ร้านอาหารไทยในเขาใหญ่ ถ้ามาจาก palio ก็จะอยู่ทางซ้ายก้อนถึงครัวเขาใหญ่
ได้ยินมาว่า ร้านนี้ไก่ทอดเกลืออร่อย มาลองดีกว่าที่สั่งไปมี
ไก่ทอดเกลือ
ไก่สับชิ้นใหญ่ๆคลุกแป้งบางๆทอด ทอดมาได้ดีกรอบนอกนุ่มใน แต่ไม่เค็ม 5555 ไม่เป็นไรเติมน้ำปลาพริกหน่อยก็อร่อยละ
ไส้อ่อนทอด
เป็นไส้ชุบแป้งทอด ผิดคาดไปหน่อย แต่ไส้นุ่มเปื่อยดี
ยำสามกรอบ
อันนี้ก็ผิดคาด นึกว่าจะเป็นพวกกระเพาะปลาไรแบบนี้ กลายเป็น ไก่กรอบ กุ้งกรอบ ปลาทอดกรอบ เอามายำใส่มะเขือเทศ ก็รสชาติกลางๆ
ต้มยำรวมมิตร
หวานไปหน่อย แต่ให้เครื่องมาเยอะดี
สรุป
เป็นร้านอาหารไทยรสชาติกลางๆ ไม่ได้แย่ แต่ไม่ประทับใจอะไร

รสชาติโอเคเลยนะ ถึงเครื่องดี ราคาไม่ถูกแต่ไม่แพง ของคุณภาพดี รวมๆแล้วชอบนะที่สั่งวันนี้มี ปลาหมึกผัดฉ่า ปลาพริกเผา ผัดไทยหมูหมัก แล้วก็ขนมจีบกุ้ง
ปลาหมึกนี่มาเต็มๆเลย70บาท ขนมจีบกุ้งก็กุ้งมาเป็นตัวๆ เข่งละ 60 บาท เนื้อแน่นมากกกกกก

ร้าน 8 Bisrto by Hunsa Restaurant ร้านนั่งกินดื่มสังสรรค์น้องใหม่ของคนโคราช ร้านจัดตกแต่งสวยงาม มีทั้งโซนเอ้าท์ดอร์และห้องแอร์ ภายในร้านอาหารมี 2 ชั้น ชั้น2 จะมีโซนที่ไว้แสดงดนตรีสด ดังนั้น ชั้น 2 มักจะเต็มก่อนชั้นล่าง อาหารมีทั้งไทยและฝรั่ง รวมถึงอาหารจานเดียว นอกจากนี้ยังมีกาแฟสดโดยร้าน Class  Cafe'  (ร้านกาแฟเจ้าดังในโคราช)  โดยมีเมล็ดกาแฟเฉพาะของที่นี่เลยคือ 8 Blend ในส่วนของกาแฟจะเปิดให้บริการถึง18.00 น. ในช่วงหัวค่ำคนก็เริ่มแน่นร้านแล้ว วันที่ไปทานอาหารยังออกช้าอยู่นะคะ ที่ได้เร็วๆ  ก็จะเป็นพวกสลัด แต่ก็นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ ชิลๆ รออาหารค่ะ ที่ร้านมีฟรีไวไฟ และปลักเสียบชาร์ตแบตไว้บริการลูกค้าด้วยค่ะ 
อาหารที่สั่งในวันนั้น
-สเต็กเนื้อออสเตรเลีย เสิร์ฟมาพร้อมกับมันบด จานนี้อร่อยมาก มันบดนี่เยี่ยมไปเลย
-ข้าวผัดต้มยำทะเล จานนี้รสชาติยังไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ แต่อาจจะเพราะทำรสชาติกลางๆ ไว้ เผื่อคนไม่ทานเผ็ด แต่กุ้งกับปลาหมึกจัดเต็ม
-สลัดปูนิ่มทอด อันนี้เราว่าปูเค็มไปหน่อยค่ะ แต่พอทานคู่กับผักสลัดก็โอเคนะ 
-เบียร์ โฮการ์เด้นโรเซ่ 

เปิดบริการทุกวัน 10.30-24.00 น.

