากับเฟต้าชีส มะกอกดำ และผักสลัด เสิร์ฟคู่กับปลาแห้งที่เลือกใช้ปลาทูน่ามาทำ ชิมแล้วได้ความสดชื่นจากแตงโมตัดกับความกรุบกรอบของปลาแห้ง และความกลมกล่อมของชีส
- Sid's ผักสดกรอบ น้ำสลัดอร่อย เมนูนี้เราชอบนะ
- Saeng wah (Spicy Prawn Salad) กุ้งลวกสุกแบบเนื้อเด้ง นำมายำด้วยเครื่องสมุนไพร รสไม่เผ็ดจัดจ้านมากนัก คนไทยทานได้ ต่างชาติทานดี
- Honey Poke Rice Bowlเมนูข้าวสไตล์ญี่ปุ่น ทางร้านใช้ปลาทูน่าดิบหมักซอสมิโซะ เสิร์ฟคู่กับข้าวไรซ์เบอร์รี และผัก-ผลไม้สด
- Pan-fried atlantic salmon with quinoa salad and cashew gremolata สเต็กปลาแซลมอนสุกกำลังดี สลัดคีนัว และน้ำสลัดก็อร่อย
- Spaghetti Smoked pork and chicken meatballs สำหรับเราเส้นสุกไปนิด แต่รสชาติรวม ๆ แล้วดีค่ะ
- Australian Ribeye Steak (180 g) เลือกระดับความสุกได้ เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้ม 2 ชนิด แนะนำซอสแจ่ว ชิมแล้วติดใจทุกคน
- Seabass steak จานนี้ก็ทำปลาได้ดีเนื้อฉ่ำไม่แห้ง ทานคู่กับซอสแกงเขียวหวานที่มีรสเผ็ดเล็ก ๆ แล้วช่วยส่งรสได้ดี
- Whole wheat pancakes เป็นแพนเค้กที่มีคุณค่าทางอาหาร เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ทานคู่กับอัลมอนด์สไลด์ , ช็อคโกแลตชิพ , สตรอเบอรี่และน้ำผึ้ง
- French toast ขนมปังชุบไข่ ทานคู่กับกล้วยหอม , เก๋ากี้ , ซอสเบอรี่และน้ำผึ้ง

สำหรับร้าน Dressed ต้องบอกว่าเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่รสชาติลงตัวมาก ๆ ตกแต่งสวย อร่อย มีประโยชน์ แถมคำนวณแคลมาให้เสร็จสรรพ เรากินแล้วชอบมาก ใครสนใจแวะไปลองชิมได้ทั้ง 7 สาขาทั่วกรุงเทพฯ
Siam Paragon/Mercury Ville/Empire Tower/Exchange Tower/Liberty Square/Q-House Sathorn/Singha Complex

วันนี้ขอกลับไปซ้ำร้านเดิม ที่เคยรีวิวไว้เมื่อ 2 ปีก่อน อีกครั้งนึง เป็นร้านซูชิเล็กๆ แต่ปลาชิ้นใหญ่ ราคาสบายกระเป๋า อยู่ในศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ ย่านบางกะปิ อีกแหล่งจุดศูนย์รวมของกิน มากมายสำหรับคนแถวนี้   ร้านที่ชวนมาหิว วันนี้ชื่อร้านว่า "ไข่หวานบ้านซูชิ byข้าวนิ่มซูชิ" ซึ้งเดิมใช้ชื่อร้านว่า "ข้าวนิ่มซูชิ" นั้นแหละ แต่ว่าร้านรีแบรนด์ใหม่ จริงๆ2ร้านนี้ เป็นร้านพี่-น้อง กันนั้นเอง

[พิกัด]  ตั้งอยู่ในศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ (ตรงข้าม The Mall บางกะปิ) เป็นร้านขนาด2บู๊ธ อยู่ตรงหัวมุมในศูนย์อาหาร หากเดินมาจากห้างเอ็นมาร์ค พลาซ่า (N Mark Plaza) ก็เดินเข้าไปในศูนย์อาหารเลี้ยวซ้ายมือ มองไปมุมของศูนย์อาหารเจอแน่นอน  เวลาเปิดปิดของร้านข้าวนิ่มซูชิคือ 16.00 - 21.30 น. ทุกวัน 
[Hightlight]
Sushi เริ่มตั้งแต่ 10-15-20-30 บาท โดยเป็นซูชิที่ชิ้นปลาใหญ่มาก ข้าวนิดเดียว ฟินเต็มๆคำ สำหรับคนรักซูชิต้องมาลอง อร่อยไม่แพ้ร้านดังย่านทองหล่อ-เอกมัย เลยทีเดียว
Sashimi ก็มีนะ มีปลาแซลมอน และปลาทูน่า หั่นชิ้นหนาและใหญ่กำลังดี  จานเล็ก10ชิ้น 140 บาท , จานใหญ่ 14ชิ้น 180บาท ล่าสุดมี ยำปลาแซลมอนด้วย ก็ราคาเหมือนซาชิมินั้นแหละ แต่เพิ่มน้ำจิ้มซีฟู้ด รสเด็ดมาเพิ่มให้ ราดน้ำซีฟู้ดลงบนเนื้อปลาแซลมอน กินกันแซ่บๆไปเลย
แซลมอนซูชิ คำละ 20 บาท ขายดีที่สุดของร้านนี้แล้ว
ไข่หวานแซนวิส
ร้านไข่หวานบ้านซูชิ byข้าวนิ่มซูชิ ที่บางกะปินี้ เปิดตั้งแต่ 4โมงเย็นเป็นต้นไป ผมไปถึงร้านก็ประมาณ 4โมงครึ่ง ซูชิหน้าต่างๆ ก็จัดวางเรียงพร้อมให้ตักได้เกือบครบหมดทุกหน้าแล้ว 
ทางร้านจะมีโปรโมชั่นประจำอยู่ตลอดนั้นคือ ซื้อ10 แถม 1 ชิ้น เราคีบแล้วนับชิ้นไปได้เลย เช่นคีบให้ครบ11ชิ้น แล้วส่งให้พนง.คิดราคา แอบแวะไปส่องดูด้านหลังของร้านมานิดนึง ร้านนี้เขาแล่ปลา ทำข้าวปั้นต่างๆกันตรงนี้เลย รับประกันความสดใหม่ได้แน่นอน  อย่างอันนี้น่าจะกำลังทำเมนู  อยู่แน่เลย เพราะเห็นหยิบแซลมอน ไข่หวานและแตงกวาญีปุ่น มาเป็นไส้ พันด้วยข้าวห่อสาหร่ายแล้วโรยด้วยไข่กุ้งเคลือบด้านนอก ถัดไปก็เห็นเชฟกำลังแล่ปลา มีลูกค้าสั่งเมนู Salmon Sashimi กล่องเล็กอยู่ เชฟก็แล่ปลากันสดๆจำนวน 10 ชิ้น ใส่กล่องพลาสติกพร้อมผักเคียงและขิงดอง วาซาบิพร้อม อั้ยยะ เห็นแล้วน่ากินสุดๆ  มาๆ ดูกันเยอะแหละ กรุ๊ปแก็งค์เริ่มคีบซูชิลงจาน มานั่งทานกัน จัดเต็มๆคีบมาเกือบครบทุกหน้าเลยทีเดียว
เริ่มกันๆ ไล่มาที่ชิ้นมาตราฐานก่อน แซลมอนซูชิ คำละ20 มากิแซลมอน คำละ 20 ข้างในมีไข่หวาน และแตงกวาญี่ปุ่น ซูชิหน้าหมึกทาโกะจัง คำละ 30 (น้องหมึกมาทั้งตัวเลย) อีกเมนูนึงที่ถือว่าโอเคเลยถ้าคุณชอบทาน ปลาไหลย่างสไตล์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว คุณจะรู้ว่าเมนูนี้ ไปร้านไหนๆก็ขายแพงกันทั้งนั้น ของร้านนี้ก็มี ขายในราคาคำละ 30 บาทเท่านั้น เป็นปลาไหลย่างหั้นมาชิ้นกำลังดี ห่อด้วยสาหร่ายพันข้าวปั้น ราดซอสหวานๆมา นี้คืออีกเมนูที่ Recommended ว่าควรมาชิม มาต่อด้วยหน้าไฮไลท์อีกอัน แซลมอนโรลชีส คำละ 30 บาท แพงนิดแต่มีครบทั้งแซลมอน ชีส ไข่ปลาแซลมอน ด้านในยังมีปูอัด ไข่หวานอีก อีกหมวดนึงที่ห้ามพลาดของร้านนี้ คือหมวดไข่หวาน รสชาติของเจ้านี้จะหอมกลมกล่อม ไข่หวานจะหวานกำลังดี  ตัวที่แนะนำคือ "ไข่หวานแซนวิส15บาท" เป็นไข่หวานที่ผ่ากลางใส่ไข่กุ้งและสลัดปูอัด , และก็เมนูไข่หวานแซนวิชไข่กุ้งมังกร 15บาท มาพักเบรคด้วย ยำปลาแซลมอนกันหน่อย ราคาจะเท่ากับ แซลมอนซาชิมิ แต่ทางร้านจะมีน้ำซีฟู้ดมาราดให้แทน  จานเล็ก 140 จานใหญ่ 180 บาท เมนูที่ผมว่าเป็นไฮไลน์ของร้านได้เลยคือ เมนูที่ชื่อ "แซลมอนกิโมโน" ชิ้นละ 30 บาท คือปกติ ข้าวปั้นหน้าแซลมอน 20 บาท จะมีปลา1ชิ้นโป๊ะบนข้าวญี่ปุ่นใช่มะ แต่เจ้าแซลมอนกิโมโน นี้คือ จะเบิ้ลปลาแซลมอนเข้าไปอีกชิ้น พร้อมท็อปปิ้งด้วยไข่ปลาแซลมอนอีกนิด ได้ข้าวปั้น+ปลาแซลมอนไป2ชิ้น แต่ขายเพียง 30 บาทเองอะ  (จำได้ว่าเคยไปกินร้านซูชิโอ ที่ห้างเมอคูรี่วิลล์ แซลมอน2ชิ้นบนข้าวอย่างงี้เขาขายกันที่ 60 บาท) ระหว่างนั่งทานไป ก็พบว่ามีลูกค้าคนอื่นๆ แวะเวียนมาซื้อจนแน่นร้านอยู่ตลอดเวลาเลย  มีคนฝากซื้อด้วยแอพ LineMan ด้วย ซึ้งถ้าคุณขี้เกียจไปซื้อเองที่ร้าน ก็ดาวโหลดแอป LineMan แล้วหาร้าน ข้าวนิ่มซูชิ สั่งอาหารแทนก็ได้ ราคาอาหารก็เท่ากันกับที่มาซื้อที่หน้าร้านนี้แหละ +ค่าส่งตามระยะทาง (KMละกี่บาทไม่แน่ใจนะครับ ลองเช็คดูจากแอปครับ)

