Metro on Wireless – ห้องอาหารสุดชิคของโรงแรม Hotel Indigo Bangkok บนถนนวิทยุนี้นำเสนอคอนเซ็ปต์หลักคือการนำ Street food จากแต่ละภาคของไทยเรามายกระดับให้ดูประณีตน่ารับประทานยิ่งขึ้นด้วยรูปลักษณ์การนำเสนอที่เก๋ไก๋ทั้งภาชนะและการจัดวาง การคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีเลิศ และการปรุงอย่างพิถีพิถันภายใต้การดูแลของ Executive Chef จิมมี่ – จำลอง ปิวไธสงค์ – เชฟหนุ่ม (สาว?) สุดแซ่บอารมณ์ดีผู้สะสมประสบการณ์การเป็นเชฟอาหารไทยในห้องอาหารโรงแรมชั้นนำมาแล้วมากมายทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อาหารส่วนใหญ่ของที่นี่จึงเป็นอาหารไทยแทบทั้งหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ลืมที่จะมีอาหารและขนมแบบตะวันตกไว้ให้ได้เลือกสั่งกันบ้างประปรายเพื่อเพิ่มความหลากหลายอีกด้วย จัดเป็นห้องอาหารที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่าไปสัมผัสเป็นประสบการณ์ดูจริงๆค่ะ

***-ทำเลที่ตั้ง/การเดินทาง-***

จากสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต เดินเข้าถนนวิทยุมาประมาณ 400 เมตร จะเห็นโรงแรม Hotel Indigo อยู่ทางด้านซ้ายมือ เลยสถานเอกอัครราชทูตเวียดนามไปนิดเดียว ห้องอาหาร Metro on Wireless จะอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม กดลิฟท์ขึ้นมาได้เลยค่ะ***-เวลาทำการ-***

มื้อเช้า : 6.30-10.30

มื้อกลางวัน : 11.30 – 17.00 (last order 16.00) – มีทั้ง Business Lunch Set และเมนู a la carte ให้สั่งกันได้ค่ะ

มื้อเย็น : 18.00 – 23.00 (last order 22.00) – นอกจากสั่งอาหารแบบ a la carte แล้ว ยังมี Neighbourhood Dinner Set ให้เลือกด้วยนะคะ

***-เมนูที่ได้ลอง-***

สำหรับครั้งนี้เราได้ลองอาหารในส่วนของเมนู a la carte ไปหลายอย่าง ตามนี้เลยค่ะ ราคาอาหารที่ลงไว้ยังต้องบวก VAT 7% และ Service Charge 10% อีกนะคะ

[Complimentary Hors – d’oeuvre]

เช่นเดียวกับร้านอาหารฝรั่งที่มักมีของทานเล่นเล็กๆน้อยๆหรือขนมปังเสิร์ฟให้ทานฟรีก่อนเริ่มมื้ออาหาร ห้องอาหารที่เน้นอาหารไทยเป็นหลักอย่าง Metro on Wireless นี้ก็มี “น้ำพริก of the day” แบบไทยๆมาเสิร์ฟต้อนรับแขกที่มาทานอาหารที่นี่เช่นกัน โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมนูเป็นระยะๆเพื่อไม่ให้จำเจ สำหรับครั้งนี้เป็นน้ำพริกลงเรือพร้อมผักสด เสิร์ฟมาในปิ่นโตใบย่อมๆ 2 ชั้นเก๋ทีเดียว น้ำพริกปรุงมาได้มีรสมีชาติ จัดจ้านกำลังดีแต่ไม่เผ็ดจนเกินไป เหมาะกับการจิ้มกับผักทานเล่นเปล่าๆดีค่ะ นอกจากของว่างฟรีแล้ว ที่นี่ยังมีข้าวเปล่าเสิร์ฟให้ฟรีตลอดมื้อด้วย โดยมีให้เลือกทั้งข้าวหอมมะลิและข้าวสีนิล ขอเติมได้ตลอดนะคะ[Appetiser]

●หอยจ๊อ (ราคา 270 บาท)– หอยจ๊อเนื้อนุ่มเด้ง ได้รสชาติเนื้อปูชัดเจน เสิร์ฟมาในตะกร้าหวายน่ารัก มีหมี่กรอบรองมาในตะกร้า ทานเล่นแกล้มกันไปได้เพลินๆ เป็นการเริ่มต้นมื้อแบบเบาๆ ดีงามใช้ได้เลย●Neighbourhood Hors – d’oeuvre (ราคา 390 บาท)– เป็นของว่าง 4 อย่างเสิร์ฟมาในเตาดินเผา เหมาะกับคนที่อยากลองโน่นนิดนี่หน่อยหลายๆอย่างดีค่ะ ประกอบไปด้วย..- ไก่สะเต๊ะ – ไก่เนื้อนุ่มหอมกลิ่นผงกะหรี่ปนกลิ่นย่างกำลังดี น้ำจิ้มเข้มข้นไม่หวานเกินไป โรยงามาเล็กน้อยพอให้หอม อร่อยสอบผ่านทีเดียวล่ะ

- แหนมข้าวคั่ว – เมนูนี้เพิ่มความละเมียดละไมด้วยการนำแหนมข้าวคั่วมาห่อด้วยใบชะพลูได้ขนาดพอดีคำ ทั้งทานสะดวกและได้กลิ่นหอมใบชะพลูด้วย จัดว่ามีเอกลักษณ์ดีนะคะ

- ปอเปี๊ยะทอดไส้เป็ด – ยกระดับจากปอเปี๊ยะทอดข้างทางให้หรูหราขึ้นด้วยวัตถุดิบไฮโซอย่างเนื้อเป็ดหอมกรุ่นที่นำมายัดไส้แบบจัดเต็ม ทานจิ้มกับน้ำจิ้มบ๊วยหวานๆเพลินดีใช้ได้ค่ะ

- ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน – ทำเป็นไส้ผักและหมูยอหั่นมาพอดีคำ ทีเด็ดอยู่ที่น้ำจิ้มซึ่งทำจากแอ๊ปเปิ้ลเขียว จึงได้รสเปรี้ยวที่กลมกล่อมเป็นธรรมชาติ อย่างที่โบราณเรียกว่า “เปรี้ยวแบบผู้ดี” นั่นล่ะค่ะ

● หมูคลุกฝุ่น (ราคา 370 บาท) –เมนูยอดฮิตที่อยู่คู่ห้องอาหารนี้มานานเพราะแฟนประจำเรียกร้องกันเยอะ เป็นหมูทอดที่ใส่มาในขวดโหลเสิร์ฟคู่กับผักที่ใส่มาในปิ่นโต ก่อนจะทานเชฟจะมาเติมมะนาวและผงเครื่องปรุงที่มีข้าวคั่วกับพริกป่นลงในขวดโหลที่ใส่หมู จากนั้นก็ปิดฝา เขย่า เช้ค-เช้ค-เช้ค อย่างเมามันส์ ...พอเทออกมาคลุกเคล้ากับผักในปิ่นโตนี่คืออร่อยเป๊ะเลย เนื้อหมูนุ๊มนุ่มมีมันแทรกเล็กน้อย รสชาติแบบลาบที่ปรุงออกมาได้กำลังดีงาม (แซ่บน้อยกว่าลีลาเช้คของเชฟแค่นิดเดียวเท่านั้น..555) เด็ดจริงสมกับที่เป็นเมนูดังค่ะ● ทอดมันหัวปลีคุณย่า (ราคา 270 บาท) – ได้ชื่อนี้มาเพราะเป็นทอดมันหัวปลีสูตรเด็ดของคุณย่าเชฟจิมมี่เองเลย เนื้อทอดมันเหนียวนุ่มหนึบกำลังทานเพลิน ชอบค่ะ[New Signature Flavours]

● ข้าวอบสับปะรด (ราคา 260 บาท) – ข้าวผัดรวนมาแห้งดี มีชิ้นสับปะรดกริลล์ให้หอมๆวางเคียงมาด้วย เครื่องที่ใส่มีทั้งหมูหยอง กุนเชียง ลูกเกด ถั่วลันเตา มะม่วงหิมพานต์ และไข่เจียวฝอย ผสมผสานกันออกมาได้รสชาติกลมกล่อมอร่อยทีเดียว ยิ่งเสริมทัพด้วยกุ้งตัวเป้งๆด้วยแล้ว ..แม้แต่คนที่ปกติแล้วไม่ชอบข้าวอบสับปะรดอย่างเราก็กลายเป็นทานได้อย่างเพลิดเพลินเลยล่ะค่ะ● ยำถั่วพูกุ้งหมูสับและไข่นกกะทา (ราคา 240 บาท) – ยำมาได้อมหวานอมเปรี้ยวกำลังดี มีจุดเด่นที่คุณภาพของวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างดี ...ทั้งถั่วพูสดกรอบ กุ้งตัวโตเนื้ออวบแน่นเด้ง เสริมทัพด้วยหมูสับกับไข่นกกะทา อร่อยใช้ได้เลย● ปลาทับทิมผัดคึ่นฉ่าย (ราคา 690 บาท) – ปลาทับทิมตัวเขื่อง เนื้อหวาน - นุ่ม – แน่น ทอดมาแบบกรอบนอกนุ่มในกำลังดี ผัดกับใบคึ่นฉ่าย พริกหยวก และหอมใหญ่ ได้รสชาติอร่อยเป๊ะแบบไม่มีที่ติ ..ปลื้มสุดๆค่ะ เมนูนี้น่ารักตรงที่เสิร์ฟมาในจานเซรามิครูปปลาซะด้วย ทั้งรูปร่างและขนาดพอดีตัวปลาอย่างกับเสื้อสั่งตัด พิถีพิถันดีจริงๆ● ยำสามกรอบทะเล (ราคา 290 บาท) – ประกอบไปด้วยกุ้งตัวอวบๆชุบแป้งทอด ปลาสลิดที่กรอบกริ๊บแบบชิมแล้วรู้ว่าใช้ของเกรดดีใหม่กิ๊ก และแคบหมู ..ยำมาได้รสชาติจัดจ้านแบบกำลังดีทานเพลินทีเดียวค่ะ[All Time Favourites]