    เป็นรีสอร์ทบ้านพัก แบบไทยๆ ราคาไม่แพง  เหมาะสำหรับพาครอบครัว หรือ เพื่อนเชาวต่างชาติมาพัก  เพราะมีกิจกรรมหลายอย่าง ภายในรีสอร์ท  อย่างไร่องุ่น สวนดอกไม้ ปั่นจักรยาน  

    ส่วนอาหารเช้าของทางรีสอร์ทนั้น  รสชาติได้มาตรฐานค่ะ แต่มีตัวเลือกไม่มาก  จะมีแค่ ข้าวต้ม ข้าวผัด สลัด ขนมปังปิ้ง ปาท่องโก๋ ไข่ดาว ไส้กรอก  ประมาณนี้ค่ะ

    

บล็อกนี้ขอแซงคิวร้านอาหารในทริปเมืองจันท์ซักนิดครับ เนื่องจากว่าประทับใจกับร้านนี้มากมายจนอดรนทนไม่ไหวต้องตากหน้ามาขอความเห็นใจจากแฟนๆบล็อกขอลัดคิวซักนิดนึง

อาทิตย์ก่อนหยุดยาวปีใหม่ๆได้มีโอกาสไปค้างคืนที่วิลล่าเขาแผงม้ามา 1 คืน เข้าไป check in ที่วิลล่าเขาแผงม้าเสร็จก็ออกไปเที่ยวที่วังน้ำเขียวทันทีครับ ขับรถวนไปวนมาอยู่หลายรอบเพิ่งจะรู้ว่าเส้นทางท่องเที่ยวที่วังน้ำเขียวมีเส้นหลักๆเส้นเดียวครับ ขับรถย้อนไปย้อนมาเท่านั้นเอง ตอนที่ขับรถย้อนไปย้อนมาตาก็อ่านป้ายข้างทางไปด้วยจะได้ดูร้านอาหารสำหรับตอนเย็นไปด้วย ตาก็ไปสะดุดกับป้ายๆหนึ่งที่อยู่ด้านล่างสุดของป้ายชื่อรีสอร์ทนับสิบอันที่ “ไทยสามัคคีซอย 5” ครับ อ่านป้ายดูแล้วท่าทางจะเป็นร้านกาแฟ ตอนนั้นเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะไปไหนกันดีก็เลยออกความเห็นว่าไปนั่งกินกาแฟกันก่อนดีกว่า ...... ไม่คิดเลยว่าการตัดสินในแวะร้านกาแฟในวันนั้นจะทำให้เจอร้านกาแฟเกร๋ๆ พร้อมกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงทีเดียว

โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว

โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว อยู่ที่ ไทยสามัคคีซอย 5 ถนนไทยสามัคคี ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

วิธีการไปโรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวก็ไม่ง่ายไม่ยากครับ จากทางหลวงสาย 304 เลี้ยวเข้ามาทางไทยสามัคคีซึ่งเป็นเส้นทางหลักสำหรับที่พัก ที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารในวังน้ำเขียว (รับรองว่าไม่หลงแน่ๆ) ขับตรงๆมาเรื่อยๆครับ ผ่านทางเข้าบ้านบุไทร ขับต่อมาเรื่อยๆจะผ่านวัดไทยสามัคคีทางซ้ายมือให้เริ่มลดความเร็วลงได้ครับ พอผ่าน รพสต ไทยสามัคคีทางซ้ายมือก็ให้เริ่มนับซอยทางซ้ายมือไป 5 ซอย เรามาเลี้ยวซ้ายซอยที่ 5 ครับ ตรงปากซอยจะเห็นป้ายใหญ่ๆ สูงๆ ด้านบนเขียนไว้ว่า “ไทยสามัคคีซอย 5” แล้วก็จะมีป้ายชื่อรีสอร์ทต่างๆติดยาวลงมาเป็นสองฝั่งนับสิบป้าย ป้ายชื่อโรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวจะอยู่ท้ายๆเรี่ยๆยอดหญ้ากันเลยคราบ อิอิอิ ระยะทางจากปากทางเข้าตำบาลไทยสามัคคีประมาณ 6.3 กิโลเมตรครับ

พอเลี้ยวเข้าซอย 5 ก็ขับตรงมาบนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเรื่อยๆนะครับจนเจอบึงทางขวามือ ข้างๆบึงจะมีถนนลูกรังอยู่ (ทางขวา) เลี้ยวขวาเข้าไปเลยครับ ขับตรงไปตามถนนเรื่อยๆครับจะลัดเลาะไปตามริมบึง แล้วก็จะผ่านไร่อะไรซักอย่างทางขวามือพอสุดไร่ก็จะเป็นถนนเล็กๆ เป็นสี่แยกก็ให้ตรงไปอีกครับ ทางขวาจะผ่านกำแพงบ้านสีขาวๆ ให้เล็งซ้ายมือเอาไว้จะเป็นโรงนามุงสังกะสีอยู่นั่นแหละครับ โรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียว


ที่โรงคั่วกาแฟวังน้ำเขียวเป็นร้านกาแฟแบบ stand alone ครับมีลักษณะเป็นอาคารเปิดโล่ง 3 ด้าน ด้านหน้าอาคารเป็นโต๊ะนั่งเป็นชุดๆ 3-4 ชุด มีส่วนเล็กๆจัดไว้เป็นที่โชว์สินค้า organic ต่างๆเช่นข้าวไรซ์เบอร์รี่ พืชผักจากฟาร์ม และเม็ดกาแฟคั่วใหม่จากที่ร้านเอง คุยกับน้องที่ร้านน้องเค้าบอกว่าที่นี่มีโรงคั่วกาแฟด้วย .... ตาโตเลยครับ เพราะเคยเห็นเค้าคั่วกาแฟกันแต่ในสารคดีที่โทรทัศน์ ไม่เคยเห็นเค้าคั่วกาแฟกันจริงๆซะทีน้องที่ร้านเอาเมนูมาให้ถึงได้เห็นว่านอกจากเมนูกาแฟแล้วที่ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว มีอาหารหนักๆด้วย เสียดายที่ไม่รู้มาก่อน ท้องยังเต็มมาจากที่อื่น อิอิอิ พอน้องเค้าบอกว่ามีอาหารขายด้วยถึงได้กวาดตามองไปทั่วๆถึงได้เห็นว่า โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ทำซุ้มเป็นอาคารเปิดโล่งขนาดย่อมๆไว้อีก 2-3 หลัง กระจายอยู่ทั่วๆห่างๆกัน ในแต่ละซุ้มก็มีโต๊ะจัดเตรียมไว้ 3-4 โต๊ะทุกซุ้ม น้องที่ร้านยังบอกอีกว่าเมื่อคืนก่อนหน้าที่เราจะไปกันมีคนมานั่งทานอาหารกันกว่าจะเลิกตั้งดึกเชียว

น้องที่ร้านบอกกับเราอีกว่าเจ้าของร้านมีไร่กาแฟที่ลงทุนร่วมกับเพื่อนๆที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ เมล็ดกาแฟที่ชงที่ร้านนี้ก็เป็นกาแฟจากดอยช้าง แต่เอามาคั่วเอง ถ้าวันนี้โชคดีจะได้เห็นการคั่วกาแฟด้วย จากนั้นเราก็ปล่อยให้น้องที่ร้านไปทำหน้าที่ชงกาแฟครับ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกับน้องเค้าอีกเลยเพราะมีลูกค้าเข้ามากลุ่มใหญ่ๆถึง 2 กลุ่ม ต่างก็ไม่เคยมาร้านนี้มาก่อน ที่เข้ามาเพราะว่าชื่อ โรงคั่วกาแฟ เท่านั้นเอง อิอิอิ

ระหว่างที่รอกาแฟเสร็จ เจ้าของร้านก็กลับมาจากข้างนอก แล้วสั่งพนักงานอีกคนทำการคั่วกาแฟทันที เจ้าของบล็อกก็เลยไปจับจองที่ที่หน้าเครื่องคั่วกาแฟทันที น้องคนที่มีหน้าที่คั่วกาแฟเล่าให้ฟังว่าเมล็ดกาแฟตอนนี้ทั้งหมดนำมาจากไร่กาแฟที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ตอนนี้เจ้าของร้านเอาต้นพันธุ์กาแฟจากดอยช้าง จังหวัดเชียงใหม่ มาเริ่มทดลองปลูกที่วังน้ำเขียวนี่ พอถามว่าแล้วกาแฟเริ่มออกผลหรือยัง น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกว่าเจ้าของร้านเอาใจใส่กับกาแฟมาก เมื่อกาแฟออกผม 4 ปีแรกจะเด็ดผลทิ้งหมด และเริ่มเก็บผลกาแฟในปีที่ 5 เป็นต้นไป ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น น้องพนักงานคั่วกาแฟก็บอกว่า “ที่เด็ดทิ้งเพราะว่าเม็ดกาแฟยังไม่ได้อายุดี ชงก็ไม่อร่อย ไม่หอมเท่าที่ควร” เล่นเอาเจ้าของบล็อกอึ้งไปพักใหญ่ เพราะเพิ่งเคยรู้เรื่องพวกนี้ น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกด้วยว่าต้นกาแฟที่ปลูกที่วังน้ำเขียวให้ผลในปีที่ 5 แล้ว แต่ว่ายังไม่ได้คั่ว ถ้ารสไม่เปลี่ยนไปจากเมล็ดกาแฟที่มาจากดอยช้าง เราจะได้ชิมกาแฟที่ปลูกที่วังน้ำเขียวกันครับ