ส่วนตัวผมชอบมากินแบบนี้ เพราะรสชาติและขนาดของอาหาร ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ถึงแม้จะเป็นร้านในฟู้ดคอร์ท แต่คุณภาพของวัตถุดิบไม่ต่างจากร้านในห้างดัง หรือร้านญี่ปุ่นดีๆเลย เพียงแค่บรรยากาศระหว่างทานในศูนย์อาหารมันไม่รื่นรมย์เท่านั่งกินชิลล์ๆในห้องแอร์ร้านดังๆเท่านั้นเอง อีกอย่างช่วงหลังๆร้าน Buffet Salmon หัวละ 499 บาทไรงี้ ก็มีมากขึ้น ทานได้90นาที อะไรแบบนี้ ผมพบว่ามากินร้านแบบนี้ บางทีอิ่มพอๆกัน แถมราคาถูกกว่าด้วยซ้ำไป และไม่ต้องมีเวลามาจำกัดเราด้วย คิดง่ายๆไปกะเพื่อน 4 คน ถ้าบุฟเฟ่ต์ 499 x4 ก็ประมาณ 2000 บาทแล้ว เอาเงินเท่ากันมากินแบบนี้ ผมว่าประหยัดไปได้เยอะเลยทีเดียว อาจจะซื้อกลับบ้าน ไปนั่งกินชิลล์ๆก็ยังสบายใจกว่าเลยด้วย

มีโอกาสได้ไปชิมราเมงของร้าน Taishoken Ramen มา ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านที่เป็นลูกศิษย์ของคุณ Yamagishi Kazuo ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ร้านราเมงแพร่หลายในญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นผู้คิดค้นราเมงแบบแยกเส้นและน้ำหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Tsukemen โดยร้านต้นตำรับที่ญี่ปุ่นจะอยู่ในย่าน Ikebukuro ส่วนที่ประเทศไทยพิกัดร้านอยู่ที่ตึก Fifty Fifth ทองหล่อปากซ.ทองหล่อ 2 เข้ามาในตึกขึ้นมาที่ชั้น 1 ด้านในสุดก็จะพบกับร้าน Taishoken Ramen

บรรยากาศในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายสบาย ๆ จัดวางโต๊ะหลวม ๆ ไม่ชิดติดกันจนเกินไป มีมุมการตูนให้อ่าน มีฟรีไวไฟ

เมนูของทางร้านมีให้เลือกทานค่อนข้างเยอะ ทั้งเมนูราเมงเองก็มีให้เลือกหลายแบบ แบบน้ำ, แบบแห้ง เส้นก็แตกต่างกัน 3 แบบ
นอกจากนี้ยังมีเมนูข้าว อาหารทานเล่น ขนม และเครื่องดื่มต่าง ๆ 

Promotion : 
- Happy Hour วันจ-ศ : 17.00 - 20.00 น. เบียร์สด/วิสกี้โซดา/เหล้าบ๊วย 49 บ.เท่านั้น
- โปรมื้อเที่ยง วันจ-ศ : 11.00 - 14.00 น.เมื่อสั่งราเมง เพิ่มเส้นหรือข้าวฟรี
- แอดไลน์ หรือเช็คอินและไลค์เพจของทางร้านรับไปเลยไข่ต้ม 1 ฟองหรือหมูชาชู 1 แผ่น

เมนูที่สั่งมา
- กราแตงปู 120 บ. มักกะโรนี ปูและชีสเยิ้ม ๆ เบิร์นไฟเล็กน้อย
- ไก่ทอดรสเผ็ด 110 บ.ไก่ทอดคาราอาเกะกรอบนอกนุ่มใน โรยด้วยพริกเผ็ดเล็ก ๆ เป็นกับแกล้มที่กินเพลินดี
- เต้าหู้เย็น 85 บ.เมนูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความอร่อย อร่อยเพลินหมดไม่รู้ตัว
- หมูสามชั้นต้มซีอิ๊ว 100 บ.ชิ้นพอประมาณ นุ่มกำลังดี
- ทาโกวาซาบิ 99 บ.ปลาหมึกกรุบกรอบดี วาซาบิไม่จี๊ดเกินไปนัก กินได้เพลิน ๆ 
- ราเมงมายองเนส (สูตรเพิ่มมายองเนสฟรี) 240 บ.เป็นราเมงแบบแห้ง เส้นอวบอ้วน ใส่เครื่องมาเต็ม เสิร์ฟคู่กับน้ำซุป เวลาทานก็คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน ชิมแล้วแบบเข้ากันดีนะ อารมณ์ประมาณกินพาสต้าครีมซอสเลยแต่กลมกล่อมกว่า นี่เราแบ่งกันชิมหลายคนก็กำลังดีนะ แต่ถ้ากินคนเดียวอาจจะเลี่ยนได้ค่ะ
- ราเมงซุปกระดูกหมูหมูสามชั้นต้มซีอิ๊ว 320 บ. ชามนี้เป็นราเมงแบบเส้นเล็กสไตล์ฮากาตะ ส่วนน้ำซุปก็ดีไม่มันไม่เค็มจนเกินไป หมูสามชั้นและหมูชาชูนุ่มดี
- ราเมงซุปกระดูกหมูรสเกลือโรยกุ้งแห้ง 210 บ.เบสเป็นซุปกระดูกหมูมีรสเกลือและกุ้ง ถึงจะเป็นรสเกลือแต่ก็ไม่เค็มจนเกินไป หอมกุ้ง 
- ราเมงแดงเดือดพิเศษ 290 บ.ราเมงแบบเผ็ดของที่ร้านเลือกความเผ็ดได้ 3 ระดับ เราจัดแบบเผ็ดสุดมาลองเลยจ้า ชิมดูแล้วได้รสจัดจ้านจากพริกป่น แต่เนื่องจากเราแบ่งกันชิมหลายคนจึงไม่ได้รู้สึกว่าเผ็ดมาก ถ้ากินคนเดียวจัดว่าเผ็ดเอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ 
- ทสึเคเมง ซุปกระดูกหมูใส่ผงปลาแห้ง 260 บ.โดยจะเสิร์ฟแบบแยกเส้น และซุปมาด้วยกัน เส้นของเมนูนี้จะมีลักษณะอวบอ้วน เสิร์ฟมาคู่กับไข่ต้ม , หมูชาชู , หน่อไม้ และสาหร่ายส่วนซุปมีความข้นมาก คล้าย ๆ แกงกะหรี่มีความหอมของปลาคัตสึโอะแห้ง เคยกินของร้านอื่นรสจะเค็มมากเราเลยไม่ค่อยชอบกินเมนูนี้ แต่ของร้านนี้รสกำลังดี กลมกล่อมออกหวานนิด ๆ หากใครรู้สึกว่าข้นเกินไป สามารถเติมน้ำซุปใสลงไปเพิ่มหรือจะใส่น้ำส้มสายชูลงไปก็ได้ หรือจะลองสั่งเป็นไทโชวเคงสึเคเมงดูก็ได้ค่ะ น้ำซุปจะใสกว่า อร่อยไปอีกแบบ
- ข้าวหน้าแกงกะหรี่หมูทอด 260 บ. หมูทอดชิ้นใหญ่ดี แป้งกรอบ ไม่อมน้ำมันแกงกะหรี่ทำมารสกลาง ๆ 
- เมนูเด็ก 2 (ราเมงเล็ก) 239 บ.ในเซ็ตจะมีทั้งทงคตสึราเมง , เมนูชุปแป้งทอด และเยลลี่ เสิร์ฟมาในเซ็ตน่ารัก ๆ เด็ก ๆ ชอบแน่นอนค่ะ

**ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และรับเฉพาะเงินสด**

วันนี้ก็จะพาไปกินร้านเครปที่เล็งไว้นานเมิ่กกกก แต่ด้วยชื่อเสียง คำร่ำลือถึงเวลาที่ต้องรอในการกินก็ทำให้ไม่ได้ไปสักทีค่ะ จนบุ๊งชวนไปลองร้านนี้และบอกว่าคือร้านเครปป้าเฉื่อยเก่า ก็เลยอุ๊ยยยยยยยยย อยากไปลองงง นั่นก็คือเครปจีเอเต้ G-ate โดยพิกัดก็อยู่ที่เซ็นทรัลเวสท์เกตนั่นเองล่ะฮ้าบบบ



สำหรับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวสท์เกตก็เป็นอีกห้างฯ ที่ไม่เก็บค่าจอดรถนะคะ ท่านใดเอารถไปก็จอดได้ยาวไปๆ ค่ะ แฮร่...