● ขนมจีนแกงกะทิปู (ราคา 260 บาท) –เมนูยอดฮิตที่บอกได้เลยว่าเด็ดจริงจัง ..ขนมจีนปั้นก้อนมาให้ทานง่ายและแกงกะทิปูในโถดินเผาใบเล็ก จัดวางมาอย่างสวยงามในตะกร้าสานทรงสูงมีฝาปิดชิมดูแล้วได้รสเครื่องแกงเข้มข้นหอมแรง ปรุงรสได้เผ็ดไม่เกรงใจฝรั่ง แต่ก็สมดุลกันดีกับความหอมมันของกะทิ ที่สำคัญเนื้อปูให้เยอะมาเต็มสุดๆ ชอบมากมายค่ะ● ซี่โครงแกะย่างจากนิวซีแลนด์ราดซอสกระเพรา (ราคา 720 บาท) – เมนูนี้ได้เชฟเอียน – พงศ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย แห่ง Issaya Siamese Club มาร่วมครีเอทให้ ..เนื้อแกะหมักจนนุ่มได้ที่ก่อนนำมาย่างจนหอม ผสมผสานกับกลิ่นรสเผ็ดร้อนของซอสกระเพราได้อย่างดีเลิศ เพียงแค่กัดคำแรกก็แทบเคลิ้ม ..อร่อยเป๊ะดีงามน้ำตาแทบไหลสมกับเป็นเมนูเด่น งานนี้คนรักเนื้อแกะอย่างเรานี่ฟินสุดๆ แต่ถ้าคนไม่ชอบกลิ่นแกะก็อาจไม่ปลื้มเท่าไหร่นะคะ● แกงเผ็ดเป็ดย่าง (ราคา 370 บาท) – เสิร์ฟมาในหม้อเคลือบสีน้ำเงินใบใหญ่ เนื้อเป็ดชิ้นนุ่มหนาให้มาเยอะ เครื่องปรุงในหม้อก็ไม่ธรรมดา ใส่มาทั้งแอ็ปเปิ้ลเขียว สับปะรด ลิ้นจี่ มะเขือเทศ เคี่ยวมากับน้ำแกงจนได้รสกลมกล่อม กับเมนูนี้ส่วนตัวยังไม่ปลื้มนักเพราะเราชอบแกงเผ็ดเป็ดย่างในแบบที่กลิ่นรสเครื่องแกงฉุนแรงกว่านี้ แต่ถ้ากับคนที่ชอบรสชาติอ่อนๆกลมกล่อมแบบชาววังอาจถูกใจนะคะ● Penne Seafood Pesto (ราคา 320 บาท) – เปลี่ยนมาลองอาหารฝรั่งกันบ้าง เส้น Penne ลวกมาได้สู้ฟันกำลังดี ใส่ทั้งกุ้งและหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวเป้งๆ ซอส Pesto ของที่นี่ใส่ Parmesan Cheese มาแบบจัดเต็มจนทำให้ texture มีความครีมมี่หนักแน่นพอสมควร ชิมแล้วแอบนึกถึง Carbonara ขึ้นมาแว้บๆ ซึ่งก็เข้ากันกับกลิ่นรสเข้มข้นของโหระพาได้ดีอยู่ล่ะ อร่อยไปอีกแบบนะ แต่ถ้าทานมากๆเข้าก็มีเลี่ยนบ้างเหมือนกันค่ะ[Neighbourhood Dessert]

สำหรับของหวานนั้นถ้าเป็นพวกขนมแบบฝรั่งก็จะมีเชฟหมวย – Pastry Chef ของที่นี่เป็นผู้ดูแลค่ะ ทราบมาว่าแต่ละเมนูใช้ความพิถีพิถันในการทำมากทีเดียว อย่างพวกเบอร์รี่กวนที่ใช้ประกอบในหลายๆเมนูนั้นก็เป็นของ homemade ที่ทำกันเองสดๆ ได้รสผลไม้แบบธรรมชาติแท้ๆ ทำให้ของหวานที่นี่อร่อยโดดเด่นไม่แพ้ของคาวเลยล่ะ

● Nougat Delight : ตังเมผลไม้รวม (ราคา 280 บาท) – ส่วนตัวแล้วชอบเมนูนี้มากที่สุดในบรรดาของหวานทั้งหมดเลยค่ะ ..เนื้อ nougat นุ่มเบาให้ความรู้สึกกึ่ง mousse ละลายในปาก มีชิ้นผิวส้มเล็กๆแทรกอยู่พอให้ได้กลิ่นหอม ผสมเหล้ารัมราดคาราเมลเข้ากันสุดๆ ทานคู่กับ crumble pie ที่รองด้านล่าง , Mixed Berry Sauce, และสตรอว์เบอร์รี่สดที่ท็อปมาด้านบนนี่.. อร่อยระเบิดระเบ้อ!● ข้าวกระยาคู (ราคา 190 บาท) – ขนมโบราณชนิดนี้เป็นเมนูถนัดของเชฟจิมมี่ที่หาทานที่อื่นได้ยากมากๆ ฉะนั้นถ้ามาแล้วก็ควรต้องสั่งมาลองดูค่ะ เชฟจะทำสดๆวันต่อวัน เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูงใบโต เนื้อขนมแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นน้ำข้าวกับน้ำใบเตยที่ต้มด้วยน้ำลอยดอกมะลิกวนกับน้ำตาลจนได้เนื้อเนียนข้น รสหวานเล็กน้อยและได้กลิ่นใบเตยแบบธรรมชาติหอมชื่นใจ ชั้นบนเป็นหัวกะทิข้นมัน โรยด้วยลูกเดือย ลูกแปะก๊วย ชิ้นมะพร้าวอ่อนและขนุน อร่อยแบบไทยๆดีค่ะ● ซอฟท์เซิร์ฟเจลโต้มะพร้าว (ราคา 150 บาท) – gelato รสมะพร้าวเนื้อเบาแต่ยังไม่เนียนนุ่มเท่าไหร่ มาพร้อมเครื่องเคียงทั้งข้าวโพด เผือก ข้าวเหนียว ลูกชิด ใส่ถ้วยแยกมาให้ตักเติมกันได้ตามสบาย แม้จะไม่ถึงกับโดดเด่นโดนใจแต่ก็ทานได้เรื่อยๆเพลินๆนะ●Vanilla Mille Feuille (ราคา 280 บาท) – แป้งพายกรอบร่วนได้ใจ ไส้ครีมก็หอมวานิลลาชัดเจน เข้ากันเป็นอย่างดีกับไอศกรีมรสช็อกโกแลตกับ crumble กรุบกรอบและผลไม้กวนที่เคียงมาค่ะ[ เครื่องดื่ม ]

สำหรับเครื่องดื่มที่นี่มีให้เลือกเยอะทีเดียว เลยสั่งกันไปหลากหลายทั้งลิ้นจี่เชค โอวัลตินภูเขาไฟ ช็อคโกแลตเย็น...ฯลฯ ส่วนของเราลองไป 2 อย่างค่ะ

● Berry Milkshake (ราคา 150 บาท) – ได้รสมิลค์เชคหวานมันชัดเจนแทรกด้วยกลิ่นเบอร์รี่จากแยมที่เติมลงไป กับเมนูนี้เราแอบนึกอยากให้มีรสเปรี้ยวจากเบอร์รี่อีกนิดเพื่อให้รู้สึกสดชื่นนะคะ● Hot Americano (ราคา 110 บาท) – ที่นี่ใช้เมล็ดกาแฟของแบรนด์ดอยช้าง เสิร์ฟแบบมีขนม macaroon ชิ้นจิ๋วเคียงมาให้ด้วย กาแฟชงมาเข้มปานกลาง จิบแกล้มของหวานก็โอเคค่ะ***-บรรยากาศ-***
Hotel Indigo นี้เป็น Boutique Hotel ที่ยึดหลักการออกแบบตกแต่งโดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าพักและผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ท้องถิ่นหรือย่านชุมชนท้องถิ่นในบริเวณที่โรงแรมตั้งอยู่ สำหรับสาขากรุงเทพนี้เมื่อมาอยู่บนถนนวิทยุ - ถนนสายร่มรื่นปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่สวยงามที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2463 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุแห่งแรกของประเทศไทย รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ และสวนลุมพินี ..จนกลายเป็นย่านธุรกิจสำคัญในปัจจุบัน – สไตล์การตกแต่งของโรงแรมจึงมุ่งถ่ายทอดเรื่องราวของถนนวิทยุออกมาได้อย่างโดดเด่นน่าสนใจ เริ่มต้นจากทางเข้าด้านหน้าโรงแรมที่เป็นกระจกใสบานใหญ่ทั้งหมดเพื่อให้ได้ชื่นชมกับทิวทัศน์ภายนอกได้เต็มตาทั้ง 2 ฝั่งถนน รถถีบสามล้อสีสันสดใสที่จอดอยู่หน้าล็อบบี้ ของตกแต่งแนววินเทจในหลายๆมุมของโรงแรม รวมไปถึงบริเวณหน้าลิฟท์ที่มีการจัดวางวิทยุโบราณหลากหลายแบบไว้อย่างเก๋ไก๋ ดูสวยงามน่าชมไปซะทุกมุมเลยค่ะสำหรับในส่วนของห้องอาหาร Metro on Wireless นี้ก็ยึดแนวทางเดียวกับธีมหลักของโรงแรม เราจึงได้เห็นการตกแต่งที่ก้ำกึ่งระหว่างความร่วมสมัย แทรกอยู่ด้วยความเป็นไทยๆแบบดั้งเดิมได้อย่างสวยงามลงตัว ตัวห้องเน้นโทนสีสว่างดูอบอุ่น ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกแทบทั้งหมด ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย มีที่นั่งติดกระจกสำหรับคนที่ชอบทานอาหารแกล้มวิวภายนอก หรือถ้าใครอยากนั่งแบบ outdoor ไปเลย ที่ระเบียงด้านนอกก็มีเก้าอี้และโซฟาหวายกับเบาะนุ่มๆให้ได้นั่งชิลล์กันตามสะดวก แต่ถ้ามาตอนบ่ายๆร้อนๆกลัวแดดส่องก็นั่งด้านในเข้ามาจะดีกว่านะคะ ครัวที่นี่เป็น Open Kitchen เปิดให้ลูกค้าได้มองเหล่าเชฟเตรียมอาหารกันได้เพลินๆ ดูบรรยากาศแล้วจะมาทานเป็นครอบครัวก็เหมาะ จะจัดมื้อโรแมนติกก็ได้ จะพาแขกต่างชาติมาก็ยิ่งเก๋นั่นล่ะค่ะอีกหนึ่งไฮไลท์ของโรงแรมก็คือสระว่ายน้ำบนชั้น 24 ที่สามารถมองเห็นวิวระฟ้าของกรุงเทพฯได้กว้างๆ 180 องศา เห็นแล้วบอกได้เลยว่า Bangkok skyline บ้านเรานี่ก็สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆในโลกนะคะโดยรวมแล้วก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากจัดมื้อเก๋ๆบรรยากาศดีๆ และชื่นชอบอาหารที่ทานง่ายๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพิถีพิถัน หรือคนที่อยากพาแขกต่างชาติมาชิมอาหารไทย แต่เบื่อร้านแนวๆชาววังโบร่ำโบราณที่เห็นกันทั่วไป ก็น่าจะหาโอกาสมาลองที่นี่ดูซักมื้อค่ะ

ได้เห็นรีวิวของเพื่อนๆ บอกเลยว่าต่อมอยากทำงานทันที นัดแนะเพื่อนมาลองกันเลยค่ะ รีบมาก่อน 5 โมงครึ่ง กลัวคนเยอะ แต่มาถึงคิวไม่มีเลย ก็เลยได้เข้าไปทานเลยค่ะสำหรับการเดินทาง ร้านนี้จะอยู่โซนออฟฟิตของ Central world ค่ะ ใครมาบีทีเอส ลงสถานี ชิดลม และเดินเข้ามาทางฝั่ง Groove ลงมาชั้นล่าง จะมีทางออกประตูไปโซนออฟฟิต (ประตูใกล้ๆร้าน Wine Connection) พอเดินเข้ามาโซนออฟฟิต อยู่ทางขวามือค่ะร้านมีที่นั่งค่อนข้างเยอะค่ะ เพราะเป็นแนวบุฟเฟห์ ราคาต่อหัว 599++ ค่ะ สามารถทานได้ 2 ชั่วโมง พนักงานจะมาเช็คบิลก่อนเลยค่ะ และบอกว่าทานได้ถึงเวลาไหน ซึ่งราคารวมทุกอย่างแล้วจะตกคนละ 705 บาท ถ้าไม่เลือกบวกเมนูพิเศษอะไรเพิ่มเติมค่ะ

อาหารที่นี่มีอาหารจีนหลากหลายเลยค่ะ นอกจากแนวจีน ก็ยังมีซีฟู้ด ซูชิ และปลาดิบ รวมถึงขนมหวาน ไอศกรีม และเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นค่ะ