สำหรับการคั่วกาแฟก็จะใส่เมล็ดกาแฟที่กะเทาะเปลือกออกจนหมดด้านบน แล้วเมล็ดกาแฟจะตกไปอยู่ในหม้อคั่วซึ่งอยู่ตอนกลางของเครื่อง คั่วด้วยความร้อนประมาณ 200 องศาเซลเซียส (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ อิอิอิ) เวลาที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้เมล็ดกาแฟมีความเข้มขนาดไหน ถ้าเป็น dark roast ก็คั่วนานสุดอันนี้เอาไว้ชง Espresso เข้มรองลงมาก็เอาไว้ชงลาเต้ และคั่วแบบอ่อนที่สุดจะเอาไว้ชงมอคค่า (อันนี้เจ้าของอธิบายให้ฟังครับ) เจ้าของร้านบอกว่าโรงคั่วกาแฟจะตั้งอยู่ในชุมชนไม่ได้ ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโรงคั่วกาแฟถึงตั้งอยู่ในชุมชนไม่ได้ แต่เมื่อเมล็ดกาแฟถูกคั่วไประยะหนึ่งถึงได้เข้าใจ เพราะผงเปลือกเมล็ดกาแฟเล็กๆ ที่ยังติดอยู่กับเมล็ดกาแฟดิบลอยออกมาตามปล่องตกลงบริเวณใกล้ไกลเต็มไปหมด นี่ถ้ามีลมแรงๆ เถ้าของเปลือกกาแฟก็จะถูกลมหอบไปตกที่อื่นๆตามแรงลม ดีที่ว่าเรายืนอยู่ภายใต้หลังคาแต่เรายื่นแขนออกไปก็สามารถจับเถ้าเมล็ดกาแฟได้เลยครับ

พอจวนจะได้เวลาเจ้าของร้านก็จะเอาเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วออกมาตรวจสอบดูว่าได้ที่หรือยัง เมื่อเห็นว่าได้ที่แล้วก็จะเทเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วลงในถาดที่มีที่พลิกเมล็ดกาแฟเพื่อให้กาแฟเย็นตัวลงก่อนจะผ่านไปขั้นตอนต่อไป น้องพนักงานคั่วกาแฟบอกว่าเวลาคั่วเมล็ดกาแฟแล้วเมล็ดกาแฟจะคายก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ออกมา เมื่อเมล็ดกาแฟเย็นลงแล้วจะต้องบ่มให้เมล็ดกาแฟหมดก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์เสียก่อนถึงจะบรรจุถุงได้กลับมาหาเมนูที่เราสั่งกันไปครับ

เมนูแรก กาแฟเอสเพรสโซ่ร้อน ราคา 40 บาท


น้องพนักงานชงกาแฟถามก่อนว่าจะทานสูตรของที่ร้านหรือเปล่า ตอนแรกก็งง ก็เลยถามว่าต่างกันอย่างไร น้องพนักงานชงกาแฟเลยอธิบายให้ฟังว่าถ้าเป็นสูตรของที่ร้านจะใส่นมนิดหน่อย หรือถ้าลูกค้าจะไม่ให้ใส่นมเลยก็ได้

พอจิบเข้าปากถึงได้รู้ว่าเหตุผลที่สูตรที่ร้านต้องใส่นมนิดหน่อยก็เพราะว่ากาแฟเข้มดีจริงๆ เข้มแล้วก็มีกลิ่นไหม้ๆอวลๆอยู่ในปากทั้งเมื่อจิบกาแฟและเมื่อกลืนกาแฟลงท้องไปแล้วก็ยังมีกลิ่นไหม้อวลๆอยู่ในปากด้วย แบบนี้เลยครับอย่างที่ชอบ เคยมีคนบอกว่าถ้าจะกินเอสเพรสโซ่ต้องกินให้หมดก่อน “คริสม่า” (คิดว่าได้ยินมาถูกนะ) ของกาแฟจะหมดไป เจ้า “คริสม่า” ของกาแฟก็คือฟองละเอียดๆด้านบนของเอสเพรสโซ่นี่แหละครับ ขอบอกว่า “คริสม่า” เยอะมากกกกกกก แล้วก็อยู่นานด้วย เคยไปกินร้านอื่นๆถ่ายรูปยังไม่เสร็จเจ้า “คริสม่า” ก็หายไปเกือบหมดแล้วอ่ะคราบ อิอิอิแก้วที่สองเป็น มอคค่าร้อน ราคา 40 บาท