ตำแหน่งแห่งที่ของร้านเครปแห่งนี้นั้น ก็อยู่ตรงโซนด้านหน้าท็อปส์เลยค่ะ (Tops ที่นี่จะอยู่ที่ชั้นหนึ่งนะคะ) จะเป็นโซนที่มีร้านอาหาร ของกิน ฯลฯ หลายร้านรวมกันอยู่นะคะ 

ลักษณะร้านจะเป็นร้านที่ไม่มีผนังนะคะ แต่ยังอยู่ในห้างนะฮับ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวร้อนค่ะ

ตอนช่วงที่ไปเพิ่งผ่านพ้นวันแม่ค่ะ มีโปรฯ ตัวนี้อยู่นะคะ

รวมทั้งตอนที่ไปก็มีเมนูตัวนี้ที่ทำโปรฯ ราคาพิเศษอยู่ค่ะ กับฝอยทองมะพร้าวลาวา ซึ่งขอบอกว่าสายหวานห้ามพลาดเลย เรานี่เล็งเมนูนี้ไว้ก่อนเลยหละค่ะ 555

ที่นั่งภายในร้านค่ะ มีไม่มากนักนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะเห็นซื้อแล้วเอาเทคโฮมกันมากกว่าแหละ แต่ที่นั่งก็จะมีทั้งเป็นโต๊ะ หรือใครที่อยากเห็นขั้นตอนการทำเครป ก็แนะนำให้เลือกนั่งที่เคาน์เตอร์ค่ะ

สำหรับเมนูแค่เห็นก็อลังการแล้วค่ะ ตัวเลือกเยอะมาก (ต้องมากินกี่รอบถึงจะครบทุกเมนูฟระะะ) ตั้งแต่แป้งก็มีให้เลือกสี่ชนิดแล้วค่ะได้แก่
- แป้งออริจินัล (แป้งต้นตำรับ)
- แป้งชาโคล
- แป้งชาเขียว
- แป้งมันม่วง



ถัดมาจะเป็นเมนูแนะนำซึ่งมีหลากหลายราคาแล้วแต่ไส้ แต่ถ้าเพิ่มไส้ก็จะเพิ่มอีก 30 บาทได้แก่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ โอริโอ นูเทลล่า กล้วยหอม เนยถั่ว และฝอยทองค่ะ

นอกจากนั้นก็ยังมีเมนูคาวด้วยนะคะ ดีงาม กินคาวแล้วหวานต่อได้เลย 555 สำหรับเมนูคาวก็มีให้ตามภาพ รวมทั้งถ้าจะผสมไส้เองก็จะเป็นราคาคือ หนึ่งไส้ 70 บาท สองไส้ 80 บาท ถ้ายังไม่พอใจ ก็เพิ่มไส้อื่นๆ ได้อีกไส้ละ 30 บาทนะคะโดยไส้คาวที่มีให้เลือกมาครีเอทเองก็ได้แก่ หมูหยอง แฮม ปูอัด ชีส ไส้กรอก ทูน่า ไข่ ทาโร่ ช็อกโกแลต พริกเผา 

ส่วนไส้หวานจะราคาลดลงมานะคะ จะเป็นหนึ่งไส้ 60 บาท สองไส้ 70 บาท เพิ่มไส้คิดไส้ละ 20 บาท โดยเมนูไส้ต่างๆ ของสายหวานก็จะมีซุปข้าวโพด คัสตาร์ด ลูกเกด แยมสตรอเบอร์รี่ แยมบลูเบอร์รี่ เยลลี่ คอนเฟลค โอวัลติน คาราเมล มาร์ชเมลโล เรนโบว์ เกล็ดช็อคโกแลตและนมข้นค่ะ

หลังจากสำรวจเรียบร้อยแล้ว เราก็เลือกเมนูดังนี้ค่ะ

1. แป้งธรรมดา ไส้ทาโร่ น้ำพริกเผา
2. แป้งธรรมดาผสมชาเขียว (ใช่ค่ะ แป้งก็ยังสั่งแบบผสมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนะคะ) ไส้ฝอยทอง มะพร้าวลาวา
3. แป้งธรรมดาผสมชาโคล ไส้เนยถั่วและนูเทลล่า

จากนั้นก็ทำการเก็บภาพการทำเครปค่ะ เพลินมาก แนะนำว่า ถ้าใครที่ชอบดูคนทำกับข้าว ทำอาหาร นั่งเคาน์เตอร์เลยค่ะ สร้างกิเลสให้อยากกินไส้อื่นๆ ได้ดีมาก ยิ่งเวลาเจอใครสั่งเมนูแปลกๆ ครีเอทเองนะ จะแบบ...เออ..อยากกินไส้นี้มั่ง 555
ที่นี่เค้ามีอุปกรณ์เกลี่ยแป้งให้สม่ำเสมอในรอบแรกหลังเทแป้งก่อนที่จะใช้ไม้พายเกลี่ยอีกทีด้วยนะคะ เป็นเครื่องมือที่สั่งทำพิเศษต่างหากค่ะ



หลังจากนั้นไส้แรกของเราก็มาค่ะ กับทาโร่พริกเผา

ก่อนอื่นเลย แป้งกรอบเวอร์วังมากกกกกกกกกกก กรอบที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิตอ้ะ ไส้ก็ตู้มมมมสุดๆ รสชาติของสองไส้นี้จะออกเค็มเผ็ดค่ะ เลยสั่งชาเขียวมะลิมาด้วยนะคะ ชาหอมมะลิและค่อนข้างหวานค่ะ เอามาบาลานซ์กันพอดีเลย แฮร่...

อ้อ ต้องบอกก่อนว่าถ้าสั่งไส้นี้ แป้งจะไม่กรอบนะคะ เพราะต้องการคงความเหลวของตัวลาวามะพร้าวไว้ค่ะ ส่วนรสชาติเหรอคะ เมื่อมะพร้าวเจอกับฝอยทอง ก็หวานฉ่ำสะใจอิชั้นสิคะ 55555 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสายหวานค่ะ ตัวฝอยทองที่นี่ใช้ของดีนะ ไม่อมน้ำตาลจัดๆ หวานกำลังดี และมีกลิ่นหอมของมะพร้าวอ่อนๆ ด้วย ดีงามมาก แต่ถ้าใครไม่ได้ชอบกินหวานมากควรเลี่ยงนะคะ แต่อิชั้นนี่ปลื้มปริ่มพริ้มเพรามากค่ะ ถูกใจสายหวานสุดๆ


ปิดท้ายกันด้วยไส้นี้ค่ะ รวมของโปรด (อีกแระ มีอะไรไม่โปรดมั่งเนี่ยป้า) ของอิชั้นทั้งสองอย่างคือ นูเทลล่าและเนยถั่ว ซึ่งใช้ของยี่ห้อดีทั้งคู่เลยยยยยย ดีงามค่ะ รสจะออกหวานๆ มันๆ ไม่หวานฉ่ำเจี๊ยบจ๊าบเหมือนฝอยทองกับลาวามะพร้าวนะคะ ออกแนวหวานแบบฝรั่งค่ะ อิอิ ส่วนแป้ง เลือกผสมมันม่วงกับแป้งต้นตำรับ แต่เห็นความเป็นหินอ่อนแบบเบาๆ ค่ะ ของอีกคนที่สั่งแบบชาโคล+ต้นตำรับ จะมีความเป็นหินอ่อนชัดกว่า

เอารูปหินอ่อนชัดๆ ที่เกิดจากการผสมแป้งชาโคลกับต้นตำรับมาให้ดูนะคะ สวยดีอ้ะ

สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ


เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเครปเลิฟเวอร์ ที่อยากกินสูตรแบบป้าเฉื่อย แต่ไม่อยากรอนานค่ะ แป้งเครปคือกรอบบบบเวอร์วังสุดๆ ไส้มาตู้มมาก และสำคัญคือใช้วัตถุดิบดีค่ะ สำหรับเรารู้สึกว่าสมราคานะคะ แต่ถ้าไปเจอคิวเยอะๆ ก็อาจจะต้องรอกันนิดหนึ่งค่ะ เพราะแม้ว่าจะมีทั้งหมด 7-8 เตาแต่เวลาเจอเข้าไปสามสิบคิวก็ต้องรอกันพอควรเหมือนกันนะคะ (แต่ละเตาใช้เวลาในการสุกไม่เท่ากันด้วยค่ะ) เพราะงั้นถ้าอยากกินของอร่อยก็ใจเย็นกันนิดหนึ่ง แต่รับประกันว่าไม่รอนานมากเกินไปแน่นอนฮับบบบ

วันนี้จะพาไปดริ๊งค์กันบ้างนะคะ (สาเหตุที่ต้องพาดคำเตือนไว้ที่หัวเอนทรี่ 5555) ซึ่งที่จะพาไปนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารที่หลักๆ ก็เป็นร้านอาหารของเบียร์ยี่ห้อดังของเยอรมันยี่ห้อหนึ่งนั่นก็คือ Paulaner นั่นเองค่าาา โดยปัจจุบันนี้ที่ร้านนี้จะเป็นร้านเดียวที่เป็นของเขาโดยตรงนะคะ กับ Paulaner Garden Restaurantนั่นเองค่าาาา

สำหรับพิกัดร้านจะอยู่ถนนเฉลิมพระเกียรติร. 9 นะคะ เราเซิร์ชในกูเกิ้ลแมพด้วยคำว่า Flow Inter Company ค่ะ พิกัดตรงเป๊ะเลยแหละ
ร้านจะมีที่จอดรถค่ะ จะอยู่ก่อนถึงร้านนิดหนึ่งนะคะ อยู่เยื้องๆ กันค่ะ ลักษณะร้านก็จะมีพื้นที่บริเวณหน้าร้านด้วยนะคะ เดี๋ยวพาไปดูบรรยากาศกันเนาะ


Paulaner Garden Restaurant แห่งนี้จะเปิดเวลาเย็นนะคะ นั่นก็คือ 17.00-24.00 น.นั่นเองค่ะ
อาหารที่จำหน่ายก็จะมีทั้งอาหารไทยและเยอรมัน แต่ที่เด่นก็เป็นการมีเบียร์ที่หลากหลายทั้งของ Paulaner และยี่ห้ออื่นเองด้วยนะคะ เรียกว่าสายเบียร์มาที่นี่ก็น่าจะฟินกันเลยแหละ


บรรยากาศภายในร้านก็จะมีทั้งโซนเอาท์ดอร์บริเวณสวนและชานพัก ส่วนอินดอร์ก็จะเป็นห้องแอร์ทั้งหมด ซึ่งมีด้วยกันสองชั้นนะคะ ภาพวาดและการตกแต่งให้บรรยากาศและกลิ่นอายของเยอรมันค่ะ
วันที่ไปมีวงดนตรีเล่นสดด้วยนะคะ ร้องได้ไพเราะทั้งเพลงสากลและเพลงไทยเลยค่ะ
ด้านนอกจะเห็นว่าเป็นเคาน์เตอร์ของเบียร์ขวดนะคะ แต่ด้านในจะมีเคาน์เตอร์ซึ่งมีแท็พเบียร์ บริการเบียร์สดด้วยค่ะ ซึ่งดีงามมากเลย เดี๋ยวจะรีวิว (ตามประสาคนไม่ดื่ม แหะๆ) แต่ละตัวต่อไปนะฮับบบบบ
ถ้าสังเกตจากรูปจะเห็นว่านอกจากเบียร์สัญชาติเยอรมันเจ้าของพื้นที่แล้ว ก็มีเบียร์ดังจากประเทศอื่นมาด้วยนะคะ อิอิ