ขอไล่เรียงเป็นกลุ่มๆไปเรื่อยๆนะคะ- เป็ดปักกิ่ง เมนูเด่นที่ต้องมาทานเลยค่ะ ซึ่งจะเสริฟเป็นรอบๆ พอถึงเวลา เชพก็จะสั่นกระดิ่งค่ะ เป็นอันรู้กัน ให้เราไปหยิบได้เลย ซึ่งสามารถหยิบได้ท่านละ 2 จาน ซึ่งพอเราจะหยิบไป เชพก็จะหนีบแป้งที่นึ่งไว้ใส่ถาดที่มีเป็ด ผัก น้ำจิ้มที่ตักรอไว้อยู่แล้วค่ะ
อร่อยค่ะ แป้งออกหนาหน่อยนุ่มๆหนุบๆ เนื้อเป็ดจะมาทั้งหนังและเนื้อ หนังบางกรอบใช้ได้ น้ำจิ้มเข้มข้นดี เติมพริกสดเพิ่มลงไป เพิ่มความอร่อยได้ดีค่ะ แต่ทานเยอะๆก็แอบอิ่ม อยากจะหยิบมาแบบไม่มีแป้งจัง แต่เค้าก็เกรงจายยย >.<- โซนอาหารหมุนๆ มีฝาปิดหมุนไปตามรางเรื่อยๆ อยากทานจานไหนก็หยิบได้เลยค่ะ
#หมูกรอบ ติดมันนุ่มๆ หนังกรอบๆอร่อยๆ อยากทานแต่หนัง 55
#หมูหัน อร่อยดีค่ะ ชอบๆ หนังบางกรอบ เนื้อก็นุ่มๆ ซอสชุ่มๆอร่อย
#หมูแดง หอมๆ อร่อยดีค่ะ
#ไก่ต้ม จะออกแนวต้มเค็มนิดๆค่ะ- ติ่มซำ จะถูกตั้งซ้อนไว้ อยากทานเข่งไหน ก็เลือกเข่งที่เราอยากทาน ใส่ถาดซ้อนๆกัน และก็เอากิ๊พหมายเลขมาหนีบไว้ พนักงานจะนำไปนึ่ง และพอเสร็จจะมาเสริฟให้ที่โต๊ะค่ะ ส่วนตัว พอยังไม่นึ่ง แอบคล้ายๆกันบางอย่าง จนต้องถามว่าอันนี้อะไรๆกับพนักงาน ซึ่งพนักงานก็บริการดีค่ะ มีช่วยแนะนำด้วยค่ะ#ซาลาเปาเผือกลาวา ลายด้านนอกสวยดีค่ะ ม้วนเป็นวงกลมซ้อนกัน พอบิด้านใน ไส้สีม่วงไหลเยิ้ม รสชาติอร่อยค่ะ ไส้หวานเบาๆ หอมๆ แต่แป้งหนาไปหน่อย ไม่ได้นุ่มเบา เลยทำให้รู้สึกว่าทานเยอะๆแล้วอิ่มจัง
#ซาลาเปาไข่เค็มลาวา บิออกมาไส้ไหลเยิ้มง่ายกว่าไส้เผือก มีไหลลงมือเพื่อน ต้องอดทนนะ เพราะเราถ่าย เพื่อนเป็นคนบิ อิอิ รสชาติอร่อยค่ะ หอมๆเค็มไข่นิดๆ ส่วนแป้งออกหนาเหมือนแบบเผือกลาวาค่ะ
#ซาลาเปาทุเรียน แค่หยิบมาก็หอมแล้วค่ะ แป้งออกหนาเช่นกัน ไส้หอมทุเรียนสุดๆ เหมือนเอาเนื้อทุเรียนไปกวนสดๆ ชอบมากค่ะ ใครชอบทานทุเรียนสด แนะนำเลยจ้า#ข้าวห่อใบบัว ออกเฉยๆ ข้าวนิ่มไปหน่อย รสชาติธรรมดาค่ะ
#ขนมจีบ อร่อยดี เนื้อเด้งๆไม่นุ่มเละไป
#ฮะเก๋า อร่อยๆ แนะนำให้สั่งค่ะ แป้งบาง ไส้เด้งๆอร่อยค่ะ
#ฟองเต้าหู้นึ่ง ซอสเข้มข้น นุ่มๆอร่อยค่ะ
#กุ้งนึ่ง นุ่มๆเด้งๆดีค่ะ อร่อยดีค่ะ
โซนนี้ เราได้สั่งกระเพาะหมูนึ่ง ไส้หมูนึ่งด้วยค่ะ แต่คาดว่าอาจจะเป็นที่กระเพาะเราคงใหญ่เกินไป ถอดหัวไม่ได้ พนักงานเลยหาเจ้าของสั่งไม่เจอ >.< อดทานเลย มานึกได้ตอนทานขนมอยู่ แต่จะสั่งใหม่ ก็ไม่รู้จะเอาพื้นที่ตรงไหนลงแล้วล่ะ -_-!- ของทอด จะโชว์อาหารที่ทำเสร็จให้ดูพร้อมกับถ้วยเปล่าในแต่ละเมนู ถ้าเราสนใจสั่งอันไหน ก็หย่อนกิ๊พหมายเลขลงในถ้วยเปล่าเลยค่ะ พนักงานก็จะหยิบหมายเลขไปทำให้ตามที่เราเลือกและมาเสริฟที่โต๊ะให้ค่ะ โซนนี้แนะนำหยิบกิ๊พมาเยอะๆนะคะ หย่อนสนุกเลยค่ะ เหมือนเล่นเกมเลย อิอิ
#เผือกทอด อร่อยๆค่ะ แนะนำอีกเมนูสำหรับคนชอบทานเผือก ทอดมากรอบฟู ด้านในนุ่มๆมีรสชาติโดนใจ อร่อยๆ
#ฟองเต้าหู้ทอด ใช้ได้ค่ะ แต่ไม่ได้เด่นอะไร
#เกี๊ยวกุ้งทอด อมน้ำมันไปหน่อย แต่รสชาติอร่อยค่ะ กุ้งเนื้อเด้งๆ แป้งเกี๊ยวก็กรอบดี
#กุ้ยช่ายทอด ไส้นุ่มๆ แป้งก็บางนุ่ม ทานกับน้ำจิ้ม โอเคค่ะ
#ซาลาเปาทอดหมูแดง ทอดมากรอบใช้ได้ค่ะ หมูแดงก็นุ่มๆ ออกหวานนำเค็มตาม ถือว่าโอเคค่ะ
#ทาร์ตไข่ สั่งเพราะความน่ารักน่าทานค่ะ 55 ส่วนรสชาติเฉยๆค่ะ- โซนนึ่งๆอุ่นๆ เป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดจะมีฝาปิด และนึ่งอุ่นอยู่บนน้ำร้อน สนใจแบบไหนก็เปืดฝาหยิบจานนั้นมา ระวังร้อนนะคะ เพราะเหมือนหยิบออกจากซึ้งนึ่งเลยอ่า แล้วพนักงานจะเทซอสให้ค่ะ#ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง แป้งนุ่มๆดี แต่หมูแดงออกหวานไปหน่อย พอทานรวมๆเลยเลี่ยนนิดนึง เอ๊ะ หรือเราเริ่มอิ่ม >.< แต่รสชาติก็ใช้ได้ค่ะ
#ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ชอบจานนี้มากกว่า เพราะกุ้งเด้งๆดี ทานแล้วได้เต็มปากเต็มคำมากกว่า แป้งก็นุ่มๆเหมือนกันค่ะ- โซนผัดๆ จะมีของดิบเป็น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ กุ้ง และปลาหมึก ซึ่งมี 2 เมนู คือ ผัดซอสเสฉวน หรือ ผัดเต้าซี่ค่ะ สามารถสั่งกับพนักงานได้เลยค่ะ พอทำเสร็จ พนักงานจะมาเสริฟที่โต๊ะให้ค่ะ
#หมูผัดซอสเสฉวน หมูนุ่มดีค่ะ รสจะออกเผ็ดๆพริกหน่อย อร่อยดีค่ะ
#กุ้งผัดเต้าซี่ จานนี้จะออกเค็มๆมากกว่า และเผ็ดน้อยกว่า ก็อร่อยอีกแบบค่ะ- อาหารแบบทำสำเร็จ อยากทานอะไร ก็อ่านป้าย และเปิดฝาดูหน้าตาก่อนตักใส่จานเลยค่ะ เราก็วนไปรอบๆ และตักมาอย่างละนิดชิมๆค่ะ เพราะถ้ากินจริงจังคงไม่สามารถแล้วตอนนี้ -_-!#หมี่ผัดสิงคโปร์ เป็นแนวหมี่ผัดใส่กุ้ง พริกหวาน รสชาติอร่อยดีค่ะ หอมๆพริก เผ็ดนิดๆดีค่ะ#ขาหมูน้ำแดง ชอบมากค่ะ เป็นแนวคากิ หนังหนึบๆมีเอ็นกรุบๆ อร่อยๆค่ะ ซอสก็เข้มข้นเค็มอมหวาน#ขาเป็ดเห็ดหอมน้ำแดง มาแบบเลาะทานง่ายเลยค่ะ เพลินเลย ซอสออกเค็มหวานเช่นกัน#ปลาน้ำแดง รสชาติออกเค็มไปหน่อยค่ะ เมนูปลา แต่ที่หยิบมาในจาน หมูกรอบชัดๆค่ะ 55 ก็แบบเห็นหนังหมูกรอบแล้วลืมไปเลยว่าเมนูนี้ใส่กระเพาะปลา #โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า ใครชอบทานโจ๊กแนวฮ่องกง แนะนำเลยค่ะ อร่อยๆ หอมๆ แค่โรยผัก พริกไทยนิด ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม ทานได้เลยค่ะ ชอบๆค่ะ#ซุปเสฉวน รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่ก็ทั่วไปค่ะ- ซีฟู้ด จะวางอยู่บนน้ำแข็ง เป็นแบบนึ่งเรียบร้อย ซึ่งจะมีเครื่องเคียงและน้ำจิ้มให้ทานคู่กันค่ะ
#กุ้งนึ่ง รสชาติสดใช้ได้ค่ะ แต่กุ้งตัวเล็กน่ารักจัง โตกว่านี้อีกนิดก็คงจะดีนะ
#หอยแมลงภู่นึ่ง สดดี ตัวใหญ่ รสชาติโอเคเลยค่ะ เราทานคู่หอมเจียว กระเทียมสด กับน้ำจิ้มซีฟู้ด มองๆไป ถ้าเป็นหอยนางรมสดคงดีเนอะ 55- ซูชิและปลาดิบ พนักงานจะแร่วางไว้แยกแต่ละชนิดให้ค่ะ ซึ่งมีปลาดิบต่างๆ และปูอัด ทานคู่กับสาหร่าย และน้ำจิ้มค่ะ#ปลาดิบ รสชาติกลางๆ เราหยิบมาทั้ง 3 ชนิด มีแต่แซลมอนที่พอทานได้ อีก 2 ชนิดออกคาวไปหน่อยค่ะ
#ซูชิ เราเลือกแบบแซลมอนรมควันมา รสชาติใช้ได้ หอมนิดๆดี ส่วนข้าวจะออกนุ่มๆไปนิดค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่
#ปูอัด รสชาติใช้ได้ค่ะ เหมือนทั่วไปค่ะ
#ก้ามปูอลาสก้า นุ่มๆ อร่อยๆดี ชอบค่ะ มีเบิ้ล- ของหวาน ไอศกรีม และผลไม้ จะมีทั้งอยู่ในตู้แช่เย็น และวางข้างนอกค่ะ ส่วนไอศกรีม จะมีให้ตักเลือกใส่ถ้วยเอง เป็นยี่ห้อ ete ค่ะ#รากบัวยัดไส้ข้าวเหนียว เมนูนี้เพื่อนหยิบมาให้ค่ะ เลยไม่รู้ว่าอยู่โซนไหน ซึ่งอร่อยดีค่ะ เนื้อจะนุ่มๆหนุบๆ อร่อยๆค่ะ แนะนำไปตามหาทานกันนะคะ
#เต้าหู้ชีสเค้ก เบิ้ลๆเลยค่ะเบิ้ล ชีสเค้กนุ่มๆละมุน อร่อยๆ ชิ้นเล็กนิดเดียว ชิ้นเดียวไม่พอค่ะ 55#เตี๋ยวหลอดมะม่วง ปลื้มๆอีกเมนู ทานไปหลายๆชิ้นได้เลยค่ะ มะม่วงหวานหอม ด้านนอกนุ่มๆ พอเข้าปากจะลื่นลงคอย่างไว นุ่มๆละมุนลิ้น หอมๆด้วย ปลื้มๆค่ะ
#ช็อคโกแลตมูส จะนุ่มๆ ออกหวานๆช็อคโกแลตค่ะ
#เรดเบอรี่มูส จะมีรสเปรี้ยวมานิดนึง เนื้อนุ่มๆเช่นกัน
#ครีมบูเร่ ด้านนอกหวานๆเกล็ดน้ำตาล ด้านในนุ่มๆมีกลิ่นหอมๆแนวใส่ขิงเบาๆด้วยค่ะ
#บราวนี่ เนื้อนุ่มๆหนุบๆใช้ได้ค่ะ#ไอศกรีม วันที่เราทานมี 4 รสค่ะ มีรสช็อคโกแลต จะออกแนวดาร์คชอคขมเบาๆไม่หวานค่ะ รสบลูเบอรี่ ออกหอมๆบลูเบอรี่รสเปรี้ยวอมหวาน รสราสเบอรี่ เปรี้ยวสดชื่นเหมาะกับคนไม่ชอบทานแนวนมๆค่ะ และรสมะพร้าว เป็นแนวน้ำแข็งมีเนื้อมะพร้าวผสมด้วย ไม่มีนมผสม และมีเหมือนน้ำมะพร้าวหอมๆด้วยค่ะ ทำให้สดชื่นดีไม่หวานไปค่ะ#ผลไม้ มีสัปปะรด แคนตาลูป และแตงโมค่ะ- เครื่องดื่ม มีทั้งแบบร้อนและเย็น ถ้าแบบร้อนจะใส่ในกาให้เราเทเอง แบบเย็น จะมีให้ตักน้ำแข็ง และกดเลือกใส่แก้วเองค่ะ ซึ่งแก้วจะให้ที่โต๊ะคนละแก้วค่ะ
#ชาเขียวมะลิร้อน โอเคเลยค่ะ ไม่เจือจางไป หอมมะลิเบาๆ ทานแล้วคล่องคอ แก้เลี่ยนดี มโนได้ด้วยว่า ชาเขียวน่าจะช่วยละลายไขมันที่ทานไปบ้าง (ใช่มั้ย )
#ชามะนาว นี่ห้อ Nestea ค่ะ ผสมมาเข้มข้นใช้ได้ หวานอมเปรี้ยวดีค่ะ
#น้ำฝรั่ง ฝรั่งชัดดีค่ะ ทานแล้วกลิ่นฝรั่งขึ้นเลย
#น้ำส้ม เปรี้ยวอมหวาน ใช้ได้ค่ะ
#น้ำอัดลม เราได้ลองทานสไปร์ท ออกแนวโซดาแรงกว่าปกติไปนิดค่ะพนักงานที่นี่บริการดี เก็บจานเปล่าเร็ว และก็คอยให้คำแนะนำที่ดีค่ะ

