1
0
0
เบอร์โทร.
089-054-6619
เหมาะสำหรับ
ลำลอง
เวลาเปิด-ปิด
วันนี้
10:00 - 22:00
จันทร์ - อาทิตย์
10:00 - 22:00
วิธีจ่ายเงิน
เงินสด
จำนวนที่นั่ง
10
ข้อมูลข้างต้นใช้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลกับร้านอาหารอีกครั้ง
เมนูแนะนำ
เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่
รีวิว (1)
บล็อกนี้ขอแซงคิวร้านอาหารในทริปเมืองจันท์ซักนิดครับ เนื่องจากว่าประทับใจกับร้านนี้มากมายจนอดรนทนไม่ไหวต้องตากหน้ามาขอความเห็นใจจากแฟนๆบล็อกขอลัดคิวซักนิดนึงอาทิตย์ก่อนหยุดยาวปีใหม่ๆได้มีโอกาสไปค้างคืนที่วิลล่าเขาแผงม้ามา 1 คืน เข้าไป check in ที่วิลล่าเขาแผงม้าเสร็จก็ออกไปเที่ยวที่วังน้ำเขียวทันทีครับ ขับรถวนไปวนมาอยู่หลายรอบเพิ่งจะรู้ว่าเส้นทางท่องเที่ยวที่วังน้ำเขียวมีเส้นหลักๆเส้นเดียวครับ ขับรถย้อนไปย้อนมาเท่านั้นเอง ตอนที่ขับรถย้อนไปย้อนมาตาก็อ่านป้ายข้างทางไปด้วยจะได้ดูร้านอาหารสำหรับตอนเย็นไปด้วย ตาก็ไปสะดุดกับป้ายๆหนึ่งที่อยู่ด้านล่างสุดของป้ายชื่อรีสอร์ทนับสิบอันที่ “ไทยสามัคคีซอย 5” ครับ อ่านป้ายดูแล้วท่าทางจะเป็นร้านกาแฟ ตอนนั้นเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะไปไหนกันดีก็เลยออกความเห็นว่าไปนั่งกินกาแฟกันก่อนดีกว่า ...... ไม่คิดเลยว่าการตัดสินในแวะร้านกาแฟในวันนั้นจะทำให้เจอร้านกาแฟเกร๋ๆ พร้อมกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงทีเดียวโรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียวโรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว อยู่ที่ ไทยสามัคคีซอย 5 ถนนไทยสามัคคี ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาวิธีการไปโรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวก็ไม่ง่ายไม่ยากครับ จากทางหลวงสาย 304 เลี้ยวเข้ามาทางไทยสามัคคีซึ่งเป็นเส้นทางหลักสำหรับที่พัก ที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารในวังน้ำเขียว (รับรองว่าไม่หลงแน่ๆ) ขับตรงๆมาเรื่อยๆครับ ผ่านทางเข้าบ้านบุไทร ขับต่อมาเรื่อยๆจะผ่านวัดไทยสามัคคีทางซ้ายมือให้เริ่มลดความเร็วลงได้ครับ พอผ่าน รพสต ไทยสามัคคีทางซ้ายมือก็ให้เริ่มนับซอยทางซ้ายมือไป 5 ซอย เรามาเลี้ยวซ้ายซอยที่ 5 ครับ ตรงปากซอยจะเห็นป้ายใหญ่ๆ สูงๆ ด้านบนเขียนไว้ว่า “ไทยสามัคคีซอย 5” แล้วก็จะมีป้ายชื่อรีสอร์ทต่างๆติดยาวลงมาเป็นสองฝั่งนับสิบป้าย ป้ายชื่อโรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวจะอยู่ท้ายๆเรี่ยๆยอดหญ้ากันเลยคราบ อิอิอิ ระยะทางจากปากทางเข้าตำบาลไทยสามัคคีประมาณ 