วันนั้นก็ได้ชิมอีกเช่นกันค่ะ เดี๋ยวมาว่ากันว่าเป็นยังไงบ้างนะคะ


ส่วนอาหารวันนั้น เนื่องด้วยเป็นการเชิญสื่อมวลชนมา ก็จะจัดเป็นไลน์บุฟเฟต์ให้นะคะ อาหารก็ตามภาพเลยค่ะ (เราไปช้าหน่อย ไลน์เลยแหว่งไปพอควรแล้วนะคะ ขออภัยด้วยค่ะ แหะๆ)
สำหรับเบียร์แท็พของ Paulaner เองก็จะมีสี่ตัวตามภาพเลยนะคะ นอกจากนั้นก็มีเบียร์สัญชาติอังกฤษให้ลองดื่มกันอีกสามตัวด้วยค่ะ ต่อไปจะเป็นขั้นตอนของการเทสต์เบียร์นะคะ

ซึ่งวันนั้นจะมีเทสต์ด้วยกัน 7 ตัวค่ะ ให้คะแนนคือ ลักษณะเบียร์ กลิ่น รสชาติ รสชาติหลังดื่ม ความง่ายในการดื่มค่ะ 7 ตัวที่ว่าก็ตามนี้เลยนะคะ


มาไล่กันทีละตัวละกันนะคะ ย้ำอีกทีว่าเราไม่ใช่สายเบียร์นะ รีวิวจากความรู้สึกตัวเองล้วนๆ ไม่มีความรู้เจือปน 5555

 ตัวนี้จะเป็นเบียร์ PA MUNCHNER HELL 
แอลกอฮอล์ 4.9% นะคะ

ตัวนี้จะเป็นตัวที่แอลฯ น้อยที่สุดของ Paulaner ที่ได้ชิมกันวันนั้นนะคะ ออกเบาๆ เป็นเบียร์ลาเกอร์ ออกใส เบาๆ ดื่มค่อนข้างง่ายค่ะ 
เป็นเบียร์สูตรพิเศษดั้งเดิมของมิวนิค จะมีสีทองใสตามภาพเลยนะคะ
เบียร์ PA Hefe-Weissbier ตัวนี้แอลกอฮอล์ 5.5% นะคะ
เบียร์กลิ่นหอมผลไม้สูตรพิเศษเฉพาะ จะมีสีทองขุ่นๆ มีฟองที่นุ่มมากๆ เป็นเบียร์ที่เราชอบที่สุดเลยค่ะ และคิดว่าเป็นเบียร์ที่เหมาะกับผู้หญิงนะคะ นุ่ม กินง่าย รื่นรมย์มาก ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงดีค่ะ ทั้งที่แอลสูงสุด แต่ไหงรู้สึกกินง่ายสุดก็ไม่รู้ (ป้าคะ ไวน์ก็สูงกว่านี้ ป้าก็บอกว่ากินง่ายกว่าเบียร์เช่นกันนะคะป้า...เออ นั่นสินะ แหะๆ)


ตัวที่สาม Hefe-Weissbier Dunkel ตัวนี้แอลกอฮอล์ 5.3% นะคะ เป็นเบียร์ดำที่มีรสชาติของข้าวสาลี สีออกน้ำตาลไหม้ มาในสไตล์เบียร์ดำที่มีความหอมและนุ่มผสมผสานกันที่ลงตัว

สำหรับตัวนี้ กลิ่นจะเด่นกว่าตัวที่สองนะคะ จะค่อนข้างเข้มกว่า มีความเป็นผู้ชายมากกว่า เป็นอีกตัวที่รสชาติดี แต่เราก็ยังชอบตัวที่สองมากกว่าอยู่ดีอะแหละ แหะๆ


ตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายของ Paulaner นะคะ เป็น PA Ur Drunkle

ตัวนี้แอลกอฮอล์ 5% นะคะ

สำหรับเราขอยอมแพ้ค่ะ มีความไหม้ค่อนข้างชัดเลยง่ะ แต่หนุ่มๆ ชอบกันเยอะแฮะ คิดว่าผู้หญิงน้อยคนค่ะที่จะชอบ
ต่อไปเป็นเบียร์สัญชาติอังกฤษกันบ้างนะคะ
ตัวแรกเลย Fuller's London Prideแอลกอฮอล์ 4.1% ค่ะ


เป็นเบียร์ที่ค่อนข้างขมสำหรับเราอ้ะ เป็นเบียร์สไตล์เพลเอลของอังกฤษที่เป็นเซสชันเบียร์ชนิดแรงนะคะ

มีกลิ่นของผลไม้จางๆ โกโก้ และไม้สนเล็กน้อยค่ะ

สำหรับตัวนี้กินง่ายกว่าฟุลเลอร์ตัวต่อไปค่ะ แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย เรายังชอบ Paulaner มากกว่านะคะ ยังคงเป็น Muller กับ Black Cab Stout ค่ะ แอลกอฮอล์ 4.5% นะคะ
เป็นเบียร์ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างมอลต์ที่แตกต่างกันห้าชนิดค่ะ

กลิ่นเข้มข้นมาก รสก็ค่อนข้างเข้ม ออกไปทางกินเนสเลยแหละค่ะ

แน่นอนว่าไม่ถูกจริตสาวน้อยที่ชอบอะไรนุ่มนวลอย่างเค้า (เหรอคะป้า?)
ตัวสุดท้ายกันแล้ววววว

Cornish Orchard Gold Cider

ตัวนี้แอลกอฮอล์ 4.5% ค่ะ

ไซเดอร์สีอ่อนเหมือนแชมเปญ มีกลิ่นของผลไม้จากแอปเปิลเปรี้ยว เมื่อเทใส่แก้วจะออกสีใสอมทอง มีฟองด้านบนเล็กน้อย

รสชาติเปรี้ยวเด่นมากค่ะ เปรี้ยวแบบอึ้งเลย (หรือเพราะกินตัวอื่นมาก่อนหว่า?) ซึ่งไม่ถูกจริตเราอีกเช่นกันนะคะ

แต่เบียร์ตัวนี้ได้รับรางวัลเหรียญทองในการประกวดไซเดอร์นานาชาติปี 2015 นะคะ
ส่วนตัวนี้อยู่นอกลิสต์ชิมค่ะ เป็นเบียร์ขวดที่อยู่ที่เคาน์เตอร์ที่ระเบียงด้านนอกนะคะ เห็นอีกคนชอบมาก เราเลยขอไปลองนิดหนึ่ง แฮร่...

รสค่อนข้างผู้ชายอีกเช่นกันค่ะ (คนที่ชมว่าอร่อยก็ผู้ชายอะนะ 555) ซึ่งไม่ถูกจริตเราอีกเช่นกัน สรุปแล้วมารอบนี้ถูกจริตกับเบียร์ของ Paulaner เองมากกว่าค่ะ  สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ


ใครเป็นสาวกเบียร์ยี่ห้อนี้ก็แนะนำให้ไปแหละค่ะ แต่ถ้าจะไปดื่มก็ไม่ควรขับรถไปหรือใช้บริการให้คนอื่นขับกลับให้แทนจะดีกว่านะคะ เพราะเบียร์ที่นี่ถ้าเจอตัวชอบๆ จริง น่าจะยาวแหละ สำหรับตัวเองก็ถูกจริตกับเบียร์สองอันของยี่ห้อนี้ตามที่รีวิวไปแล้วค่ะ แต่สำหรับหนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้นะ มีโอกาสก็ไปลองพิสูจน์ดูกันเองนะฮับบบบบ

วันนี้จะพาไปกินพิซซ่ากันนะคะ ซึ่งเป็นพิซซ่าที่ทั้งหน้าตาและรสชาติแตกต่างจากพิซซ่าทั่วๆ ไปที่เคยกินๆ กันมาเลยแหละค่ะ กับ Yo Pizza นั่นเองฮับ ซึ่งพิกัดอยู่ในซอยสังคมสงเคราะห์เหนือ ซึ่งเป็นซอยที่แยกมาจากลาดพร้าวอีกที แต่จะวิ่งทางถนนประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้นะคะ สามารถใช้ google map หาโดยชื่อร้านได้เลยค่ะ พิกัดตรงอยู่
สำหรับท่านใดที่นำรถส่วนตัวไป สามารถจอดได้ที่ข้างทางนะคะ ส่วนใหญ่ก็มีจอดทั้งสองฝั่งหละ

ลักษณะร้านจะเป็นอาคารคูหาเดียวค่ะ สีสันเหลือง-ดำโดดเด่นเห็นง่ายพอควรเลย

ร้านนี้เปิด 11.00-21.30 น. และปิดทุกวันจันทร์

โทร. 095-505-3356

www.facebook.com/yopizzabkk/
โปรโมชั่นร่วมกับเครือข่ายมือถือ และตัวอย่างพิซซ่าหน้าต่างๆ ที่ตั้งไว้ที่หน้าร้านค่ะ
ที่นั่งมีไม่เยอะมากนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าไปช่วงที่ตรงกับเวลามื้ออาหาร อาจจะต้องเผื่อเวลารอโต๊ะหน่อยค่ะ
ก่อนจะเริ่มการรีวิว ก็ขอพูดถึงที่มาที่ไปที่ได้จากการพูดคุยกับเชฟ (และแฟนเจ้าของร้าน) ชาวฝรั่งเศส รวมทั้งไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเกี่ยวกับพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์กันสักหน่อยนะคะ


ก่อนอื่นมาดูกันก่อนดีกว่า คือ พูดถึงพิซซ่านี่ เราก็มักจะนึกถึงอิตาลีซึ่งเป็นต้นกำเนิดพิซซ่ากันแหละนะคะ แต่อเมริกาเองก็เป็นประเทศหนึ่งเลยที่นิยมกินพิซซ่ากันมากๆ 

ข้อมูลเรื่องพิซซ่าและตำรับพิซซ่าต่างๆ ของอเมริกา เรานำมาจากลิงก์นี้ดังนี้ค่ะ

ตามข้อมูลจาก American Pizza Community มีสถิติที่น่าสนใจของพิซซ่ากับสังคมอเมริกัน ระบุว่า ทั่วอเมริกามีร้านพิซซาทั้งสิ้นราว 7 หมื่น 4 พัน 8 ร้อยแห่ง และร้านพิซซ่าทำรายได้ราว 17% ของตลาดร้านอาหารในอเมริกา เพราะทุกๆปี มีพิซซ่าที่ขายได้ทั่วสหรัฐฯ ราว 3 พันล้านถาด อ้างอิงจาก National Association of Pizza Operators