ใครอยากหาร้านที่ทานได้ไม่อั้น นัดเพื่อนได้เป็นกลุ่มๆ ชอบทานหลากสไตล์ ต้องมาจัดด่วนๆค่ะ

รีวิวนี้ จะพามารู้จักกับโจ๊กเปิดหม้อ สาขาราม 2-บางนา

ที่เป็นสาขาใหม่เพิ่งทำการเปิดอย่างเป็นทางการไปไม่นานนี้

สาขาราม 2-บางนา นี้ ได้ลองสอบถาม

ถึงเมนูเด็ด ก็เลยได้เมนูเจ๋ง ๆ มาครับ คือ

โจ๊กต้มยำเซ็ตเรือ+เซ็ตแซลมอน+กุ้งแม่น้ำ

+หมูเด้ง+หอยแมลงภู่ ใส่แครอท ฟักทอง

บร็อคโคลี่และปาท่องโก๋ มันสนุกตรงที่

เราเลือกรสชาติโจ๊กหรือมาม่าได้เอง พร้อมกับ

เครื่องต่าง ๆ ที่แบ่งเป็นเซ็ต ๆ ไว้ เดี๋ยวเรามาดูกันครับ

ว่าแต่ละอย่างหน้าตาจะเป็นยังไง แต่ก่อนอื่นเรามาดูบรรยากาศ

ร้านโจ๊กเปิดหม้อ สาขาราม 2-บางนากันก่อนครับร้านโจ๊กเปิดหม้อ สาขาราม 2-บางนา

ตั้งอยู่ในโครงการ เดอะ ไพรมารี่ คอนเนอร์ ซ.จรรยาวรรธ

ก็คือ ถนนเข้าสู่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 วิทยาเขตบางนา

หากเข้ามาจากถนนบางนา-ตราด จะง่ายที่สุดครับ

เพราะตรงเข้ามาจนเจอทางหลักบังคับเลี้ยวขวา

โครงการที่เป็นที่ตั้งของร้าน ก็จะอยู่ตรงหัวมุมที่เลี้ยวขวาเลยครับ

ร้านโจ๊กเปิดหม้อ สาขาราม 2-บางนา จะอยู่ใกล้กับบริเวณ

ทางออกของโครงการครับบรรยากาศร้านแบบโอเพ่นแอร์หลังคาสูง โชว์วัตถุดิบ

และครัวการปรุงโจ๊ก พร้อมเตาถ่านไฟแรงให้เห็นกันถึงใจ

สามารถเดินไปดูได้เลยครับ ซึ่งวัตถุดิบที่เป็นเครื่องใส่หม้อนั้น

ทางร้านก็จะทำสุกไว้แล้ว เพื่อเตรียมอุ่นในหม้อดินครับที่โต๊ะจะมีใบรายการ ให้เราได้เลือกว่าจะกินอะไร

จะกินโจ๊กรสชาติไหน หรือจะกินมาม่า จะเลือกเป็นเซ็ต

ที่ทางร้านจัดไว้ให้เป็นเมนูแนะนำ หรืออยากจะเพิ่มเครื่อง

ตามใจฉันก็แล้วแต่เลยครับ มีราคาแจ้งชัดเจน

น่ารักตรงที่ถามชื่อกันด้วยครับ 555เครื่องปรุงและผักโรยหน้าอย่างขิงและต้นหอมซอย

มีให้พร้อม เติมเองได้ตามชอบเดินมาชมการปรุงโจ๊ก/มาม่า ครับ

มีหม้อโจ๊กแยกรสชาติไว้ชัดเจน การอุ่นก็ตักทุกอย่าง

ใส่หม้อดิน ขนาดหม้อแล้วแต่ออปชั่นการสั่งครับ

แล้วก็มาอุ่นร้อนบนเตาถ่านไฟแรงกันแบบนี้ในส่วนของเครื่องดื่ม จะมีบริการน้ำดื่ม น้ำผลไม้และน้ำอัดลม

ผมชิมน้ำส้ม ขวดน่ารักดี รสชาติโอเคครับเมนูแรก เอาใจเด็กน้อยกันครับ กับโจ๊กรสธรรมดา

ใส่หมูสับ บะช่อ และลูกชิ้นปลาการ์ตูน มาแบบเดือดปุด ๆยืนยันความอร่อยด้วยสาวน้อยนางแบบจำเป็นเมนูถัดมา มาม่าต้มยำเซ็ตประมง แต่เปลี่ยนจากกุ้งธรรมดา

เป็นกุ้งแม่น้ำยักษ์และเพิ่มไข่ไก่ครับ ซึ่งเซ็ตประมงปกติแล้ว

จะมีกุ้ง ปลาหมึกกรอบ ปลาหมึกและหอยแมลงภู่ครับเครื่องมาเต็ม เส้นมาม่ากำลังอร่อย น้ำต้มยำจัดจ้าน

คล้ายลูกผสมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายยี่ห้อรวมกัน

ส่วนไข่ไก่นั้น สุกกำลังโปรดเลยครับแบบนี้โชว์ตัวกุุ้งแม่น้ำ ไซซ์ขดแล้วเท่ากับปากกาลูกลื่นเลยครับ

เนื้อก็สด มันหัวกุ้งก็เต็ม กินพร้อมกันกับน้ำต้มยำ ซี๊ดซ๊าดอย่าให้พูดเลยหน้าตาโจ๊ก 3 รสชาติครับ ขอให้ทางร้านตักใส่ถ้วยเล็กมา

เพื่อจะชิมและนำมารีวิวให้ทราบ

เริ่มจากทางซ้ายสุด เป็นเนื้อโจ๊กรสธรรมดา ก็หอมดีเลย

ตรงกลางเป็นโจ๊กต้มยำ รสจะไม่จัดแบบน้ำต้มยำ แต่มีกลิ่นที่ใช่

ส่วนรสนั้นจะบาง ๆ เพื่อให้ทานได้ไม่จัดจ้านเกินความเป็นโจ๊กไป

ส่วนทางขวาสุด เป็นเนื้อโจ๊กรสซุปเปอร์ ใช่แล้วครับ กลิ่นและรส

ไปทางต้มซุปเปอร์ขาไก่ที่เรารู้จักกันนั่นเอง จัดเครื่องโรยหน้าใส่ถ้วยมาถ่ายรูปสวย ๆ สักหน่อยเมนูถัดมาครับ ไฮไลท์เลย ขนาดมิกกี้ยังถึงกับขมวดคิ้วเพราะความเบิ้มใช่แล้วครับ นี่คือเมนูที่เกริ่นไว้ที่ตอนต้นรีวิวนั่นเองครับ

โจ๊กต้มยำเซ็ตเรือ+เซ็ตแซลมอน+กุ้งแม่น้ำ

+หมูเด้ง+หอยแมลงภู่ ใส่แครอท ฟักทอง

บร็อคโคลี่และปาท่องโก๋ อะไรจะบวกนู่นนี่นั่นเยอะไปหมด 555

ยังเสียดายไม่หาย ว่าจะสั่งใส่ไข่ไก่อีกสัก 2-3 ฟอง ดันลืมซะนี่ ปลาแซลมอนชิ้นเป้ง แว่นใหญ่คับเรือกุ้งแม่น้ำไซซ์ใหญ่ ไม่แพ้ในมาม่าต้มยำหม้อก่อนหน้าหอยแมลงภู่และหมูสับตาม ๆ กันมาเลยลองวัดขนาดกับหลาย ๆ สิ่งอย่างครับ อืมมม

เหมาะกับการกินกัน 2-3 คนเลยล่ะครับ อย่าได้ฝืนกินคนเดียวเชียว

เพราะจะอิ่มเกินไปครับ เป็นเมนูที่ประทับ และสนุกกับการใส่นู่นนี่นั่น

ตามใจฉันมาก ๆ ครับ กับโจ๊กเปิดหม้อไม่วายสั่งไข่เจียวมาเพิ่ม แต่เสียดายที่เป็นไข่เจียวที่ทอดไว้แล้ว

