The Seafood Bar
2011-03-01

ร้านอาหารทะเลสดๆ เสิร์ฟบนบาร์น้ำแข็งในสไตล์อเมริกันแท้ ให้คุณอิ่มอร่อยกับอาหารทะเลที่จะส่งตรงมาจากแหล่งของสดที่ดีที่สุดในโลก ทั้งจากรัฐเมน รัฐอลาสก้า รัฐวอชิงตันสเตท ประเทศญี่ปุ่น และที่อื่นๆ ได้กันแบบสดๆ ทุกวัน ยกเว้นในวันจันทร์ซึ่งทางร้านเขาขอหยุดไปออกทะเลกัน ^^ โดยคุณคริส หนึ่งในหุ้นส่วนของร้าน เล่าว่าได้แรงบันดาลใจในการเปิดร้าน The Seafood Bar แห่งนี้ขึ้นมาจากความคิดถึงบาร์อาหารทะเลที่เคยทานที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่รู้จะไปหาทานได้ที่ไหนในเมืองไทย คุณคริสและหุ้นส่วนจึงเปิดร้านนี้ขึ้นมาเมื่อปี 2009 เพื่อให้นักชิมชาวไทยได้ลองลิ้มอาหารทะเลที่สดใหม่ได้คุณภาพกันทุกวัน หอยนางรมที่นำมาเสิร์ฟในร้านจึงเป็นหอยที่เลี้ยงในน้ำทะเลที่สะอาด มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำว่าจะไม่เป็นอันตรายกับนักชิม จึงมั่นใจได้เลยว่ามากินอาหารทะเลที่นี่ ไม่มีอาการจู๊ดๆ หลังกลับถึงบ้านแน่นอน

The Seafood Bar

The Ambience
ทันทีที่ได้ย่างกรายเข้ามายัง The Seafood Bar เราก็รู้สึกเหมือนกำลังดำดิ่งสู่ท้องทะเลลึก ด้วยการจัดไฟสีฟ้าน้ำทะเลไว้รายรอบร้าน พร้อมภาพเหล่าสิ่งมีชีวิตจากท้องทะเลประดับประดาอยู่ราวมีชีวิต ทำให้การนั่งทานอาหารทะเลสดๆ บนเคาน์เตอร์บาร์สีขาว ที่มีล็อบสเตอร์สดๆ จากรัฐเมนว่ายน้ำเล่นไปมาให้ชมอยู่ภายในตู้ปลาด้านข้างเหมือนเป็นประสบการณ์การนั่งทานอาหารอยู่กลางทะเลเลยทีเดียว แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบนั่งทานที่บาร์ หรือสำหรับกลุ่มเพื่อนที่มาอร่อยสดกันเป็นแกงค์ ภายในร้านก็มีโต๊ะสีขาวสะอาดและโซฟาน่านั่งไว้พร้อมต้อนรับ สำหรับคนดังระดับเซเลบที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสักหน่อย ทางร้านก็มีห้องส่วนตัวสำหรับ 8-10 ที่ไว้บริการด้านในเช่นกัน