ผลสำรวจของ American Dairy Association ระบุว่า ชาวอเมริกันยกให้ “พิซซ่า” อยู่ในอันดับ 4 ของเมนูอาหารที่ชาวอเมริกันอยากรับประทานมากที่สุด รองจากชีส ช็อคโกแลต และไอศกรีม


สำหรับตำรับพิซซ่ายอดนิยมที่มาอเมริกาแล้วต้องสั่ง ได้แก่

​Chicago Deep Dish ที่เริ่มต้นเมื่อปี 1940 โดย Pizzeria Uno ในชิคาโก คิดค้นพิซซ่าที่อบในถาดอบเค้กหรือพาย วางแผ่นแป้งโดวซ้อนเป็นชั้นระหว่างซอสมะเขือเทศ ชีส โรยหน้าด้วยชีสและเครื่องตามชอบ

สำหรับคนที่ไม่ชอบพิซซ่าแป้งหนาๆ Chicago Thin Crust คือคำตอบ เริ่มต้นใน The Quad City ระหว่างรัฐ Iowa และ Illinois แป้งที่บางกรอบกว่าพิซซาแบบนิวยอร์ก และวิธีการหั่นพิซซ่าที่ไม่เหมือนใคร

พิซซ่าต้นตำรับ Neapolitan ส่งตรงจากชาวอิตาเลียนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังสหรัฐฯ และได้รับการยกย่องให้เป็น UNESCO heritage protection แป้งโดวแผ่นบางอบบนเตาฟืนร้อนๆ ก่อนจะทาด้วยซอสมะเขือเทศ San Marzano และวางแผ่นชีสมอสซาเรลลานมควาย bufala mozzarella และ basil หรือโหระพาฝรั่งตบท้าย


​ถัดมาที่คู่ปรับตลอดกาลของชิคาโก New York Thin Crust คิดค้นขึ้นเมื่อช่วงปีคริสตศักราช 1900 ที่ปรับสูตรจากพิซซ่า Neapolitan ด้วยแป้งที่บางกรอบ ทาด้วยซอสมะเขือเทศบางๆอย่างกลมกล่อม โรยด้วย Pepperoni ตามด้วยชีสมอสซาเรลลา และต้องพับพิซซ่าก่อนรับประทานเพราะชิ้นที่ใหญ่โต

California Style เริ่มต้นเมื่อปีคริสตศักราช 1980 ใช้แป้งแบบ Neapolitan แต่หน้าพิซซ่าที่หลากหลายกว่าพิซซ่าสไตล์ New York จุดเด่นคือหน้าไส้กรอก แซลมอนรมควัน และไก่บาร์บีคิว

พิซซ่าสไตล์กรีก New England Greek ใน New England แป้งขอบหนานุ่ม โรยหน้าด้วยเฟต้าชีส อาร์ทิโช้ค และมะกอก Kalamata บางครั้งแค่ใส่ซอสมะเขือเทศและชีสมอสซาเรลลา

St. Louis Style เริ่มต้นในปี 1960 แผ่นแป้งบางเหมือนแครกเกอร์ เพราะไม่ใส่ยีสต์ให้ฟูเหมือนแป้งพิซซ่าทั่วไป โรยหน้าด้วยชีส Provel ที่ผสมชีสเชดดาร์ มอสซาเรลลา และ provolone

Tomato Pie หรือ New Jersey style เริ่มต้นในปี 1900 ในย่านฟิลาเดเฟีย ที่เรียกว่าเป็นพายมะเขือเทศ เพราะแทนที่จะทาซอสมะเขือเทศก่อนโรยชีส กลับเอาชีสโรยลงไปก่อน และราดซอสมะเขือเทศและท้อปปิ้งตามหลัง

ปิดท้ายด้วยพิซซา Detroit Style มาแปลกกว่าด้วยพิซซ่าแบบ Deep Dish แต่อบในถาดสี่เหลี่ยม ราดซอสมาเรียนาของพิซซ่าดั้งเดิม โรยด้วยชีส จุดเด่นคือขอบที่กรุบกรอบและเกรียมกำลังดี


ซึ่งสำหรับที่ร้านนี้ก็อย่างที่จั่วหัวไปนะคะว่าเป็นพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์ค่ะ แต่ก่อนจะไปดูหน้าตาของพิซซ่าสไตล์นี้และรู้ที่มาของพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์ ก็มาดูเมนูกันค่ะ ที่ร้านจะมีเมนูทั้งที่จอและเป็นแผ่นด้วยนะคะ

สำหรับพิซซ่าที่นี่จะมีด้วยกันสองไซส์ค่ะ คือ ไซส์แอลขนาด 4 ชิ้น และไซส์เอกซ์แอลขนาด 8 ชิ้นค่ะ โดยราคามีเริ่มต้นตั้งแต่ 199 บาท (ไซส์แอล คลาสสิคชีส) เลยค่ะ
ระหว่างรอพิซซ่าทางร้านก็นำเครื่องดื่มมาให้ก่อนค่ะ ที่นี่จะมีทั้งเป๊ปซี่ เป๊ปซี่แม็กซ์และน้ำเปล่านะคะ ที่เก๋มากคือ ที่นี่เค้าใส่แก้ว YETI ค่าาาา ตอนแรกนึกว่าแบบอยากให้ลูกค้าได้เก็บความเย็นของเครื่องดื่ม แต่...หลังจากคุยกับเชฟแล้ว ปรากฏว่า...เชฟบอกว่า จะได้ไม่มีหยดน้ำเปื้อนโต๊ะค่ะ...ตึ่งโป๊ะ 555555 แบบว่าเชฟเค้าไม่ชอบให้โต๊ะเปื้อนเป็นรอยด่างน้ำน่ะค่ะ
ส่วนนี่คือโฉมหน้าของเชฟค่ะ (แอบแคนดิดมาแหะๆ) เชฟเป็นชาวฝรั่งเศสที่หลงใหลพิซซ่าสไตล์อเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์ เพราะฉะนั้นเราก็จะมารู้จักกับพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์กันก่อนนะคะ ข้อมูลแปลมาจากวิกิพีเดียอีกทีค่ะ

พิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์เป็นสไตล์ของพิซซ่าที่พัฒนาขึ้นในดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เป็นพิซซ่าสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเปลือกหนาและรสชาติที่ละเอียดเช่น pepperoni และ mushrooms สิ่งที่ทำให้พิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์แตกต่างจากชิคาโกและสไตล์นิวยอร์กคือเปลือกโลกซึ่งหนาและกรอบมากที่ด้านล่าง พิซซ่ารูปสี่เหลี่ยมอันเป็นผลมาจากการถูกอบในกระทะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมักไม่ใช่ถาดพิซซ่า แต่เป็นถาดส่วนที่ใช้ในอุตสาหกรรมซึ่งเดิมทำไว้เพื่อประกอบชิ้นส่วนเล็ก ๆ ในโรงงาน 
แป้งพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์เป็นขนมที่อบสองครั้งและมักอบในกระทะที่มีน้ำมันเป็นเนื้อเนียนละเอียดปานกลางซึ่งทำมาจากขอบด้านล่างและขอบของเนื้อแป้งทอดหรือกรอบ บางร้านจะใช้เนยละลายกับแปรงขนอ่อนก่อนที่จะอบ พิซซ่าที่ได้รับมีเนื้อนุ่ม


ต้นกำเนิดของพิซซ่า "ดีทรอยต์สไตล์" สามารถโยงย้อนกลับไปยัง Buddy's Rendezvous ในปี 1946 ซึ่งต่อมากลายเป็น Buddy's Pizza ในช่วงหลายทศวรรษต่อมาได้มีการขยายสาขาและพัฒนา รวมทั้งพ่อครัวได้ย้ายออกไปและในบางกรณีก็เปิดร้านพิซซ่าของตัวเองอีกด้วย 
Cloverleaf ซึ่งก่อตั้งโดย Gus Guerra ในฐานะร้านอาหารอิตาเลียนใน Eastpointe ทำหน้าที่ดีทรอยต์สไตล์แพนพิซซ่าเช่นเดียวกับ Luigi's "The Original" สาขาของ The Shield's Pizza และ Loui's Pizza ในเฮเซลพาร์ค ในปี 2009 Buddy's Detroit-style pizza และ Luigi's "Original" ของ Harrison Township ได้รับการยกย่องว่าเป็นสองใน 25 พิซซ่าที่ดีที่สุดในอเมริกาโดยนิตยสาร GQ โดยนักวิจารณ์อาหาร Alan Richman 

ในเดือนเมษายนปี 2013 ดีทรอยต์ซีซาร์ได้เปิดตัวพิซซ่า deep dish แบบดีทรอยต์แห่งแรกในประเทศที่มีจำหน่ายทั่วประเทศ และยังเสนอขอบเบคอนอีกด้วย


ก่อนพิซซ่าจะมา ก็เจอพาสต้าก่อนค่ะ อิอิ 
สไปซี่เบคอนลิงกวินี่ 189 บาท มีเบคอน กระเทียม พริก หัวหอม ซอสมะเขือเทศสดค่ะ ที่นี่เชฟใช้เส้นลิงกวินี่นะคะ ซึ่งเราชอบมากกก เราชอบเส้นลิงกวินี่ มันช่วยอุ้มรสชาติได้ดีอ้ะ ตัวนี้จะมีความเผ็ดและจัดจ้านพอควรเลยค่ะ แต่ก็มีความอมเปรี้ยวนิดๆ เราชอบนะ กินแล้วไม่เลี่ยนดีอ้ะ
พาสต้าอีกตัวที่ได้ชิมกันค่ะ สเปเชียลคาโบนารา 179 บาท มีเห็ดแชมปิญอง เบคอน หัวหอม ครีมซอส 
อร่อยอีกเช่นกันค่ะ ซึ่งสูตรคาโบนาราที่นี่จะไม่เหมือนที่อื่นนะคะ อิอิ ลองไปกินดูค่ะ  จากนั้นพนักงานก็นำอุปกรณ์มาให้ค่ะ ถุงมือกับจานไม้รูปสี่เหลี่ยมนะคะ