ไม่ได้ทอดใหม่ ๆ ไม่งั้นจะอร่อยมาก ๆ ครับหมูตุ๋น เป็นอีกอย่างที่อยากแนะนำ ตุ๋นด้วยสูตรของสาขานี้เอง

ไม่เหมือนสาขาอื่น ใช้ส่วนหมูขั้วตับ ตุ๋นยาจีนหอม ๆ รสชาติดี

สั่งมากินเล่นก็อร่อย หรือจะมาใส่โจ๊กด้วย มาม่าด้วยก็เหมาะสมกิน ๆ อยู่ เงยหน้ามาอีกที คนเต็มร้านเลยครับ ตั้งแต่หัวค่ำ

แถมมียืนรอคิวกันอีกด้วยนะ (มีคนแอบเล่นกล้องด้วย)

ซึ่งถ้ามาช้า เครื่องบางอย่างก็อาจจะหมดก่อนและอดกินได้นะครับ

ร้านเปิด 16:00-00:00 น. ถ้ามาเร็วได้ก็รีบมานะครับ

เป็นยังไงบ้างครับ กับรีวิวโจ๊กเปิดหม้ออันโด่งดัง

สำหรับสาขาราม 2-บางนา แห่งนี้ ถือว่าตอบโจทย์

คนชอบกินโจ๊กในรสชาติใหม่ ๆ ในหม้อดินอุ่นร้อนเดือด ๆ

พร้อมกับเครื่องโจ๊กที่หลากหลาย เลือกใส่ได้ตามใจชอบ

เป็นตัวเลือกการกินโจ๊กแนวใหม่ ที่ไม่จำเจเลยในความคิดผม

สนใจติดต่อสอบถามสำรองโต๊ะได้ที่

โทร : 081-550-3352

https://www.facebook.com/jokeperdmor.ram2bangna/?fref=ts

ขอให้มีความสุขกับการกินโจ๊ก/มาม่าเปิดหม้อกันทุกคนนะครับ

รีวิวนี้ กลับมาเยือนห้องอาหาร The Square

โรงแรม Novotel Bangkok Ploenchit Sukhumvit

กันอีกครั้ง กับมื้อสายวันอาทิตย์หรือ Sunday Brunch

แบบสุดแสนจะคุ้มค่าในราคาที่จ่ายไป มาอัพเดทกัน

กับบรรดาอาหารนานาชนิด นานาชาติ ซึ่งยังคง

จัดเต็มไลน์กับธีม Lazy Sunday Brunch

ในราคาเพียง 1,499++ บาท / คน ซึ่งราคานี้แน่นอนครับ

ว่ารวมน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ และที่สำคัญ

คือ Free Flow ไวน์แดง ไวน์ขาว และเบียร์สด เช่นเดิม

หลายคนคงอยากทราบโปรโมชั่น ตอนนี้มีส่วนลด 30%

กับบัตรเครดิต SCB, KTC, KBANK และ CitiBank

เหลือราคาเพียง 1,284 บาท net / คนเท่านั้นครับ

กินได้ยาว ๆ ตั้งแต่เวลา 11:30-14:30 น. กันเลย หลาย ๆ คนเห็นราคาแล้วก็คงจะนึกถึงช่วงที่มีโปรโมชั่น

ไป 2 จ่าย 1 กัน ซึ่งจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้ แต่ไม่ต้องเสียใจครับ

ราคาที่เพิ่มขึ้นมานี้อีกนิดหน่อยนั้น คุณจะได้คุณภาพของอาหาร

และจำนวนชนิดอาหารที่ดีขึ้นและมากขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กไปกินด้วยนั้น ทางห้องอาหาร

ก็จัดมุมสำหรับเด็ก Kids Room ไว้ทำกิจกรรม

ไม่ว่าจะเป็นการดูการ์ตูน การแต่งหน้าเค้กตามสไตล์ของตัวเอง

การทำสายไหม ระบายสี โดยมีเจ้าหน้าที่แต่งตัวเป็นมาสคอร์ต

คอยบริการอีกด้วย ทำให้พ่อ ๆ แม่ ๆ ที่พาลููก ๆ ไปกินข้าวนั้น

ก็กินได้อย่างสะดวกและสบายกันอีกด้วยครับในส่วนของอาหารที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่าเพียบนั้น

ลองมาดูกันเลยครับ เริ่มจาก Seafood on Ice ที่จัดลงเต็มไลน์เรือ

ทั้งปูม้า, Brown Crab, Alaska King Crab,

หอยนางรมฝรั่งเศส Fin de Claire, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์

และกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ ๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ จะกินแบบเย็น ๆ

on Ice ที่ทางห้องอาหารจัดมา หรือจะนำไปอุ่นกับเตาถ่าน

ย่าง BBQ ก็ย่อมได้ (เป็นทางเลือก) ออกเป็นแนวทะเลเผากันเลยอาหารญี่ปุ่นก็จัดมาได้สวยงามไม่น้อยหน้า Seafood

เพราะมาทั้งซูชิ โรล หน้าต่าง ๆ และซาซิมิ

ซึ่งทางห้องอาหารได้ไปปรับปรุงเรื่องปลาแซลมอนซาซิมิ

มาให้ได้คุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้นมาแล้วอีกด้วยครับอาหารจีน เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ขนมจีบ ซาลาเปา

สเตชั่นนี้ คนก็วนเวียนกันเยอะพอควร สังเกตว่าเป็ดหมดเร็วมาก มุมพาสต้า มีให้เลือกอีกหลายซอส ไม่ว่าจะเป็นคาโบนาร่า

ผัดพริกกระเทียม เส้นก็มีให้เลือกหลายเส้นครับพิซซ่าก็ทำกันสด ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าฮาวายเอี้ยน

และหน้ามาการิตต้าชีสตู้ม ๆ สลัดก็หลากหลาย คลุกเคล้าได้เองเลยครับบรรดาโคลด์คัทแฮมสดชนิดต่าง ๆ ทั้งพาร์ม่าแฮม โชริโซ่ ฯ

ชีส 5 ชนิด appetizers ต่าง ๆ แนวทาปาส ก็มีอีกเพียบอาหารไลน์สำเร็จ น่ากินและดูดีทุกอย่างเลย

ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารอินเดียและอาหารนานาชาติ

ที่เฟ้นเอาวัตถุดิบดี ๆ มาปรุงให้ได้อิ่มหนำกันจุใจ

ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ กุ้งแม่น้ำ ปลา ฯ เป็นต้นมุม BBQ ก็มีให้เลือกเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่และไส้กรอก

จะเลือกให้ทำใหม่ หรือจะเลือกหยิบจากในไลน์ก็แล้วแต่สะดวก แต่ที่พลาดไม่ได้คือ ฟัวกราส์ สเตชั่น

เป็นแพนไฟร์ฟัวกราส์ ราดด้วยซอสผลไม้และบัลซามิคซอส

เสิร์ฟบนขนมปังและผักร็อคเก็ตสลัด งานฟัวกราส์ไม่หนา

ไม่บางเกินไป ทอดได้กำลังดีและ Carving Station ที่จัดมาให้เลือกกินกันทั้งเนื้อวัว/แกะ

(สลับกันไปแล้วแต่สัปดาห์) อบแบบมีเดียมแรร์

และแฮมอบน้ำผึ้งติดมันน่ากินมาก ๆ อีกด้วยครับ

รวมถึงปลาแซลมอนอบชิ้นใหญ ๆ ที่น่ากินไม่แพ้อย่างอื่นเลยด้วยจบไลน์ของคาวกันไปแล้ว มาดูไลน์ของหวานกันบ้าง

ซึ่งในมื้อนี้นั้น ของหวานโดนจัดมาให้อยู่หน้าห้องอาหารเลยครับ

มีให้เลือกทั้ง ไอศกรีม เยลลี่ เค้กต่าง ๆ น้ำแข็งใส

ขนมไทย และผลไม้ต่าง ๆ ตามฤดูกาลแวะมาดูเครื่องดื่มกันบ้าง สามารถหยิบได้เองที่เคาท์เตอร์เลย

สำหรับไวน์แดง ไวน์ขาว และเบียร์สด นอกจากนี้ยังมีพั้นซ์

น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ก็เลือกได้ตามสบายเลยครับ

และหากไวน์แดง ไวน์ขาว เบียร์สดหมดแก้ว ก็ยกมือเรียกพนักงาน

ให้มาเติมได้ถึงโต๊ะครับสำหรับกาแฟ มีเครื่องทำกาแฟไว้ให้เราได้กดเอง

ส่วนชาก็สั่งพนักงานได้เลยทั้งหมดทั้งมวลที่เห็นนี้ นี่แหละครับ Lazy Sunday Brunch

จากห้องอาหาร The Square โรงแรม Novotel Bangkok

Ploenchit Sukhumvit ก็คงจะเห็นถึงความคุ้มค่ากัน

ไม่มากก็น้อย แต่รับรองได้ว่าต้องมีไปซ้ำอีกแน่ ๆ สำหรับผมถ้าดูผมรีวิวมาหลายรีวิวแล้ว คงจะไม่ต้องบอกว่า

แต่ละแก้วนี่ของใครบ้างนะครับ เพราะเป็นของผมคนเดียว

(ความชอบส่วนตัว ไม่แนะนำให้ทำตาม)เอาหอยนางรมฝรั่งเศสมากินแบบไทย น้ำจิ้มซีฟู๊ด

หอมเจียว มะนาว ... โอ้ย ท้องร้อง

หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ก็ รสหวาน เคี้ยวเพลิน ตัวใหญ่แซลมอนซาซิมิ ดีกว่าเดิมจริงจังครับอาหารไลน์ปรุงสำเร็จ ขอบสตูว์แกะมากเลย

นุ่มละมุน รองลงมาก็เนื้ออบและหมูอบ

แต่ที่อยากแนะนำให้กินและไม่ควรพลาด

ปลาแซลมอนอบซอสไวน์ขาวครับ เด็ดจริง ๆฟัวกราส์ สุกกำลังดี ซอสก็เข้ากันได้ดี

เป็นซอสเบอร์รี่สีแดงตัดกันกับสีตับห่านได้สวยงามอ้ามมมมมมมมมมมมมมมม ชุ่มฉ่ำญี่ปุ่นอีกสักรอบซีฟู๊ดออนไอซ์ สดดีเยี่ยม

สามารถขออุปกรณ์การหนีบปูได้นะครับรูปหล่อกล้ามใหญ่กินหลาย ๆ อย่างหากเริ่มเลี่ยน

แนะนำพาสต้าจานนี้ครบ ผัดพริกกระเทียม

กินอย่างอื่นต่อได้อีกทันทีหมูแดง หมูกรอบ เป็ดย่าง ขนมจีบจัดมาเลยติดใจขาแกะอบ เนื้อชมพู ๆ แบบนี้ละงามนักฟัวกราส์อีกสักหน่อย (ความชอบส่วนตัวไม่แนะนำให้เลียนแบบ)ขนมหมดไวกว่าที่คาดคิด เลยตักมาชิมได้นิดหน่อย