6.3 กิโลเมตรครับพอเลี้ยวเข้าซอย 5 ก็ขับตรงมาบนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเรื่อยๆนะครับจนเจอบึงทางขวามือ ข้างๆบึงจะมีถนนลูกรังอยู่ (ทางขวา) เลี้ยวขวาเข้าไปเลยครับ ขับตรงไปตามถนนเรื่อยๆครับจะลัดเลาะไปตามริมบึง แล้วก็จะผ่านไร่อะไรซักอย่างทางขวามือพอสุดไร่ก็จะเป็นถนนเล็กๆ เป็นสี่แยกก็ให้ตรงไปอีกครับ ทางขวาจะผ่านกำแพงบ้านสีขาวๆ ให้เล็งซ้ายมือเอาไว้จะเป็นโรงนามุงสังกะสีอยู่นั่นแหละครับ โรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวที่โรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวเป็นร้านกาแฟแบบ stand alone ครับมีลักษณะเป็นอาคารเปิดโล่ง 3 ด้าน ด้านหน้าอาคารเป็นโต๊ะนั่งเป็นชุดๆ 3-4 ชุด มีส่วนเล็กๆจัดไว้เป็นที่โชว์สินค้า organic ต่างๆเช่นข้าวไรซ์เบอร์รี่ พืชผักจากฟาร์ม และเม็ดกาแฟคั่วใหม่จากที่ร้านเอง คุยกับน้องที่ร้านน้องเค้าบอกว่าที่นี่มีโรงคั่วกาแฟด้วย .... ตาโตเลยครับ เพราะเคยเห็นเค้าคั่วกาแฟกันแต่ในสารคดีที่โทรทัศน์ ไม่เคยเห็นเค้าคั่วกาแฟกันจริงๆซะทีน้องที่ร้านเอาเมนูมาให้ถึงได้เห็นว่านอกจากเมนูกาแฟแล้วที่ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว มีอาหารหนักๆด้วย เสียดายที่ไม่รู้มาก่อน ท้องยังเต็มมาจากที่อื่น อิอิอิ พอน้องเค้าบอกว่ามีอาหารขายด้วยถึงได้กวาดตามองไปทั่วๆถึงได้เห็นว่า โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ทำซุ้มเป็นอาคารเปิดโล่งขนาดย่อมๆไว้อีก 2-3 หลัง กระจายอยู่ทั่วๆห่างๆกัน ในแต่ละซุ้มก็มีโต๊ะจัดเตรียมไว้ 3-4 โต๊ะทุกซุ้ม น้องที่ร้านยังบอกอีกว่าเมื่อคืนก่อนหน้าที่เราจะไปกันมีคนมานั่งทานอาหารกันกว่าจะเลิกตั้งดึกเชียวน้องที่ร้านบอกกับเราอีกว่าเจ้าของร้านมีไร่กาแฟที่ลงทุนร่วมกับเพื่อนๆที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ เมล็ดกาแฟที่ชงที่ร้านนี้ก็เป็นกาแฟจากดอยช้าง แต่เอามาคั่วเอง ถ้าวันนี้โชคดีจะได้เห็นการคั่วกาแฟด้วย จากนั้นเราก็ปล่อยให้น้องที่ร้านไปทำหน้าที่ชงกาแฟครับ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกับน้องเค้าอีกเลยเพราะมีลูกค้าเข้ามากลุ่มใหญ่ๆถึง 2 กลุ่ม ต่างก็ไม่เคยมาร้านนี้มาก่อน ที่เข้ามาเพราะว่าชื่อ โรงคั่วกาแฟ เท่านั้นเอง อิอิอิระหว่างที่รอกาแฟเสร็จ เจ้าของร้านก็กลับมาจากข้างนอก แล้วสั่งพนักงานอีกคนทำการคั่วกาแฟทันที เจ้าของบล็อกก็เลยไปจับจองที่ที่หน้าเครื่องคั่วกาแฟทันที น้องคนที่มีหน้าที่คั่วกาแฟเล่าให้ฟังว่าเมล็ดกาแฟตอนนี้ทั้งหมดนำมาจากไร่กาแฟที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ตอนนี้เจ้าของร้านเอาต้นพันธุ์กาแฟจากดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ มาเริ่มทดลองปลูกที่วังน้ำเขียวนี่ พอถามว่าแล้วกาแฟเริ่มออกผลหรือยัง น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกว่าเจ้าของร้านเอาใจใส่กับกาแฟมาก เมื่อกาแฟออกผม 4 ปีแรกจะเด็ดผลทิ้งหมด และเริ่มเก็บผลกาแฟในปีที่ 5 เป็นต้นไป ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น น้องพนักงานคั่วกาแฟก็บอกว่า “ที่เด็ดทิ้งเพราะว่าเม็ดกาแฟยังไม่ได้อายุดี ชงก็ไม่อร่อย ไม่หอมเท่าที่ควร” เล่นเอาเจ้าของบล็อกอึ้งไปพักใหญ่ เพราะเพิ่งเคยรู้เรื่องพวกนี้ น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกด้วยว่าต้นกาแฟที่ปลูกที่วังน้ำเขียวให้ผลในปีที่ 5 แล้ว แต่ว่ายังไม่ได้คั่ว ถ้ารสไม่เปลี่ยนไปจากเมล็ดกาแฟที่มาจากดอยช้าง เราจะได้ชิมกาแฟที่ปลูกที่วังน้ำเขียวกันครับสำหรับการคั่วกาแฟก็จะใส่เมล็ดกาแฟที่กะเทาะเปลือกออกจนหมดด้านบน แล้วเมล็ดกาแฟจะตกไปอยู่ในหม้อคั่วซึ่งอยู่ตอนกลางของเครื่อง คั่วด้วยความร้อนประมาณ 200 องศาเซลเซียส (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ อิอิอิ) เวลาที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้เมล็ดกาแฟมีความเข้มขนาดไหน ถ้าเป็น dark roast ก็คั่วนานสุดอันนี้เอาไว้ชง Espresso เข้มรองลงมาก็เอาไว้ชงลาเต้ และคั่วแบบอ่อนที่สุดจะเอาไว้ชงมอคค่า (อันนี้เจ้าของอธิบายให้ฟังครับ) เจ้าของร้านบอกว่าโรงคั่วกาแฟจะตั้งอยู่ในชุมชนไม่ได้ ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโรงคั่วกาแฟถึงตั้งอยู่ในชุมชนไม่ได้ แต่เมื่อเมล็ดกาแฟถูกคั่วไประยะหนึ่งถึงได้เข้าใจ เพราะผงเปลือกเมล็ดกาแฟเล็กๆ ที่ยังติดอยู่กับเมล็ดกาแฟดิบลอยออกมาตามปล่องตกลงบริเวณใกล้ไกลเต็มไปหมด นี่ถ้ามีลมแรงๆ เถ้าของเปลือกกาแฟก็จะถูกลมหอบไปตกที่อื่นๆตามแรงลม ดีที่ว่าเรายืนอยู่ภายใต้หลังคาแต่เรายื่นแขนออกไปก็สามารถจับเถ้าเมล็ดกาแฟได้เลยครับพอจวนจะได้เวลาเจ้าของร้านก็จะเอาเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วออกมาตรวจสอบดูว่าได้ที่หรือยัง เมื่อเห็นว่าได้ที่แล้วก็จะเทเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วลงในถาดที่มีที่พลิกเมล็ดกาแฟเพื่อให้กาแฟเย็นตัวลงก่อนจะผ่านไปขั้นตอนต่อไป น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกว่าเวลาคั่วเมล็ดกาแฟแล้วเมล็ดกาแฟจะคายก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ออกมา