และแล้วสิ่งที่รอคอยก็มาาาา พิซซ่าาาาาาาา หน้าแรกค่ะ ซุปเปอร์ฮาวายเอี้ยนไซส์แอล 279 บาท เลือกได้ว่าจะเอาหมูหรือไก่นะคะ ประกอบไปด้วยซอสมะเขือเทศสด มอสซาเรลล่าชีส แฮมหมูหรือไก่ เห็ดแชมปิญอง ข้าวโพด และสับปะรดค่ะ ก่อนอื่นเลยจะเห็นว่าขอบมีความกรอบมากกกกก ตามสไตล์พิซซ่าดีทรอยต์เลยนะคะ แต่ความเด่นอีกอย่างคือ แป้งพิซซ่าของที่นี่เค้าไม่เหมือนที่อื่นเลยค่ะ มันมีความนุ่มหนึบไม่แห้งเหมือนบางที่ มันมีความเป็นเนื้อเป็นหนัง ซึ่งเกิดจากสูตรเฉพาะของทางเชฟ (ที่ขออนุญาตไม่บอกนะคะ เนื่องจากเป็นสูตรลับของเชฟ) กินแล้วไม่รู้สึกหนักท้อง เพราะทางเชฟเองมีการให้ยีสต์กินกลูเตนในแป้งไปก่อนที่จะนำมาทำ ซึ่งทำให้เรากินแล้วไม่แน่นท้องค่ะ เป็นการกินพิซซ่าครั้งแรกเลยที่กินสองหน้าหน้าละชิ้นแล้วยังอยากกินอีกอ้ะ อร่อยเพลิดเพลินเจริญใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่รีวิวในแอพหนึ่งมีแต่คนชมพิซซ่าร้านนี้อ้ะ คือดีย์


หลังจากประทับใจกับหน้าแรกมาแล้ว ต่อกับหน้านี้กันค่ะเดอะคานิวอร์ ไซส์แอล 299 บาท ประกอบไปด้วยซอสมะเขือเทศสด มอสซาเรลล่าชีส เปปเปอร์โรนี แฮมหมู แฮมไก่ เบคอน เบคอนอบ โอลีฟดำ

เรื่องแป้งยังดีเหมือนเดิมค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นการกินพิซซ่าที่กินแล้วแบบไม่เลี่ยน ไม่อืด อยากกินซ้ำมาก ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าทำไม (เพราะก่อนหน้านั้นก็ไปจัดมาอยู่ไม่น้อย ยังงงว่าทำไมกินพิซซ่าไหวฟระ) พอได้คุยกับเชฟถึงได้รู้สาเหตุค่ะ ใครที่รักการกินพิซซ่า เราเชียร์ร้านนี้จริงๆ นะคะ แต่ต้องบอกก่อนว่า มันจะไม่ใช่สไตล์อิตาเลียนแบบที่คุ้นเคยนะ แต่เราก็ชอบสไตล์นี้มากเลยค่ะ เราว่าอร่อยถูกจริตเราแหละ นอกจากแป้งแล้ว ที่นี่ก็ทำซอสเองด้วยค่ะ โดยนำเข้าจากอิตาลีแล้วก็เคี่ยวทำซอสใช้เวลาประมาณ 6-8 ชม.หละ


สรุปสำหรับร้านนี้


เป็นร้านพิซซ่าร้านหนึ่งที่ประทับใจเรามาก (ช่วงนี้ได้กินแต่ร้านดีๆ ถูกจริตตัวเองอ้ะ ดีจัง) เป็นการกินพิซซ่าสไตล์ดีทรอยต์ครั้งแรกของเราด้วยค่ะ ซึ่งเป็นการกินที่ประทับใจมากเลย นี่คิดว่ามีโอกาสจะไปซ้ำอีกแน่นอนค่ะ 
เชฟยังเล่าให้ฟังว่า มีลูกค้ามากินแล้วก็พูดถึงร้านบัดดี้ ซึ่งเป็นร้านดังของพิซซ่าดีทรอยต์อย่างที่เล่าไปแล้วนะคะ แต่ลูกค้าบอกว่าร้านนี้อร่อยกว่าหละ คิดดู๊วววววว เพราะงั้นถ้าใครอยากลองพิซซ่าสไตล์นี้ ต้องโดนค่ะ 555

วันนี้จะพาไปร้านชาที่โคตะระถูกจริตเรามาก ไปแล้วนี่อยากไปอีกค่ะ (ช่วงนี้โชคดี ได้ไปกินแต่ร้านที่ตัวเองชอบอ้ะ ต้องทำบุญด้วยอาหารอร่อยๆ ต่อไป...เดี๋ยวค่ะป้าเดี๋ยว) กับร้าน TE Time and Space ทองหล่อนั่นเองหละค่ะ


สำหรับพิกัด ร้านจะอยู่ในซอยทองหล่อ25 นะคะ ตรงข้ามกับคอนโดมีเนียม Art@Thonglor เลย ไม่มีที่จอดรถค่ะ (จอดหน้าร้านได้ 1 คัน) เพราะฉะนั้นแนะนำให้ไปรถสาธารณะหรือแท็กซี่น่าจะดีกว่า ส่วนวันนั้นเราเอารถไป ขับเลยร้านไปเจอสามแยก เลี้ยวขวา แล้วก็ต้องหาข้างทางจอดเอาค่ะ

ลักษณะร้านเป็นอาคารพาณิชย์คูหาเดียวค่ะ ร้านจะเป็นทั้งชั้นล่างและชั้นสองนะคะ (นี่ไปตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดกันเลยทีเดียว 5555) ร้านเปิด 10.00-19.00 น. และปิดวันจันทร์กับอังคารค่ะ
เราขึ้นไปที่ชั้นบนกันดีกว่าค่ะ ชั้นสองนี่จะทำที่นั่งเป็นสองเสต็ปด้วยกันนะคะ นั่นคือด้านหน้าเคาน์เตอร์ กับที่ยกพื้นขึ้นไปหน่อยจะเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ค่ะ

สำหรับร้านนี้ก็จะมีชื่อเสียงในเรื่องชาหละนะคะ ซึ่งก็มีร้านสาขาที่สยามดิสคัฟเวอร์รี่ด้วย แต่สาขานี้จะมีพื้นที่เป็นกิจจะลักษณะมีความเป็นร้านมากกว่าค่ะ และนอกจากนั้นร้านนี้ก็มีคอร์สสอนเบลนด์ชาด้วย (ใช่ค่ะ ชาทุกตัวของร้านนี้เจ้าของ - คุณปลาเบลนด์เองหละ) ซึ่งก็จะเป็นการสอนไปชิมไปค่ะ ถ้าใครสนใจก็ลองติดต่อไปที่ร้านได้นะคะ เบอร์ 0817007176 ค่ะ แว่วๆ ว่าเร็วๆ นี้จะมีคอร์สดื่มชาแพร์ริ่งกับช็อกโกแลตด้วยยยย อิชั้นนี่หูผึ่งเลย เพราะมันคือของรักของข้าาา (เดี๋ยวค่ะป้าเดี๋ยว) มันเป็นของโปรดทั้งสองอย่างอิชั้นเลยยยยย น่าสนใจฝุดๆ ฮ่ะ

ชาตัวแรกที่ได้ลองชิมกันค่ะ

Silent Lullaby

เบลนด์มาจาก chamomile ขิง เก็กฮวย ชะเอมเทศ และดอกเบญจมาศค่ะ

ใครไม่หลับมาทางนี้ ชานี้ช่วยคุณได้ สารภาพว่ากินไปสักพักนี่เคลิ้มมาก (เอ๊ะ หรืออิชั้นจะโดนของ?) ถึงกับหาวหวอดๆ ทั้งที่ก็ไม่ได้อดนอนค่ะ (ตอนแรกไม่เท่าไหร่ พอกินตัวที่สองไปด้วยนี่แหละค่ะ หาวออกมาเลย ง่วงงุนอย่างแรง) อเมซซิ่งมาก รสและกลิ่นที่เด่นจะเป็นคาโมไมล์กับขิงค่ะ ออกแนวอบอุ่นๆ หน่อย เหมาะกับคนขี้หนาวอย่างข้าพเจ้ามาก กินแล้วให้ความรู้สึกอุ่นอ่อนโยน อยากนอนในอ้อมกอดใครสักคน (ใครก็ได้ลากป้ากลับมาที) ใครอยากได้ชาที่ให้อารมณ์ประมาณนี้ ลองตัวนี้ได้เลยนะคะ



ตัวที่สองค่ะ สตาร์สตารี่ไนท์

เป็นส่วนผสมระหว่างไส้กาเกา (ผลโกโก้) เปลือกโกโก้ แบล็คมินท์และชาดำอัสสัมค่ะ

ตัวนี้แหละค่ะ พอโดนสำทับไปกับตัวแรก ง่วงกันเลยทีเดียว หาวออกมาเลย อยากขอที่นอน หมอน มุ้งมากมาย ตัวนี้เป็นตัวใหม่นะคะ (เอาเป็นว่าร้านนี้เค้ามีชาใหม่ๆ มาเรื่อยๆ เลยแล้วกันค่ะ 555) ก็เลยยังไม่มีส่วนผสมบอกในใบโบรชัวร์ 555555



มีชาแล้วก็ต้องมีขนมสิคะ ของมันคู่กันค่ะคุ้ณ ซึ่งขนมนี่ทางร้านไม่ได้ทำเองค่ะ แต่เอาของที่อร่อยมาขาย (คิดถูกมากค่ะ เพราะฉะนั้นร้านนี้จึงมีแต่ของอร่อยๆ 555) อย่างสโคนนี่มีแบบสโคนเนยกับสโคนแครนเบอร์รี่ และสโคนเชดดาร์กับเบคอนค่ะ วันนี้เราได้ลองแค่สองตัวแรกนะคะ

เนื้อสโคนแบบที่เราชอบเลย คือไม่แห้งร่วนเกินไป มีความแน่นฉ่ำนิดๆ หอมเนยมาก เทกซเจอร์ดี รสชาติก็ดีค่ะ แยมจะมีสองตัวคือฟิกซ์กับน้ำผึ้ง และแอปเปิ้ลกับวานิลา ซึ่งเป็นอีกอย่างที่ทางร้านเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นกัน (เจ้าของร้านเป็นคนขี้เบื่อปะเนี่ย 5555 แต่ดีนะคะ ทำให้ไปซ้ำก็มีเมนูใหม่ๆ มาให้ลองหละ นี่ถ้าอยู่ใกล้บ้านคงไปมันทุกอาทิตย์ฮ่ะ) แยมอร่อยทั้งสองตัวเลยค่ะ ชอบมาก ตัวเนยก็ใช้เนยดีค่ะ หอม ชุ่มฉ่ำเนยมาก อร่อยยยยยยย
ต่อไปเป็นอีกหนึ่งขนมคู่ชาค่ะกับ Financier (เพื่อนบอกว่าออกเสียงว่าฟินองเซียร์นะฮะ) เป็นขนมสไตล์ฝรั่งเศสชิ้นเล็กๆ คล้ายๆ อัลมอนด์เค้กผสมเค้กบัตเตอร์ เป็นขนมเก่าแก่ของฝรั่งเศส ส่วนประกอบหลักนั้นมีแต่ไข่ขาว ไม่มีไข่แดงค่ะ เย้ๆ