ชอบวอฟเฟิลที่สามารถกินกับไอศกรีม

และแต่งจานเองได้ตามความสามารถ เอ้ยย ความต้องการครับปิดท้ายด้วยกาแฟสดจบมื้อครับ

ทั้งหมดนี้เป็นบางส่วนที่ผมได้อัพเดทความอร่อยให้ได้ดูกันครับ

สนใจสำรองโต๊ะ และสอบถามรายละเอียด

รวมถึงโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2305-6000 ต่อ 1632

www.novotelbangkokploenchit.com

www.facebook.com/novotelbangkokploenchit

ขอให้มีความสุขกับมื้ออาหารวันหยุดแสนสบายในวันอาทิตย์ครับ

Ghignoni – ร้านไอศครีมแบรนด์ดังที่ถือกำเนิดจากทางตอนบนของ Tiber Valley ในแคว้น Tuscany ประเทศอิตาลีนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1981 โดยคุณ Palmiro Bruschi ผู้ซึ่งภายหลังในปี 1994 ได้เป็น No.1 Italian Champion Ice Cream Maker เลยทีเดียวค่ะ ชื่อเสียงดีงามขนาดนี้ก็เลยต้องมีการขยายสาขาไปทั่วโลก รวมมาถึงในกรุงเทพฯเรานี้ด้วย ล่าสุดเห็นร้านนี้มาเปิดสาขาที่อาคารธนิยะชั้น G ฝั่ง BTS wing แปะป้ายให้เห็นเด่นชัดว่าทั้งไอศครีมและกาแฟที่ขายในร้านนั้น import มาจากอิตาลี 100% ซะด้วย เลยต้องขอลองซะหน่อยค่ะ***-เมนูที่ได้ลอง-***

จากการสำรวจดูในร้าน นอกจากไอศครีมแล้วที่นี่ยังมีขนมและเบเกอรี่ต่างๆให้บริการด้วย ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งชา กาแฟ โกโก้ เราเลยขอจัดมื้อเบาๆแก้ร้อนไปตามนี้ค่ะ

[Gelato]

มีทั้งแบบใส่โคนและแบบถ้วยให้เลือก โดยถ้าสั่งเป็นถ้วยจะมีไซส์ S / L ให้เลือก ส่วนถ้าซื้อเป็น Takeaway ก็จะทำเป็น 3 ไซส์ คือ S / M / L มีป้ายราคาอธิบายไว้ชัดเจนตามภาพที่ลงไว้ด้านล่างนะคะ ถ้าไม่แน่ใจว่าชอบรสไหน พนักงานก็ให้ชิมก่อนสั่งได้ค่ะ เราเลยได้ลองไปหลายรสอยู่ ตามนี้เลยค่ะ● Pistachio – รสนี้พนักงานบอกว่าเป็น Best seller ที่ภูมิใจนำเสนอ ชิมดูแล้วเนื้อไอศครีมจะออกแนวนุ่มๆ ไม่แน่นมาก (ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศบ้านเราร้อนด้วยรึเปล่านะคะ) ได้กลิ่นหอมและความมันของ Pistachio แบบชัดเจนมาเต็ม มีเม็ด Pistachio บดกรุบๆแทรกอยู่ในเนื้อไอศครีมด้วย อร่อยค่ะ

● Blueberry Cheesecake – เป็นอีกตัวที่รสชาติชัดเจน เหมือนชีสเค้กจริงๆซะด้วย แถมใส่เนื้อ blueberry เยอะพอควร ชอบเลย

● Cioccolato – หรือก็คือรสช็อคโกแลตนั่นเอง ขอบอกว่ารสชาติเข้มข้นสุดๆ ได้รสช็อคโกแลตแบบมาเต็มมาก ขมนิดๆ ไม่ค่อยหวาน แบบที่ชอบเด๊ะค่ะ

● Mango – พนักงานบอกว่ารสนี้ก็ขายดี ชิมดูแล้วกลิ่นรสมะม่วงหอมได้ใจจริงจัง เปรี้ยวอมหวานสดชื่นเหมาะกับอากาศร้อนๆ แบบนี้ ของวันนี้เราจึงเลือกสั่งตัวนี้ไปค่ะ

● Yoghurt – รสนี้จัดว่าใช้ได้ หอมนมและได้ความเปรี้ยวแบบโยเกิร์ตที่สมดุลกันดี เป็นอีกรสที่เลือกสั่งค่ะครั้งนี้เราสั่งเป็นถ้วยไซส์ S (ราคา 89 บาท) ซึ่งเลือกไอศครีมได้ 2 รสค่ะ ถ้าใครเลือกไอศครีมรส premium ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 109 บาทนะคะ โดยรวมกับเนื้อไอศครีมเราว่าค่อนข้างเนื้อเบาและละลายเร็วไปหน่อย คิดว่าอาจเป็นเพราะใช้ครีมและนมในสัดส่วนที่จัดเต็ม แต่เราชอบให้ไอศครีมเนื้อแน่นและมีความ chewy กว่านี้อีกนิดน่ะค่ะ ส่วนรสชาตินั้นดีงามแทบทุกรสที่ได้ลอง คือเน้นรสชาติแบบชัดเจนมาเต็ม ถั่วเป็นถั่ว มะม่วงเป็นมะม่วง ถูกใจจริงๆ แต่สำหรับครั้งนี้ที่มาลองมีพลาดอยู่อย่างคือเจ้าโคนอันจิ๋วที่เสียบประดับไอศครีมมาด้านบนนั้นมันไม่กรอบค่ะ นิ่มยวบและค่อนข้างเหนียวเลย ..กับไอศครีมแบรนด์ระดับนี้เราค่อนข้างคาดหวังว่าโคน (แม้จะเป็นแค่โคนประดับก็เถอะ) ควรจะใหม่กิ๊กกรอบกรุบหอมเนยนะคะ

[Drink]

● Hot Americano (ราคา 65 บาท) – กาแฟไม่เข้มมาก กลิ่นรสโอเคแต่ไม่ถึงกับโดดเด่น จัดว่าพอใช้ได้ค่ะ แต่คิดว่าถ้วยเล็กไปหน่อยนะโดยรวมก็จัดเป็นร้านเล็กๆที่ทำเลสะดวกใกล้รถไฟฟ้า (BTS ศาลาแดง) มีที่นั่งให้พอสมควรกำลังสบาย ใครอยากไปลองไอศครีม Italian Gelato ที่นำเข้าจากอิตาลีแท้ๆดูบ้างก็แวะไปลองๆได้ค่ะ

ร้านนี้มีแต่เพื่อนๆแนะนำให้มาลอง พอมีโอกาสก็เลยไม่รอช้า หาเวลาเดินทางมาร้านนี้ทันทีค่ะสำหรับการเดินทาง ใครมาบีทีเอส ลงสถานีชิดลม เดินมาที่ซอยหลังสวน ซึ่งคือซอยข้างๆห้างเมอคิวรี่ชิดลมค่ะ เดินตรงมาเรื่อยๆ ร้านนี้จะอยู่ที่ตึก Portico ก็กดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 3 ได้เลยค่ะพอเข้ามาในร้าน การตกแต่งจะคล้ายๆบ้านแนวญี่ปุ่นสมัยโบราณ มีโซนทั้งแบบนั่งเดียว มาเป็นกลุ่ม หรือห้องส่วนตัวค่ะ หรือจะเน้นจิบเครื่องดื่ม ก็มีหลากหลายขวดให้เลือกสรรเลยค่ะ ส่วนเราสนใจจะไปทานแนวคอร์สค่ะ พอแจ้งกับพนักงาน ก็เลยเชิญให้เราไปนั่งหน้าเชพทันทีค่ะ

- เซตที่เราสั่ง เรียกว่า Chef's Choice ราคา 3000 บาท จะเป็นการเสริฟซูชิ 9 คำตามแต่เชพจะทำให้เราทานค่ะระหว่างรอเชพเตรียมการ ก็เลยนั่งเม้า ถามถึงส่วนผสมที่อยู่ตรงหน้า มีทั้งส้มยูซุ มะนาว เลมอน และก็เห็นก้อนดำๆ ซึ่งคือเห็ดคั่ว แต่ว่าวันนี้กลับไม่เห็นใส่ในเมนูอะไร เลยอดลองค่ะ >.<ซูชิ 9 คำ ตามเชพเลือกให้เราทาน จะเสริฟให้ทีละคำไปเรื่อยๆ พอหมดชิ้นนี้ เชพก็จะค่อยทำชิ้นใหม่ เพื่อคงความสดใหม่ค่ะ1 Tenen Tai ปลากระพงขาว มันน้อย เนื้อนุ่มๆไม่มีความคาว ทานกับข้าวนุ่มๆหนุบๆดี ทานไปยิ้มไปเลยค่ะ ตื่นเต้นจัง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะค่อยๆได้รับความอร่อยมาเรื่อยๆแน่ๆเลยล่ะ อิอิ2 Kinmedai ปลากระพงเนื้อแดง คำนี้จะเริ่มมีติดมันขึ้นมานิดนึง มีบ่มดอกซากุระด้วย การเคี้ยวของคำนี้ เลยต้องใช้เวลานิดนึง เพราะติดมันแทรกเคี้ยวยากหน่อยแต่ก็ได้ความนุ่มๆอยู่ และมีหอมๆดอกซากุระเบาๆด้วยค่ะ3 Hamachi ปลาฮามาจิที่เลี้ยงด้วยใบมะกอก ซึ่งการเลี้ยงแบบนี้ เนื้อปลาจะมีความสด ไม่คาว และหลังจากหั่นแล้ว เนื้อปลาไม่ดำเร็วค่ะ พอได้ทานคำนี้ จะมีความมันเยอะขึ้นอีก แต่เคี้ยวไม่ยาก จะนุ่มๆละลายในปาก อร่อยดีค่ะ4 Shiro Ebi กุ้งขาวญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ด้วยความที่เป็นกุ้งหลายตัว เชพจึงใช้ใบไม้รองกุ้งก่อนแล้วค่อยปั้นให้กุ้งเกาะรวมตัวกัน แล้วค่อยเอาออกก่อนเสริฟให้เราค่ะ ด้านบนมีการฝนเปลือกยุสุเป็นผงๆโรยหน้าด้วยนิดนึงค่ะ รสชาติชิ้นนี้จะนุ่มๆมันๆ หอมส้มยุสุเบาๆ อร่อยๆค่ะคั่นด้วยการเสริฟ หัวไชเท้า ใบชิโสะห่อสาหร่าย กลิ่นฉุนเบาๆ เพื่อล้างปาก ก่อนทานซูชิคำต่อไปค่ะ5 Akami แช่ในซอสเพื่อให้มีรสชาติที่เข้มข้น ตอนที่เชพปั้นคำนี้ จะกดแน่นๆเพื่อให้น้ำในตัวปลาออกมา และต้องเพิ่มการใส่วาซาบิเพื่อให้ทูน่าชิ้นนี้มีรสชาติที่โดดเด่นมากขึ้นค่ะ พอได้ลองทาน คำนี้เลยจะมีรสชาติที่โดดกว่าชิ้นอื่นค่ะ จะได้ทั้งความหวานเค็มและเผ็ดๆ เป็นอีกรสที่ก็อร่อยค่ะ6 Chutoro เนื้อจะนุ่มกว่า Akami อร่อยดีค่ะ ชอบๆค่ะคำนี้ อยากทานอีกเลยค่ะ 7 Uni ไข่หอยเม่น ทางร้านใช้ Nama Uni คัดเฉพาะตัวเมีย นุ่มๆไม่คาวเลย หวานหอมอร่อยมากๆค่ะ ติดใจอีกแล้วเรายังมีอีกแบบที่เราไม่ได้ทาน คือ Bara Uni มีทั้งตัวผู้และตัวเมียคละกันมา รสชาติหวานแต่จะติดขมนิดๆค่ะ8 Kohada ปลาโคฮาดะดอง ทำลายมาสวยดีค่ะ เนื้อนุ่มๆ เค็มนิดๆ แต่ออกคาวไปนิดนึง แต่ก็ได้รสที่แตกต่างจากชิ้นอื่นดีค่ะ9 Ikura ข้าวห่อสาหร่ายไข่ปลาแซลมอน ชิ้นนี้เชพจะฝนเปลือกส้มยูสุโรยหน้าให้ด้วยค่ะ แค่เห็นก็ปลื้มแล้วค่ะ เพราะว่าเป็นคนชอบทานไข่ปลาที่สุดเลยค่ะ คำนี้ได้รสเค็มๆมันๆ ไข่ปลาแตกโป๊ะๆในปาก หอมๆส้มยูสุด้วย อร่อยจังค่ะ อยากได้ไข่ปลาแบบ Extra จัง อิอิตบท้ายของคาวคำสุดท้ายด้วย โทโร่สับปรุงรสด้วยต้นหอม ทำมาในรูปข้าวห่อด้วยสาหร่าย ตรงกลางเป็นโทโร่สับเค็มนิดๆเนื้อนุ่มๆ มีกลิ่นหอมๆของต้นหอม ได้เคี้ยวกรุบๆด้วย ออกฉุนๆต้นหอมหน่อย แต่ก็อร่อยดีค่ะ