แก้วนี้เป็นกาแฟที่คั่วอย่างอ่อนที่สุดชงผสมกับโก้โก้ใส่นมในปริมาณที่เยอะรสชาติของแก้วนี้จะนุ่มๆ หอมๆกลิ่นกาแฟอ่อนๆปนกับกลิ่นของโกโก้แก้วที่สาม ลาเต้ร้อน ราคา 40 บาท


เนื่องจากว่าติดใจเอสเพรสโซ่ครับ เลยไปถอยลาเต้ร้อนมากินอีก 1 แก้ว ทางร้านจะใช้กาแฟคั่วแบบกลางในการชงแก้วนี้นะครับ ความหอมกลิ่นไหม้ๆของกาแฟก็เลยจะไม่เท่าเอสเพรสโซ่ แต่เจ้าของบล็อกคิดว่าถึงเป็นกาแฟคั่วกลางของ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ก็ยังเข้มกว่าร้านอื่นๆๆนะครับ เพราะฉะนั้นเรื่องความหอมกลิ่นกาแฟคั่วของ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว จะมากกว่าที่ร้านอื่นอยู่แล้วคราบ ลาเต้จะใส่ฟองนมมากกว่ากาแฟเอสเพรสโซ่เพราะฉะนั้นก็จะมีความนุ่มของฟองนมมากกว่าครับแก้วสุดท้ายเป็นของล้างปากครับ แดงโซดา ราคา 40 บาท


แก้วนี้อร่อยแบบมาตรฐานครับเจ้าของร้านยังชงชาหญ้าหวานสดผสมใบมินต์สดมาให้เราชิมฟรีๆอีกด้วย รสหวานปะแล่มๆของหญ้าหวานผสมกับกินหอมๆของใบมินต์ช่วยให้สดชื่นขึ้นมากเลยคราบขอขอบคุณฯทั้งเจ้าของร้าน โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว และน้องพนักงานชงกาแฟ กับน้องพนักงานคั่วกาแฟที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟอย่างไม่หวงวิชา และขอบคุณสำหรับกาแฟหอมๆ อร่อยๆ รับรองว่าจะหาโอกาสไปชิมอาหารและผักที่เจ้าของร้านโฆษณาว่าเป็นผักออร์แกนิคจากฟาร์มให้ได้เลยคราบ

เมนูยอดนิยม. มีที่เดียวในโคราช........ ทอดมันหมู. บะเต็งทอด(คอหมูทอดน้ำปลา),2เมนูนี้ *****แนะนำ แพนงปลาเก๋าทอด,แกงปลาหน่อไม้ดอง, ต้มยำหัวปลาแซ่ปโฮ๊กกกกก!! ร้าน17พี่น้องร้านนี้ต้นตำหรับ-ไม่มีสาขา. บางที่ในตัวเมืองโคราชใช้ชื่อนี้. แต่รดชาดกะเมนูคนละแบบแตกต่างกัน. อย่าเข้าใจผิด. ร้านนี้ รดชาดนี้ อยู่ตรง หลังการไฟฟ้า ซอย รร.rcnเก่า. ติดกะkctv ถ้าไปไม่ถูกโทรเข้าร้านได้เลย044-241312 เปิด17.00-01.00 ทุกวัน. เพจร้านนี้ลองเข้าไปดู https://www.facebook.com/pages/โจ๊ก-ข้าวต้ม-17-พี่น้อง-ไม่มีสาขา/298971113635276?rf=182743231753000

เป็นร้านชาและเบเกอรี่ของทางโรงแรม แต่ให้คนนอกมานัางทานได้ มีทั้งหมด 42 ที่นั่ง ชาที่นี่ใช้ของ TWG มีชาซิกเนเจอร์คือเทมส์การ์เด้นด้วย

ที่นี่มีเซ็ตชาและขนมขายราคา 450 ได้กาหนึ่งพ็อตกับขนมหนึ่งชุด และ 600 ได้ชาเพิ่มอีกพ็อต หรือจะสั่งเป็นอย่างๆ

เราถ่ายรูปด้วยมือถือมาไม่ครบ แต่ขอรีวิวทุกอย่างที่กินนะคะ
ชาเทมส์การ์เด้นหอมหวานมาก กลิ่นกุหลาบชมพูเด่น ขณะที่ชาอีกตัวคือ 1837 แบล็คทีจะเข้มข้น กลิ่นเย้ายวนกว่า