รูปลักษณ์ของมันโดยดั้งเดิมจะทำในพิมพ์รูปทองแท่ง มีต้นกำเนิดจากร้านเบเกอรี่ในย่านเศรษฐกิจของปารีสที่เรียกว่า La Bourse du Commerce หรือตลาดซื้อขายหุ้นของปารีส ซึ่งชื่อของขนมชนิดนี้ก็ไปพ้องความหมายกับนักการเงินนั่นเองค่ะ ซึ่งอาจจะเล่นกับความเชื่อของนักธุรกิจชาวปารีสกันมากน้อยระดับหนึ่งน่ะนะคะ แล้วก็เจ้าขนมนี้จะทำจาก Almond Meal คือทำจากอัลมอนด์บดละเอียดนั่นเองค่ะ ไม่มีแป้งนะฮ้าบบบ

วันนั้นที่เราได้กินมีสามรส ตามรสของชาที่มีขายที่ร้านเลยนะคะ นั่นก็คือ ทรอปิคัลวันเดอร์แลนด์ (ใกล้) คิสฟอร์มอะโรส (กลาง) และมิดไนท์เอิร์ลเกรย์ (ไกลสุด)

แต่ละชิ้นนี่หอมชามากค่ะ ละมุน ไม่หวานจัด มีความหอมเนยแบบเนยที่น่าจะมีการเคี่ยวหรือคั่วไฟนิดๆ หละค่ะ กินกับชาแล้วคือดีย์

และตัวนี้เป็นตัวที่เราชอบสุดเลยค่ะ คิสฟอร์มอะโรสสสสสสสส

เบลนด์ด้วยชาดำอัสสัม กุหลาบฝรั่งเศส และเปปเปอร์มินท์นะคะ

คือ มันมีความเป็นผู้ญิ้ง ผู้หญิง หอม และมีความมุ้งมิ้งสูงมาก บอกไม่ถูกค่ะ ต้องไปลอง ใครชอบรสและกลิ่นที่มีความเป็นผู้หญิงมากๆ นี่เชียร์เลยค่ะ เราขนาดไม่ค่อยมีความเป็นผู้หญิง (คือไม่อ่อนหวาน แต่งี่เง่าเนี่ย ใช่เลย 55555) เรายังชอบค่ะ ดีย์อ้ะ
นอกจากนั้นก็ยังมีอาหารสำหรับใครที่หิว อยากกินอะไรหนักๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวไก่กระเทียม ข้าวแกงกะหรี่ซี่โครงหมูแบบไทย (มีอาจาดด้วย) และสปาเก็ตตี้ค่ะ รสออกแนวโฮมเมดมากๆ 

เราชอบสุดคือข้าวแกงกะหรี่ซี่โครงหมูค่ะ ยิ่งกินกับอาจาดด้วยนี่เข้ากั๊นเข้ากันค่ะ ดีงาม

ส่วนถ้าใครชอบชาเย็น ทางร้านก็มีให้เช่นกันค่ะ อย่างทรอปิคัลวันเดอร์แลนด์นี่เป็นชาแบบเดียวกับตัวร้อน แต่เพิ่มน้ำมะพร้าวลงไป แล้วแต่ละเดือนก็จะมีเมนูพิเศษๆ อย่างเดือนนี้จะเป็นพิงค์ดราก้อนนะคะ ซึ่ง...จริตเรา เราชอบชาร้อนของที่นี่มากกว่านะ แต่คนไทยส่วนใหญ่คงชอบดื่มเย็นมากกว่ากระมัง แหะๆ

ที่เราชอบอย่างหนึ่งของที่ร้านนี้นะคะ คือ เขาเข้าใจขั้นตอนของการชงชาอ้ะ คือ มีอุ่นแก้วชา มีดูอุณหภูมิชา เวลาในการต้องทิ้งไว้ให้ชาฟิวส์กับน้ำ (และน้ำที่นี่ไม่มีกลิ่นคลอรีนเหมือนหลายร้าน) แล้วเวลาจะริน ก็จะรินออกจากกาชง (ที่มีใบชา) ลงกาเล็กก่อนแล้วถึงจะเอากาเล็กนั้นรินใส่แก้วอีกที คือแบบ....ดีมาก นานๆ จะเจอร้านชาถูกจริตตัวเอง ยอมรับเลยค่ะว่าปลื้มมาก

อีกหนึ่งขนมที่มาร้านนี้ห้ามพลาดค่ะ อร่อยมากกกกกกกกก ไม่เกรงใจนี่อยากจะกินมันคนเดียวทั้งชิ้นค่ะ ชีสเค้ก คือดีย์ ชีสดีมาก หอมชานิดๆ อร่อยยยยยย อยากแอบถามมากว่าสั่งร้านไหนอ้ะะะะะะ 

ส่วนตัวนี้เป็นไอเท็มลับ 555555555 เป็นไอเท็มล่าสุด เป็นแรงบันดาลใจจากทริปฮอกไกโดของคุณปลานะคะ ฮอกไกโดบลูม

มีโรสแมรี่ ลาเวนเดอร์ เปปเปอร์มินท์ บลูแอนด์พิงค์คอร์นฟลาวเวอร์ คาเลนดูล่า เลมอนบาล์มค่ะ

ตัวนี้รสและกลิ่นไม่เด่นค่ะ แต่หน้าตาสีสันมุ้งมิ้งมาก 555 


ก่อนจะไปสรุป ปิดท้ายด้วยสวนลับของทางร้านนะคะ สามารถแจ้งทางร้านเพื่อไปนั่งจิบชาตรงนี้ได้ค่ะ รับรองว่าส่วนตัวแน่ๆ อิอิ

สรุปสำหรับที่นี่นะคะ


เป็นร้านที่ถูกจริตสายชาอย่างเรามากกกกกก ความเอาใจใส่ รสชาติของชา ความสร้างสรรค์ การคัดเลือกขนมที่มีแต่ของอร่อยๆ อัธยาศัยของคุณปลาที่เฟรนด์ลี่สุดๆ เป็นอีกที่ที่อยากไปซ้ำค่ะ เสียดายนิดเดียวตรงหาที่จอดรถยากไปหน่อย ถ้ามีที่จอดรถอีกอย่างนี่จะเพอร์เฟ็คสำหรับเรามากเลยค่ะ


ถ้าใครชอบชา อยากให้ไปลองนะคะ จะไปดื่มชิมเฉยๆ หรือจะเข้าคอร์สเบลนด์ หรือจะรอคอร์สแพร์ริ่งกับช็อกโกแลตก็ได้ค่ะ คิดว่า Tea Lover น่าจะประทับใจเหมือนเรานะคะ

ร้านอาหารร้านถัดไปในซีรี่ย์  “อร่อยใกล้บ้าน” เป็นร้านที่อยู่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครับ  ที่บอกว่าเป็นพื้นที่ที่คุ้นเคยเพราะว่าโรงเรียนมัธยมของเจ้าของบล็อกอยู่ละแวกนี้  เจ้าของบล็อกเรียนอยู่  6 ปี  โดดเรียนมาบ้านเพื่อนก็อยู่ละแวกนี้  นัดมาทำรายงานบ้านเพื่อนก็อยู่แถวๆนี้  พอเรียนจบมัธยมก็ไม่ได้กลับมาแถวนี้อีกเลย ยิ่งพักหลังๆแถวนี้รถติดมากยิ่งหลีกเลี่ยงครับ  

PATA  Plantation  ติวานนท์  56 

ร้าน  PATA  Plantation  ตั้งอยู่ในซอยติวานนท์  56  หรือซอยพระแม่มหาการุณย์  สังเกตง่ายๆปากซอยจะเป็นโรงเรียนพระหฤหัยคอนแวนต์  นนทบุรี เข้าซอยไปไม่ไกลร้านจะอยู่ทางซ้ายมือครับ

ร้าน  PATA  Plantation  เป็นร้านอาหารแบบ  stand alone  ขนาดใหญ่  เจ้าของบล็อกไม่แน่ใจว่าเจ้าของถ้าไม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจัดสวนควบคู่ไปด้วยก็คงจะรักการปลูกต้นไม้เป็นอย่างมากเพราะนอกจากภายนอกร้านจะร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่แล้วภายในร้านยังตกแต่งให้ดูคล้ายเป็นเรือนเพาะชำ  มีต้นไม้เขียวๆเต็มไปหมด  เห็นแล้วดูสบายตามากเลยครับ ส่วนด้านในสุดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ตกแต่งแบบง่ายๆแต่ดูอบอุ่น  ครับ  


เมนูของทางร้านก็จะเน้นเป็นอาหารฝรั่ง  อาหารไทยง่ายๆ และอาหารฟิวชั่น


เจ้าของบล็อกสั่งเครื่องดื่มกันก่อนครับ Moodyblue  ราคา  70  บาท แก้วนี้เป็นน้ำเชื่อม blueburry  ผสมโซดาครับ  หวานเย็น ชื่นใจ แต่บางท่านอาจจะไพล่ไปคิดถึงยรสของยาแก้ไอนะครับ อิอิ

อีกแก้วนึง  Peach Soda  ราคา  70  เจ้าของบล็อกคิดว่าน้ำเชื่อมพีชกับโซดาอร่อยกว่าครับ


เมนูทานเล่นเมนูแรก  Wedges in the mug  ราคา  120  บาท  เมนูนี้คือมันฝรั่งหั่นเสี้ยวทั้งเปลือกปรุงรสอบ  ราดทับด้วยเนยแข็งเชดดาร์  ถูกใจคนชอบทานชีสมากๆครับ  มันฝรั่งอบชิ้นหนาๆกรอบนอกนุ่มในอุ่นๆ  ทานพร้อมๆกับเชดดาร์ชีสละลายเยิ้มๆ  อร่อยมากเลยครับ 