หมดของคาว เราก็เลยสั่งของหวานมารอทานไข่หวานค่ะ- Sea salt Caramel ไอศกรีมเข้มข้นมาก อร่อยๆ ทานกับซอสคาราเมลที่เข้มข้นหวานมันสุดๆ โอ้ว อร่อยจังค่ะ ป๊อบคอร์นก็กรอบๆดี ทานรวมๆกันหมดปลื้มสุดๆค่ะ แนะนำเลยสำหรับคนชอบทานคาราเมล แต่ค่อนข้างหวานนะ แต่หวานคาราเมลแบบนี้เราชอบค่ะ 55- Salmon Tartare เมนูนี้เชพทำให้เราทาน ระหว่างรอไข่หวานค่ะ ทานกับขนมปังกรอบ ชิ้นนึงโรยไข่ปลา ชิ่นนึงเป็นแซลมอนสับ เค็มๆมันๆกรุบๆ อร่อยเพลินดีค่ะ ทานไปทานมา เหมือนเรียกน้ำย่อยของคาวอีกสินะ 55- Tamago ไข่หวาน เป็นเมนูที่ต้องรอพักนึง เนื่องจากทานซูชิหมดแล้ว แต่ไข่หวานยังอบไม่เสร็จ พอได้ทาน คุ่มการรอคอยมากๆค่ะ อร่อยมากๆ ด้านในนุ๊มนุ่มละลายในปาก ด้านนอกจะเด้งนิดๆ หวานเบาๆ หอมๆไข่หอมๆกุ้ง ฟินมาก อยากทานอีกหลายๆชิ้นเลยค่ะ บอกเลยว่าใครมา แนะนำต้องลบองค่ะ ไม่งั้นจะเหมือนมาไม่ถึงร้านเลยล่ะ ^_^ (ปกติถ้าขายแยก ชิ้นละ 50 บาท ปอนด์ละ 900 บาท)

การทำไข่หวาน เชพได้เล่าให้ฟังว่า จะแยกไข่แดงกับไข่ขาว ไข่แดงไปผสมกุ้ง ไข่ขาวตีฟูๆ แล้วค่อยเอามาผสมกันเติมน้ำตาล และอื่นๆ แล้วอบเป็นชั่วโมงถึงจะได้มาเชพที่นี่บริการดีค่ะ อธิบายตลอดๆ และถามไถ่ตลอด วาซาบิเยอะไปมั้ย เสริฟเร็วไปมั่ย อิ่มมั้ย รอไหวมั้ย ตอนที่เราถ่ายรูปไข่หวาน คือไข่หวานเป็นทรงตั้ง พอถ่ายก็จะออกมืดๆ เราเลยยกขึ้นมาสูงๆให้โดนไฟแล้วค่อยถ่าย เชพก็บริการดี๊ดีถามว่าช่วยถือให้มั้ย เราก็เกรงใจ สุดท้ายเลยหยิบวางนอน แล้วถ่ายแบบนี้ก็ได้ 55

ได้สอบถามว่าเชพแรนดี้จะเข้าวันไหน ทางร้านบอกว่าเข้าทุกวันศุกร์ค่ะ

ที่นี่ที่ชอบอีกอย่างเลยคือ ข้าวค่ะ ข้าวอร่อยมาก เม็ดอ้วนๆ เนื้อนุ่มๆหนุบๆ ไม่เละ ไม่แข็ง ชอบมากๆค่ะ ส่วนปลาดิบก็ให้ชิ้นหนาดี ได้รสเต็มปากเต็มคำ แบบว่าวางปุ๊บ เข้าปากทานได้รสชาติพอดีแบบไม่ต้องเติมอะไรเพิ่มเลย

ใครอยากทานซูชิแนวพรีเมี่ยม กินแล้วฟินเหมือนได้ไปทานที่ญี่ปุ่น บอกเลยว่าร้านนี้เป็นอีกทางเลือกที่อยากให้มาลองค่ะ

ร้าน Limoncello
วันนี้ได้ไปทานอาหานอิตาลีที่ Limoncello ซึ่งร้านนี้มีอยู่ 6 สาขาทั้วประเทศไทยเลย มีทั้งในกรุงเทพและก็ต่างจังหวัด ที่ส่วนมากเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะอย่างงั้นใครใกล้ที่ไหนก็ตรงดิ่งไปได้เลย
Limoncello Soi 9
Limoncello Gold
La Capannina by Limoncello
Limoncello Huahin
Limoncello Kho Lipe
Limoncello Chang Maidssอาหารที่นี่จะเสริฟอาหารอิตาลี ที่เชฟบอกว่าอยากให้คนที่เข้ามาทานได้รับรสที่เป็นอิตาลีแท้ๆ บางทีเราไปร้านอาหารอิตาลี ร้านก็จะปรับให้ถูกปากคนไทย แต่ว่าที่นี่จะไม่เลย คนอิตาลีทานยังไง เชื่อแน่นอนว่าเราก็จะได้กินอย่างงั้น แล้วที่สำคัญ วัตถุดิบ เป็น Made in Italy อีกต่างหาก
วันนี้เราไปทานเป็นมื้อกลางวันที่ Limoncello Soi 9 เพราะใกล้ที่ทำงานสุดเลยคะ

(ที่ตั้งและการเดินทาง)
ตัวร้านตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 9 ถ้ามาจากปากซอยสุขุทวิท ก็เข้ามาในซอยทองหล่อ หรือ สุขุมวิท 55 เลี้ยวมาก็ ขับไปเรื่อยจนเลี้ยวซ้ายเข้าไปทองหล่อ ซอย 9 เข้ามาแล้ว ร้านจะอยู่กลางซอยตรงหัวมุมเลย
ถ้าเรามารถไฟฟ้าก็ลงรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ แล้วก็อาจจะต่อพี่มอเตอร์ไซต์ หรือว่า แท๊กซี่ก็ได้คะ
เดินก็อาจจะเหนื่อยไป
หน้าร้านมีที่จอดรถสะดวกสบายเลย ชอบตรงนี้ เพราะแถวนี้หาที่จอดรถยากสุดๆ
(บรรยากาศร้าน)
ร้านตกแต่งด้วย สีเหลือง คงเป็นเพราะเชื่อ Limoncello ทีเป็นเหล้ามะนาว ประมาณนั้น เราชอบการตกแต่งของร้าน มีกระจกล้อมรอบ แสงเข้าทำให้ดูโปร่งดี ตอนเราไปคนเต็มร้านเลยคะ เพราะเป็นตอนกลางวันพอดี
ที่หน้าร้าน มีเส้น พาสต้า สปาเกตตี้ ขายด้วย สำหรับใครที่อยากจะกลับไปทำเองที่บ้านก็ซื้อติดไม่ติดมือไปได้คะวันนี้เพราะได้รับเชิญจากเจ้าของร้าน เมนูก็จะเป็นทางร้านจัดให้ แต่ที่นี่จัดให้แบบไม่อั้นจริงๆ แล้วบางเมนูก็เป็นเมนูใหม่ ที่ยังไม่ออกวางขาย
การบริการ
บริการดีมาก พนักงาน สามารถอธิบายอาหาร ได้อย่างดีเลน ยิ่งรู้เยอะเราก็สนุกกับการกินมากขึ้นเท่านั้น
เริ่มจากน้ำดื่ม ทางร้านได้นำเข้า ร้านแร่ ยี่ห้อ NZO ที่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ จากแหล่งน้ำ บลู – สปริง ที่นิวซีแลนด์
โดยน้ำแร่ มีทั้งแบบ Sparking แล้วก็ Still Sparking จะอยู่ที่ขวดละ 220B
ถึงจะไม่ได้ชอบน้ำดิ่มแบบ Sparking เท่าไหร่ แต่ ที่นี่เขาบอกว่า Sparking ของเขาจะเบามากๆ กินไม่ยากเลย
ก็เลยลองมาดูคะ ก็จริงอย่างที่เขาบอก เป็น Sparking ที่เบาจริงๆ กินกับมื้อหนักๆ ก็ดีไปอีกแบบเลยก่อนจะทานอาหารเราเริ่มจาก Sparkling wine เรียกน้ำย่อยกันก่อน เราเรียกซะหมดแก้วเลย
ระหว่างรออาหารก็ได้ขนมปังมากินเล่นระหว่างรอ มีขนมปัง 2 แบบ แบบนิ่ม แล้วก็กรอบเป็นแท่งๆ เสริฟกับ Salsa Sauce กับ tartar sauce ที่พิเศษของที่นี่ คือแป้ง เขาเป็นแป้งเดียว กับพิซซ่า เราชอบแป้งกรอบๆที่เป็นแท่งๆ กินกับ tartar Sauce อร่อยเพลินดีคะเราเริ่มกันที่ APPETIZER
BRUSCHETTA AL TARTUFO 200B
เป็นขนมปังอบ ที่ราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิล 4 อย่าง มีทั้ง Back Tartufo เราชอบกลินของ ทรัฟเฟิลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมากินกับขนมปังกรอบ เราก็เลยชอบ และเป็นการเรียกน้ำย่อยที่อร่อยเลยมาถึงเรียกน้ำย่อยอีกจานเป็น
Oven baked eggplant scallop cheese อันนี้เป็นเมนูที่เขายังไม่ได้มีในเมนูเป็น มะเขือยาวอบ ที่ข้างใต้เป็นชีส แล้วที่สำคัญ มีหอยเชลล์ ด้วย แล้วยังมี ซอสเห็ดทรัฟเฟิล ราดมาด้วย กินทั้งหมดในคำเดียว ก็จะได้รสชาติครบเลยTAGLIERINI ALLE VONGOLE
ต่อมาเป็นเส้นสปาเกตตี้ที่เขาเสริฟอันนี้เป็นเส้นแบบ SQUARE เส้นจะแข็งๆ หน่อย ซึ่งทางร้านบอกว่า บางที่อาจมีคนบอกว่าเส้นแข็ง แต่ เขาพยายามทำให้แบบคนอิตาลีมากที่สุด คือคนอิตาลีกินเส้นแบบไหน ที่นี่เป็นแบบนั้นแน่ๆ เส้นสปาเกตตี้ที่นี่ก็มีทั้งแบบนำเข้ามา แล้วก็ Homemade จานนี้เป็น สปาเกตตี้ที่ไม่หนัก มาก รสชาติสปาเกตี้เราชอบนะLamp rack serve with red wine sauce
เมนูนี้สำหรับคนที่ไม่ชอบกินแกะ อย่างพวกเราก็ยังกินได้ เพราะเป็นเนื้อแกะ ที่ชุบกับเกร็ดอัลมอลล์ ทอดมากรอบๆ แต่ข้างในไม่ได้แห้ง หรือ สุกมาก เราชอบ ที่เขาเกร็ดมันกรอบ ๆแล้วพอทอดมาอย่างงี้ เลยไม่มีกลิ่นมาก ส่วนกลิ่นred wine ก็หวาน ส่วนตัวชอบกินเปล่าๆ มากกว่าPizza King
australian lamb ragu – italian truffle – artichoke and mozzarella
พิซซ่า ชื่อดังของเขาเป็นพิซซ่า ที่ไม่ได้แป้งบางกรอบมาก เป็นแป้งนิดๆ หน้าพิซซ่าเป็น เนื้อแกะ เห็ดทรัฟเฟิล แล้วก็มี Artichoke มาด้วย สำหรับเราอันนี้ก็ยังไม่ถูกปากเราเท่าไหร่ เราไมชอบพิซว่าที่ออกแฉะ เท่าไหร
แล้ว Artichoke เปรี้ยวๆ เหมือนผักดอง ส่วนตัวชอบพิซซ่า แห้งๆ แป้งบางกรอบมากกว่าอาหารทำให้อิ่มมาก แต่ทางร้านยังไม่ให้กลับจนกว่าจะกินของหวาน
Lemon tart
ตัวเนื้อมะนาว เปรี้ยวกำลังดี ส่วนตัวชอบทาร์ตที่เป็นแป้งกรอบๆ มากกว่าTiramisu
ทีรามิสุเขายังไม่โดนใจเราเท่าไหร่ ตัวเนื้อครีม อยากให้เนียนกว่านี้ หอมกาแฟ กว่านี้หน่อย ถ้าเนียนกว่านี้หน่อยจะอร่อยเลยยิ่งกินกับกาแฟAffogato ของโปรดเรา กาแฟเขาเข้มข้นสุด กับไอศรีมวนิลา ชอบเมนูนี้มากเลยคะเหล้าคาโบเน อันนี้เป็นสูตรของทางร้าน สำหรับดื่มตอนท้ายสุด เพื่อช่วยย่อย เหล้ากับคาร์บอน หลังจากกินมือหนักไป แก้วนี้ช่วยได้
สำหรับมื้อนี้เราประทับใจอาหารเขาหลายอย่างนะคะ วัตถุดิบเขาสดจริง ถ้าใครอยากกินอาหารอิตาลี
แบบคนอิตาเลี่ยน จะไม่ผิดหวังเลยคะ