มาการง สีม่วงราสเบอรี่ แต่ตัวราสเบอรี่ไม่เด่น ตัวสตรอเบอรี่หอมหวานชัดเจน ตัวพิตตาชิโอ้โอเค

มิลเฟย กรอบดี สตรอเบอรี่ต่อนข้างเปรี้ยว

ตัวสโคนเนื้อซุยแต่แน่นนิ่มหอมเนยดี มีแยมสตรอเบอรี่ คอตเท็ตครีมและเนย แยมสตรอเบอรี่ไม่หวานดี ตัวคอตเท็ตครีมหวานอ่อนๆ ชอบตัวรสลูกเกดมากกว่าแบบเพลน

ฮันนี่โทสต์ไอศกรีมวานิลาอร่อยดีไม่เหมือนไอศกรีมวานิลาที่อื่น รู้สึกเหมือนมีรสคล้สยน้ำผึ้งกับถั่วจางๆ แต่ขนมปังยังสู้อาฟเตอร์ยูไม่ได้

ร้านที่จะมาแนะนำในวันนี้เป็นร้านสุดท้ายที่ได้ไปชิมมาในทริปเขาใหญ่ครับ เป็นร้านขนมชื่อดังของเขาใหญ่ครับ แต่ร้านไม่ได้หรูมาก เป็นร้านเค้กกับกาแฟธรรมดาๆ แต่ว่าขึ้นเป็นร้านขนมขึ้นชื่อแถวเขาใหญ่เลยครับ เรียกว่าแขกไปใครมาก็ต้องมาแวะทานขนมร้านนี้ทั้งนั้นเลยครับ

บ้านเค้ก เขาใหญ่

วิธีการมาร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ ใช้ถนนมิตรภาพ เลี้ยวเข้าถนนธนะรัชต์ ขับตรงมาประมาณที่กิโลเมตรที่ 14 ร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ จะอยู่ทางขวามือ ตรงปากทางเข้าภูวนาลี รีสอร์ท และทางเข้าบ้านใหม่สามัคคี หมู่ 2 ครับ จุดสังเกตก็คือตรงร้านบ้านเค้กเป็นอาคารแถวชั้นเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้า บ้านเค้ก เขาใหญ่ จะเป็นร้านแรกติดกับทางเข้าภูวนาลี รีสอร์ทครับ

ตัวร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ เป็นอาคารแถวชั้นเดียวอย่างที่บอกครับ ตรงหน้าร้านทำเป็นยกพื้นเพื่อเป็นเฉลียงหน้าร้านแบบไม่มีหลังคากว้างๆ มีโต๊ะนั่งขนาด 2-4 คนนั่งประมาณ 3-4 ชุด ตกแต่งคล้ายอยในสวนแบบอังกฤษหน่อยๆ สุดเฉลียงจะเป็นยกพื้น 1 step เป็นระเบียงหน้าร้านแบบมีหลังคาคลุม ด้านข้างมีโต๊ะนั่งอยู่ 2 ชุด แล้วถึงจะถึงตัวร้านซึ่งเป็นห้องโล่งๆ มีเค้าน์เตอร์ชงกาแฟ ตู้แช่เค้ก แล้วก็มีชุดโซฟารับแขก 3 ชุดเท่านั้น แต่เมือรวมโต๊ะทั้งหมดในร้านก็จะมีโต๊ะ 10 ชุด ก็รองรับลูกค้าได้ถึง 20 -30 คนได้ทีเดียวครับร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ เค้าดังเรื่องเค้กอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเค้กจะมีเต็มตู้ทุกวันครับ ก็จะมีเค้กส้มหน้านิ่ม ชอคหน้านิ่ม เค้กมะพร้าวอ่อน ประมาณนี้นะครับ แต่วันที่ไปก็จะมีเค้กให้เลือก 5-6 ชนิดครับเจ้าของร้านเชิญชวนให้ลอง กาแฟจ้ำบ๊ะเย็น ราคา 40 บาท
เป็นกาแฟเย็นใส่ฟองนมถึง 1/3 ของแก้ว คล้ายๆคาปูชิโน่แต่รสกาแฟเข้มกว่า ประมาณกาแฟโบราณแบบไทยๆนี่แหละครับ ใส่ใส่น้ำหวานสีแดงลงไปด้วย คือรสชาติของกาแฟก็เข้มข้นออกไปทางขมๆอยู่แล้วนะครับ มาเจอรสชาติของน้ำหวานสีแดงซึ่งหวานจัดๆเข้าไปอีก โดยส่วนตัวผมว่ารสชาติมันผะอืดผะอมอ่ะครับ มันเข้มไปหมดครับ ไม่อร่อยเลยเค้กที่สั่งมาเป็นเค้กสุดฮิตของ ร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ คือ เค้กมะพร้าวอ่อน ราคา 55 บาท