เมื่อเมล็ดกาแฟเย็นลงแล้วจะต้องบ่มให้เมล็ดกาแฟหมดก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์เสียก่อนถึงจะบรรจุถุงได้กลับมาหาเมนูที่เราสั่งกันไปครับเมนูแรก กาแฟเอสเพรสโซ่ร้อน ราคา 40 บาทน้องพนักงานชงกาแฟถามก่อนว่าจะทานสูตรของที่ร้านหรือเปล่า ตอนแรกก็งง ก็เลยถามว่าต่างกันอย่างไร น้องพนักงานชงกาแฟเลยอธิบายให้ฟังว่าถ้าเป็นสูตรของที่ร้านจะใส่นมนิดหน่อย หรือถ้าลูกค้าจะไม่ให้ใส่นมเลยก็ได้พอจิบเข้าปากถึงได้รู้ว่าเหตุผลที่สูตรที่ร้านต้องใส่นมนิดหน่อยก็เพราะว่ากาแฟเข้มดีจริงๆ เข้มแล้วก็มีกลิ่นไหม้ๆอวลๆอยู่ในปากทั้งเมื่อจิบกาแฟและเมื่อกลืนกาแฟลงท้องไปแล้วก็ยังมีกลิ่นไหม้อวลๆอยู่ในปากด้วย แบบนี้เลยครับอย่างที่ชอบ เคยมีคนบอกว่าถ้าจะกินเอสเพรสโซ่ต้องกินให้หมดก่อน “คริสม่า” (คิดว่าได้ยินมาถูกนะ) ของกาแฟจะหมดไป เจ้า “คริสม่า” ของกาแฟก็คือฟองละเอียดๆด้านบนของเอสเพรสโซ่นี่แหละครับ ขอบอกว่า “คริสม่า” เยอะมากกกกกกก แล้วก็อยู่นานด้วย เคยไปกินร้านอื่นๆถ่ายรูปยังไม่เสร็จเจ้า “คริสม่า” ก็หายไปเกือบหมดแล้วอ่ะคราบ อิอิอิแก้วที่สองเป็น มอคค่าร้อน ราคา 40 บาทแก้วนี้เป็นกาแฟที่คั่วอย่างอ่อนที่สุดชงผสมกับโก้โก้ใส่นมในปริมาณที่เยอะรสชาติของแก้วนี้จะนุ่มๆ หอมๆกลิ่นกาแฟอ่อนๆปนกับกลิ่นของโกโก้แก้วที่สาม ลาเต้ร้อน ราคา 40 บาทเนื่องจากว่าติดใจเอสเพรสโซ่ครับ เลยไปถอยลาเต้ร้อนมากินอีก 1 แก้ว ทางร้านจะใช้กาแฟคั่วแบบกลางในการชงแก้วนี้นะครับ ความหอมกลิ่นไหม้ๆของกาแฟก็เลยจะไม่เท่าเอสเพรสโซ่ แต่เจ้าของบล็อกคิดว่าถึงเป็นกาแฟคั่วกลางของ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ก็ยังเข้มกว่าร้านอื่นๆๆนะครับ เพราะฉะนั้นเรื่องความหอมกลิ่นกาแฟคั่วของ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว จะมากกว่าที่ร้านอื่นอยู่แล้วคราบ ลาเต้จะใส่ฟองนมมากกว่ากาแฟเอสเพรสโซ่เพราะฉะนั้นก็จะมีความนุ่มของฟองนมมากกว่าครับแก้วสุดท้ายเป็นของล้างปากครับ แดงโซดา ราคา 40 บาทแก้วนี้อร่อยแบบมาตรฐานครับเจ้าของร้านยังชงชาหญ้าหวานสดผสมใบมินต์สดมาให้เราชิมฟรีๆอีกด้วย รสหวานปะแล่มๆของหญ้าหวานผสมกับกินหอมๆของใบมินต์ช่วยให้สดชื่นขึ้นมากเลยคราบขอขอบคุณฯทั้งเจ้าของร้าน โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว และน้องพนักงานชงกาแฟ กับน้องพนักงานคั่วกาแฟที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟอย่างไม่หวงวิชา และขอบคุณสำหรับกาแฟหอมๆ อร่อยๆ รับรองว่าจะหาโอกาสไปชิมอาหารและผักที่เจ้าของร้านโฆษณาว่าเป็นผักออร์แกนิคจากฟาร์มให้ได้เลยคราบ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)