รีวิวนี้ จะพามาอิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์ Seafood กันอีก 1 ห้องอาหาร

ที่จัดเต็มจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ในรูปแบบต่าง ๆ

อยู่ในทุกไลน์อาหาร ทั้ง On Ice, Grilled, Pasta, ไลน์อาหารสำเร็จ

ให้ได้เลือกกินกันอย่างจุใจ จุพุง แนะนำว่าควรเตรียมกระเพาะให้ดี ๆ

เพราะห้องอาหาร Panorama

โรงแรม Crowne Plaza Bangkok Lumpini Park เค้าจัดให้เต็มจริง ๆ

ในราคาเพียง 1,599 บาท net รวมน้ำดื่ม ชาและกาแฟ

ทุกมื้อค่ำคืนวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 18:00-22:00 น.ห้องอาหาร Panorama ตั้งอยู่ที่ชั้น 23 ครับ

เป็นห้องอาหารกึ่งชั้น Lobby VIP เพดานจึงโล่ง

โปร่ง สบายตา ไม่อึดอัด ทั้งในส่วนที่เป็นโต๊ะนั่งกินอาหาร

และไลน์บุฟเฟ่ต์ด้านในห้องอาหารเมื่อเดินผ่านไลน์บุฟเฟ่ต์

จะเป็นโซนกึ่ง open-air และบาร์เครื่องดื่ม

ซึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่มองเห็นวิวได้ชัดเจนเลยแจ้งให้บาร์เทนเดอร์ทำ Cocktail อร่อย ๆ มา

จิบรอไลน์อาหารเปิดครับ ตัวนี้เป็น Caipiroska

มีส่วนผสมของเสาวรส จิบกันต่อกับ Mojito เครื่องดื่มมาตรฐาน รสชาติใช้ได้เลยและอีกตัวคือ Daiquiri มีตากีล่ากับมะนาว เปรี้ยวชื่นใจ ไลน์อาหารเปิดแล้ว เราเริ่มเดินดูกันเลยครับ

เริ่มต้นจากไลน์สลัด มีผักหลายชนิด น้ำสลัดหลายแบบ

ให้เราได้เลือกปรุงกันเองได้ตามใจชอบ ไลน์ทาปาส ชีส โคลด์คัท ขนมปัง มีให้เลือกมาก

หลายต่อหลายอย่างเช่นกัน บางอย่างไม่เคยเห็นซะด้วย ไลน์ส้มตำไทย ๆ ก็มี แถมมีกุ้งย่างด้วย ไลน์พาสต้า อาหารปรุงสำเร็จ และซุป

ก็หน้าตาน่ากินทั้งนั้นเลยครับ วันที่ไปนั้นเป็นช่วงเทศกาลอีสเตอร์

ห้องอาหารนำ ซี่โครงแกะอบ/ย่าง มาเป็นไฮไลท์เพิ่มไลน์ Grilled มีให้เลือกเพียบ กุ้ง หอย ปลา

พร้อมซอสให้จิ้มอีกมากมาย

ทีเด็ด หอยเชลล์ยักษ์ ไลน์อาหารญี่ปุ่นมีครบครันทั้งซูชิ ซาซิมิ

ดูจากคุณภาพปลาในไลน์แล้ว ถือว่าดีเลย

เหลือต้องลองชิม ว่าดีอย่างตาเห็นมั้ย

แต่ฮามาจิดูจะซีด ๆ ไปหน่อยนะครับไข่ปลาและไข่กุ้ง ตรงนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นเครื่องเสริม

ของหอยนางรมมากกว่าครับ เพราะรสชาติหมัก

จะออกไปในแนวคาเวียร์มากกว่า(คือค่อนข้างเค็ม) หอยนางรมสดมี 2 แบบเกาหลีกับฝรั่งเศสดูกันออกมั้ย

และมีเครื่องปรุงให้เพียบพร้อมทั้งแบบไทยและต่างชาติ

Seafood on Ice มากันแบบจัดเต็มที่ ทั้งก้าม Lobster

ก้ามและขาปู Alaska king Crab กั้งกระดาน

กุ้งชนิดต่าง ๆ หอยชนิดต่าง ๆ มีแม้กระทั่งหอยลายครับ ไลน์ขนมหวาน จัดแยกออกมาจากไลน์อื่น ๆ

มีขนมให้เลือกเยอะพอควรเลยล่ะครับ

ทั้งขนมไทย ขนมฝรั่งและช็อคโกแล็ตฟองดูว์ไอศกรีมมีให้เลือก 6 รสชาติ พร้อมท็อปปิ้งที่ตักแต่งเองได้เริ่มต้นกับจานแถม 2 คน 1 ตัว (หรือคนละ 1/2 ตัว)

Grilled Lobster สุกกำลังดี มาพร้อมซอส 4 แบบ

ซีฟู๊ด ไวท์ไวน์ มารีนาร่า และพะแนง(หรือสะเต๊)

ส่วนตัวผมชอบไวท์ไวน์มากที่สุดครับหอยนางรมสด มี 2 แบบ เกาหลีกับฝรั่งเศส

ดูกันออกมั้ยครับ เกาหลีจะอวบอูม

ส่วนฝรั่งเศสจะเล็กและบางกว่าครับ

จะกินกับแบบฝรั่งหรือแบบไทย ๆ เราก็อร่อยหมดครับ Seafood on Ice ทุกอย่างดีทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นก้าม Lobster ก้ามปู กั้งกระดาน กุ้ง หอย

ถือว่าสอบผ่านกับการทำธีม Seafood จริง ๆ ครับ อาหารญี่ปุ่น ผมลองความสดของปลาจากซาซิมิ

ปลาสดใช้ได้เลย ไม่เป็นน้ำแข็งละลายออกมา

แต่สีปลาฮามาจิจะไม่ค่อยสวย แต่ก็อร่อยดีครับ กินอาหารญี่ปุ่น ก็ต้องมี Cocktail เข้ากันมาจิบเพิ่ม

Wasabi Sake Villa เปรี้ยวและขึ้นจมูกด้วยวาซาบิเต็ม ๆ ครับ

ส่วนอีกแก้ว Berry Sensation ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในแก้วนี้

ก็สดชื่นไม่เบาเลยทีเดียวครับลองพวกทาปาส ไม่ว่าจะเป็น ซีฟู๊ดเยลลี่ สแกลลอปคาพาร์ชิโอ้

หอยนางรมรมควัน พาร์ม่าแฮมและไส้กรอกโชริโซ่

และซุปล็อบสเตอร์บิสค์ โรยด้วยขนมปังกรูตองซ์ก็อร่อยดีจากของเย็น ๆ เข้าสู่ของร้อนกันบ้าง

Grilled Seafood ประทับใจปลากะพงห่อใบตองย่าง

อร่อยเกินคาดหมาย

ส่วนแซลมอน กุ้งลายเสือ และอื่น ๆ นั้น ก็อร่อยใช้ได้

เสียเพียงแต่ว่าหอยเชลล์ยักษ์ย่างมาสุกเกินไปเนื้อหอยหด

และหมดความหวานของหอยสด ๆซี่โครงแกะ สุดยอดความนุ่มไร้กลิ่นสาป

ย่าง/อบมาได้ดีมาก ๆ จิบเบียร์สดไปพลางกินไปพลาง

อะไรจะมีความสุขไปกว่านี้ ของหวาน จัดมาทั้งไอศกรีม เค้ก ทาร์ต ช็อคโกแลตฟองดูว์

กินกับกาแฟและชาที่รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์จบมื้อด้วย Royal Coffee ที่หลายคนคิดว่าเป็นกาแฟธรรมดา

แต่ตัวนี้เด็ดและพิเศษตรงที่ผสม คอนยัค และคาร์ลัว ลงไปด้วยครับ

ร้อนวูปวาบ สบายท้องเลย วิวจากชั้น 23 มองไปยังตึกต่าง ๆจัดเต็มกับซีฟู๊ดบนชั้น 23

ของโรงแรม Crowne Plaza Bangkok Lumpini Park

ห้องอาหาร Panorama

กับธีม Seafood Night ทุกคืนวันเสาร์

ซีฟู๊ดสด ๆ เพียบกุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งแบบ On Iced

และ Grilled Station แถมยังได้ Lobster

คนละครึ่งตัว (2 คน/ตัว) มากับซอสอร่อย 4 แบบ

รวมทั้งอาหารนานาชาติ และพิเศษคืนนี้

มีเมนูต้อนรับอีสเตอร์ กับ ซี่โครงแกะย่าง อย่างนุ่ม

ดีเลิศประเสริฐศรี รวมถึงอาหารอีกหลากหลายไลน์

ทั้งคาวและหวาน ให้ได้เลือกกินไม่อั้น

ตั้งแต่เวลา 18:00-22:00 น.

ในราคา 1,599 บาท net รวมน้ำดื่ม ชาและกาแฟ

สำหรับนักดื่ม ห้องอาหารก็มีบริการเพิ่มเครื่องดื่ม

แอลกอฮอล์ทุกชนิดอร่อย ๆ อีกด้วย

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่

โทร : 02-632-9000 ต่อ 4343

https://facebook.com/crowneplazabangkok/

http://www.crowneplaza-bangkok.com/

ขอให้อิ่มอร่อยกับซีฟู๊ดดี ๆ คืนวันเสาร์แบบจัดเต็มครับ