เอาส่วนที่ดีก่อนนะครับ คือเค้กแต่ละชิ้นการตัดเค้กดีมากครับ เป็นชิ้นสวยงาม ไม่เหมือนร้านบ้านใกล้วังที่ตัดเค้กแห่วงๆ เว้าๆ ครีมที่ปาดระหว่างชั้นก็ไม่หนาจนเกินไปนัก ..... จบข้อดีครับ

มาต่อส่วนที่ต้องติกันบ้าง ..... อย่างแรกหน้ามะพร้าวอ่อน ..... หน้าเค้กไม่ขาวสวย เป็นสีดำๆ คล้ำๆ ตุ่นๆ ครับ รสชาติก็เฉยๆนะครับ ไม่ได้อร่อยมาก (เฉพาะตัวหน้าเค้กนะครับ) มะพร้าวอ่อนที่ใส่ในหน้าเค้กก็มีปริมาณที่ธรรมดามากครับ

ส่วนของเนื้อเค้กบอกได้เลยครับว่าสอบตก เนื้อเค้กหยาบมากกกกกกกกกกกก ไม่มีนุ่ม ความหวาน หอม มันใดๆเลยครับ มีเพื่อนคนนึงบอกว่าเจ้าของร้านเค้าตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น ... แต่ผมไม่ค่อยเชื่อครับ เพราะไม่มีแม่ค้าเค้กที่มีจรรยาบรรณคนไหนปผล่อยให้เนื้อเค้กที่ขายแย่ขนาดนี้ครับ แล้วลองสังเกตดีๆนะครับ เค้กทำเป็น 2 ชั้น ใช้วิธีอบ 2 ก้อนแล้วนำมาซ้อนกัน แต่เค้าอบทั้ง 2 ก้อนแก่ไฟหรือใช้เวลานานจนเกินไปครับ เลยทำให้ทั้ง 2 ก้อนนั้นหน้าเข้มไปนิดครับ เข้มจนสังเกตได้เลยครับ และเนื่องจากเค้าแบ่งอบเป็น 2 ก้อน (ไม่ได้อบก้อนเดียวแล้วเอามาแบ่ง) พอหน้าและก้นเข้มเกินไปจึงไม่สามารถเฉือนส่วนที่เข้มได้ เพราะเค้กที่แบ่งอบ 2 ก้อนมีปริมาณเนื้อเค้กน้อยอยู่แล้วครับแต่ถ้าถามว่าจะกลับไปร้านนี้อีกมั๊ย .... ผมจะกลับไปชิมเค้กอื่นๆอีก และชิมกาแฟแบบธรรมดาๆทั่วๆไปอีกครั้งครับ เพราะด้วยชื่อเสียงของร้านผมเลยอยากจะลองแก้ตัวกับ ร้านบ้านเค้ก เขาใหญ่ อีกครั้งครับ

วันนี้มาตามสัญญาครับ ที่สัญญากันเอาไว้ว่าจะพามาชิมร้านอาหารตกแต่งสไตล์อังกฤษอยู่ด้านหน้า Thames Valley และ ร้าน Clotted Cream กันไงครับ

The Castle, Thames Valley เขาใหญ่

การเดินทางมา Thames Valley เขาใหญ่ ก็ง่ายมากครับ จากถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนะรัชต์ แล้วขับตรงมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ของ Thames Valley เขาใหญ่ เค้าบอกว่าระยะทางจากถนนมิตรภาพมาถึง Thames Valley เขาใหญ่ ประมาณ 18 กิโลเมตรครับ Thames Valley เขาใหญ่ จะอยู่ทางขวามือ อยู่ก่อนถึง Palio กับโรงแรม Balios ครับ ร้าน The Castle ซึ่งเป็นร้านอาหารของ Thames Valley ตั้งอยู่ด้านหน้า Thames Valley หน้าร้านขนม Clotted Cream เลยครับ ดูไปดูมาผมว่าทางเข้าร้าน The Castle นี่จะใหญ่กว่าทางเข้า Thames Valley อีกครับ เลยดูเหมือนว่าร้านอาหาร The Castle อยู่แยกออกมาจาก Thames Valley ครับ