The Seafood Bar

The Food
อาหารจานเด็ดของที่นี่หนีไม่พ้นอาหารทะเลทั้งแบบปรุงสุกแล้วและแบบกินสดๆ สั่งมาเป็นชุดในแบบ Seafood Platter (2,000 บาทสำหรับ 2 ท่าน 3,500 บาทสำหรับ 4 ท่าน) ซึ่งในชุดนี้จะประกอบไปด้วยหอยนางรมสดๆ ทั้งใหญ่เล็ก หลากหลายชนิดที่ทางร้านคัดสรรมาให้อย่างดี ทั้งพันธุ์ Kumamoto, Olympia, Island Creek, Cooke’s Cocktail, Totten Inlet, Kushi และอื่นๆ อีกหลายชนิด และซาชิมิหอยเชลล์สไตล์ญี่ปุ่นเนื้อหวานนุ่ม พร้อมโชยุและวาซาบิ เสิร์ฟมาคู่กับเครื่องเคียงแก้เลี่ยนอย่างยำสาหร่ายฮิจิกิและวากาเมะ สำหรับคนที่ชอบรสชาติแบบออริจินอล แนะนำให้ทานหอยนางรมคู่กับ Mignonette sauce หรือซอสน้ำส้มสายชูผสมไวน์แดงและหอมแดง พร้อมบีบมะนาวอีกนิดเพื่อเพิ่มความกลมกล่อม แต่สำหรับนักชิมที่ชอบรสชาติแบบไทยๆ ทางร้านก็เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้บริการเช่นกัน หมดจากของสดไปแล้วก็มาถึงของสุกกันบ้าง ทางร้านจัดแยกของสดและของสุกมาในถาดคนละชั้น สำหรับอาหารทะเลสุกมีทั้งหอยตลับมะนิลา หอยแมลงภู่จาก Penn Cove กุ้ง Bay Shrimp และที่เห็นจะเป็นพระเอกนางเอกของจานนี้ก็คงไม่พ้นปู King Crab และ Snow Crab จากรัฐอลาสก้า เนื้อหวาน แน่น ซึ่งจะอร่อยยิ่งขึ้นเมื่อทานกับมายองเนสหรือ Ailoi sauce และสามารถตัดเลี่ยนกันได้ด้วยไข่ปลาโทบิโกะ

The Seafood Bar
แต่สำหรับใครที่ต้องการอาหารจานหนักๆ สักหน่อยก็สามารถสั่งจานแป้งอย่างพาสต้ามาทานคู่กันได้ อย่าง Linguini with Assorted Seafood, Almond-Basil Pesto (550 บาท) เส้นลิงกัวนี่ซีฟู้ดผัดกับซอสอัลมอนด์โหระพารสกลมกล่อม หรือจะเป็น Penn Cove Mussels with Spicy Tomato (300 บาท) หอยแมลงภู่สดตัวใหญ่ๆ ผัดกับซอสมะเขือเทศรสจัดจ้าน สำหรับผู้ที่ไม่นิยมกินหอยนางรมดิบๆ เอาเสียเลย ทางร้านก็มีเมนูหอยนางรมสุกที่อร่อยไม่แพ้กันอย่าง Sake Poached Oyster with Hijiki Butter (180 บาท) ไว้เอาใจด้วย

The Seafood Bar

The Drink
พูดถึงอาหารทะเลจะไม่พูดถึงเครื่องดื่มที่เข้ากั๊น...เข้ากันอย่างไวน์ขาวก็คงจะไม่ได้ ที่ The Seafood Bar เขาก็มีบริการไวน์ขาวหลากหลายชนิดจากแคลิฟอร์เนีย ทั้งไวน์แบบคลาสสิคทั่วไป และไวน์ที่ผสมผสานองุ่นหลายชนิดไว้ด้วยกันหรือที่รู้จักกันว่า New World Wine โดยสามารถสั่งมาดื่มกันได้หลายขนาดตามความต้องการ ทั้งแบบขวด แบบแก้ว และแบบครึ่งแก้วสำหรับสาวๆ ที่ไม่อยากจะเมาไวน์ให้อายคู่เดทก็มีเช่นกันค่ะ โดยสนนราคาสำหรับไวน์ขาวครึ่งแก้วนั้นก็แสนจะน่าลิ้มลองเพราะแก้วละไม่ถึง 100 บาท สำหรับใครที่ยังไม่หนำใจก็สามารถสั่งของหวานอย่างไอศกรีมมาล้างปากกันได้ โดยมีทั้งไอศกรีมนม แนะนำรสเฮเซลนัท และแบบซอร์เบท์รสเปรี้ยว ในราคา 2 สกู๊ป 190 บาท

The Seafood Bar

The Location
The Seafood Bar ตั้งอยู่ชั้น 1 ของอาคาร Somerset Lake Point ซอยสุขุมวิท 16 สามารถนำรถยนต์ไปจอดในที่จอดรถของอาคารแล้วมาสแตมป์บัตรจอดรถที่ร้านได้

คีย์เวิร์ด
Seafood Platter
Oyster
OpenRice TH Editor
ข้อมูลร้านอาหาร