เมนูถัดไป  Ceasar Salad  ราคา  125  บาท เมนูนี้น้ำสลัดอร่อยดีครับ  เสียอย่างเดียวเบคอนที่โรยมาไม่ทราบว่าอบเองหรือเปล่ามันป่นเกินไปครับ


เมนูเส้น  Ebiko Penne  ราคา  160  บาท mถึงเมนูนี้เจ้าของบล็อกจะไม่ถูกใจเส้นพาสต้า 
เพราะไม่ชอบพาสต้าที่มีรูปร่างอื่นๆนอกจากแบบเส้นๆ  แต่ว่าครีมรสดีมากๆ  ไม่มันไปไม่เลี่ยนไป พอคลุกกับไข่กุ้งทานเข้าไปแล้วไข่กุ้งมันแตกเป๊ะๆๆในปากเข้ากั๊น
... เข้ากันครับ

เมนูอิ่มจริง  ก๋วยเตี๋ยวหลอด  ราคา  160  บาท เมนูนี้ให้ดาวทั้งฟ้าเลยครับ  เครื่องแน่น  รสชาติอร่อย  แถมปรุงมาให้เสร็จเปรี้ยวๆ เผ็ดนิดๆ  แบบที่ชอบเลยครับ  และโปรดสังเกต .... กากหมูชิ้นตู้มๆเลยคราบบบบ  บอกได้คำเดียวว่า  love  จานนี้ที่สุดครับ


ร้าน  PATA  Plantation  เป็นร้านอาหารบรรยากาศดี  ร้านสวย  คิดว่าคงถูกใจคนที่ชอบต้นไม้แน่ๆ และอาหารอร่อยครับ  

ร้านอาหารในซีรี่ย์  “อร่อยใกล้บ้าน” ที่จะมาแนะนำเป็นร้านต่อไปเป็นร้านอาหารสๆไตล์ฝรั่ง  “ฟิวฉั่น” นะครับ  อยู่ไม่ไกลบ้านเลย  ร้านก็สวย ชื่อก็เพราะครับ ฟังชื่อดูแล้วเหมือนว่าได้นั่งทานอาหารท่ามกลางสวนสวยๆ

Bistro de Flora  ราชพฤกษ์ 

ร้าน  Bistrode Flora  ตั้งอยู่บนถนนราชพฤกษ์ขาออก  ก่อนถึงถนนรัตนาธิเบศร์ครับ  สังเกตง่ายๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านหนองคายป้าสุ ร้าน Maria Garden ร้าน  Bistro de Flora  อยู่ก่อนถึง ร้าน  Maria  ร้านเก่า  ครับ

รู้จักร้าน Bistrode Flora มาตั้งแต่เป็นร้าน  Café deFlora  ที่ตั้งอยู่ซอยช้างที่ขายต้นไม้เยอะๆแล้วครับ  เดิมเป็นร้านรับจัดสวนพร้อมกันขายกาแฟ  มีที่นั่งใช้ชมสวนแบบอังกฤษ  พอมาเปิดที่ใหม่ก็เลยตามมาทานครับ

ร้าน  Bistrode Flora  เป็นร้านอาหารน่ารักๆ  ตัวร้านเหมือนกระท่อมเล็กๆ ในสวน  ด้านในร้านก็แต่งสไตล์  English  Cottage ครับ เสิร์ฟอาหารประเภท Bistro  คืออาหารฝรั่งง่ายๆ  พาสต้า  สลัด สเต็ก  มีเมนู “ฟิวฉั่น”  บ้าง  

สั่งเครื่องดื่มมาดับกระหายก่อนครับ  แก้วแรกเป็น Honey Lemon Soda  ราคา  80  บาท

อีกแก้วนึงเป็น  Caramel Macchiato  ราคา  90  บาท

อาหารจานแรก สลัดอกเป็ด  ราคา  280 บาท
อกเป็ดรมควันหั่นชิ้นไม่หนาไม่บาง  ทานคู่กับผักสลัดสดๆ  กรอบๆ จานนี้เด็ดที่น้ำสลัดครับ รสชาติดีมากกกก ได้รสของน้ำส้มสด น้ำสลัดจะเคล้ากับผักมาเลยนะครับ 
อร่อยมากจริงๆ  ชอบจานเสิร์ฟมากเลยครับ  จานเสิร์ฟจะเหมือนเปลญวนนะครับ น่ารักดีครับ

ไส้กรอกรวมมิตร  ราคา 350  บาท
จานนี้โปรดสุดๆ  เป็นคนชอบไส้กรอกอยู่แล้วครับ  ไส้กรอกรวมมิตรที่ร้าน  Bistro de Flora  เด็ดขาดมาก  ชุ่มฉ่ำ เนื้อแน่น  หนังกรอบ  เคี้ยวเด้งดึ๋งๆเลยครับ  เค้าจะมีให้เลือก  3 รสนะครับ ไส้กรอกเนื้อลูกวัวหรือเปล่าไม่แน่ใจอันสีขาว  ไส้กรอกพริกไทยดำและไส้กรอกพริก  อร่อยเด็ดทุกชิ้นเลยครับ

ซี่โครงแกะ ราคา  380  บาท
อันนี้สุกเกินไปครับ  ข้างนอกเลยออกจะไหม้ไปนิดข้างในสุกแบบ verywell done เลยครับ ชอบแบบมีเลือดติดนิดๆครับ

ของหวานจำราคาไม่ได้เลยครับ  จานแรกคือ Tiramisu หวานละมุนตามแบบของทีรามิสุทั่วไปนะครับ  

อีกจานคือ  เคร็ม บรูเล่ย์  จานนี้เอารางวัลชนะเลิศด้านการตกแต่งไปเลยครับ  ส่วนรสชาติคิดว่ายังไม่ถึงใจครับ  ตัวเคร็ม บรูเลย์  เนียน  นุ่ม ก็จริง แต่ไม่ค่อยหอมวนิลลาครับ ส่วนหน้าน้ำตาลก็น้อยไปนิดครับ จริงๆหน้าน้ำตาลจะต้องมากนิดนึงเพราะตัวขนมจะมีรสจืดๆ  ต้องมาผสมความหวานที่หน้าน้ำตาลครับ

ถ้าใครอยากได้อารมณ์แบบนั่งกินข้าวในกระท่อมแบบอังกฤษ  ชมสวนสวยๆ ขอแนะนำร้าน  Bistrode Flora  รับรองได้เลยครับไม่ผิดหวังแน่ๆ

วันนี้จะพาไปกินอีกหนึ่งร้านดังจากอเมริกาที่เปิดตัวไปสองสาขาแล้ว และเพิ่งแกรนด์โอเพินนิ่งไปกับสาขาใหม่ล่าสุดที่เมกาบางนา ซึ่งจะอยู่ย่าน Food Walk นะคะ กับร้าน IHOP MEGA BANGNA นั่นเองงงงงงง สำหรับท่านใดที่นำรถส่วนตัวไป ที่นี่ก็สามารถจอดรถได้ฟรี 8 ชม. โดยไม่ต้องประทับตราใดๆ นะคะ ดีงามมาก



ตัวร้านจะอยู่ที่ฟู้ดวอล์คอย่างที่ได้บอกไปแล้วนะคะ พิกัดก็จะเป็นตรงหัวมุมติดกับลานฝั่งทางด้านอิเกียเลยค่ะ
ที่นั่งของร้านจะมีทั้งด้านในที่เป็นห้องแอร์และด้านนอกนะคะ การตกแต่งสาขานี้จะออกไปทางแบบแคลิฟอร์เนีย ที่ให้ความรู้สึกของแสงอาทิตย์และชายหาดด้วยค่ะ และสำหรับใครที่อยากกินอาหารเช้า สาขานี้ก็เหมาะมาก เพราะเปิดตั้งแต่ 7.00-22.00 น.กันเลยทีเดียว
ซึ่งวันนั้นคุณตุ๊ก - ดร.อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ ก็มาดูแลความเรียบร้อยด้วยตนเองเลยนะคะ เลยขออนุญาตถ่ายรูปมาค่ะ สำหรับบริษัทนี้จะมีบริษัทในเครือที่มีร้านต่างๆ ได้แก่ คริสปี้ ครีม, ซินนาบอน, บูลโกกิ บราเธอร์ส, พาย เฟสซื และแจมบาร์ จูซนะคะ  ซึ่งการเปิดไอฮ็อปสาขานี้ก็เป็นปีเดียวกับการฉลองครบรอบ 60 ปีองการเปิดสาขาแรก (ที่ลอสแอนเจลิส) ของไอฮ็อปที่อเมริกาด้วยค่ะ แต่สาขานี้ถือว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยแหละ

สื่ออื่นๆ ของร้านนะคะ

ww.ihop.co.th
www.facebook.com/iHopTH


มาดูเมนูกันค่าาา ค่อนข้างแตกต่างจากสาขาที่ดูไบที่เราเคยไปกินนะคะ แว่วๆ ว่าเร็วๆ นี้ จะเพิ่มเมนูอาหารไทยให้กับสาขานี้ด้วยน้าาา น่าติดตามเชียวว่าจะมีเมนูอะไรไทยๆ มาน้ออออ
มาดูกันว่าวันนั้นได้ชิมแอนด์กินอะไรกันไปบ้างนะคะ

เมนูแรกค่ะ Appitizer Sampler 240 บาท เมนูนี้ประกอบไปด้วยมอนสเตอร์มอสซาสติ๊ก ออเนี่ยนริงส์ และไก่ทอดกรอบ มาพร้อมซอสฮันนี่มัสตาร์ด และซอสมารินารา


ตัวไก่ทอดนี่มาเป็นสแต็คตามภาพเลยนะคะ เมนูนี้ทอดมาได้กรอบดีค่ะ ตัวซอสเราชอบตัวฮันนี่มัสตาร์ดมากกว่านะคะ ส่งรสได้ดีกว่า เรา่วาจิ้มกับซอสกินจะอร่อยกว่ากินเปล่าๆ ด้วยหละ แต่เพื่อนเราชอบออเนี่ยนริงส์หละ อันนี้ก็ถ้าใครอยากกินอะไรเล่นๆ รองท้องแล้วชอบของทอด ก็สั่งมาได้นะฮับ


สำหรับเครื่องดื่ม สั่งตัว IHOP Splashers มาครบทั้ง 7 ตัวเลยค่ะ ราคา