เราต้องขึ้นบันไดซึ่งสูงประมาณตึก 1 ชั้นกว่าจะถึงประตูร้าน ภายในร้านตกแต่งคล้ายๆปราสาทในยุคกลางของอังกฤษ ตัวร้านตกแต่งด้วยหินก้อนๆสลับกับอาคารที่ทำด้วยอิฐแดงทำให้นึกถึงปราสาทในอังกฤษยุคกลางต่อเติมด้วยอิฐสีแดงๆให้เหมือนอาคารในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษส่วนภายในร้านก็ดูโอ่โถงมากๆครับ ตรงกลางร้านจะดูโล่ง โปร่งเป็นพิเศษกว่าส่วนอื่นของร้านเพราะเป็นส่วนเดียวของร้านที่เป็นโถงสูง 2 ชั้น รอบข้างกรุด้วยกระจก ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ของตกแต่งที่ดูเก๋ไกร๋ที่สุดและมีชิ้นเดียวตรงส่วนนี้ก็คือ ตู้หนังสือ (ปลอม) สูงท่วมหัว แต่ทำได้เหมือนมากๆครับ ดูๆไปยังอยากไปหยิบหนังสือมาอ่านซักเล่ม 2 เล่ม อิอิอิภายในร้านทั้งร้านทาสีเทาๆ และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวๆ – เทาๆ ทำให้ร้านยิ่งดูกว้างขึ้นกว่าความจริงมาก (จริงๆร้านก็กว้างอยู่แล้วนะครับ) โต๊ะ เก้าอี้ที่ใช้ในร้านส่วนใหญ่เป็นสไตล์คล้ายๆกัน เก้าอี้ทุกตัวก็จะบุนวม ดูคล้ายเฟอร์นิเจอร์ในปราสาทที่อยู่ในชนบทของอังกฤษ หรือพูดให้หรูหราอีกนิดเหมือนกับในปราสาทสำหรับล่าสัตว์ของอังกฤษเลยครับ อิอิอิ
ภายในร้านมีโต๊ะกว่า 20 ตัวครับ สามารถรับรองลูกค้าได้กว่า 50 คนแน่ๆครับ นอกจากจะเสิร์ฟอาหารแบบ a la carte แล้วทุกๆวันเสาร์ – อาทิตย์ ยังบริการบุฟเฟต์อาหารนานาชาติ ท่านละประมาณ 500 – 600 บาทครับ เห็นคนเลือกจะมาทานอาหารบุฟเฟ่ต์กันเยอะทีเดียว ก็เลยไม่ได้เดินเข้าไปดูที่ไลน์บุฟเฟ่ต์ว่าเค้ามีอะไรกันบ้างครับเมนูร้านนี้เก๋ตามกระแสอินเทรนด์ครับ (แต่อยากจะบอกว่าไปชิมร้านอาหารที่เขาใหญ่มา 9 ร้าน ร้านนี้เป็นร้านที่ 3 ที่มีเมนูแบบนี้ 1/3 นี่มันมากไปมั๊ยครับ ฮ่าๆๆ)สั่ง สมูตตี้สตรอเบอรี่ ราคา 150 บาทมากินก่อนครับ
ไม่ได้ใช้สตรอเบอรี่สดนะครับ แต่รสชาติก็อร่อย เข้มข้น หวานมัน ถูกใจทีเดียวครับเมนูแรก ซีซาร์สลัดใส่ไก่ (Chicken Ceasar salad) ราคา 220 บาท
นับว่าเป็น ceasar salad ที่จัดเสิร์ฟได้สวยงามมากมาย สวยที่สุดตั้งแต่ได้กิน ceasar salad ในเมืองไทยเลยทีเดียว ผักคอสทุกชิ้นถูกน้ำสลัดเคลือบมาอย่างดีทีเดียว แล้วมีชิ้นไก่อบชิ้นใหญ่ๆ มีเบคอนทอดกรอบโรยหน้า มีกรูตองค์หรือขนมปังกรอบโรยหน้ามานิดหน่อย เพราะเค้าแนบขนมปังกระเทียมกรอบ หอม มาด้วยอันใหญ่ๆอันนึง รสชาติของน้ำสลัด Ceasar dreassing อร่อย ถูกปากมากๆครับ ถ้ากินทุกอย่างรวมกันในคำเดียวกันจะอร่อยมากขึ้นครับจานที่สอง พอร์ค ชอป (Pork Chop) ราคา 450 บาท
จานนี้ถึงกับกรี๊ดดดดดด ดังๆเลยคราบ พอร์คชอปชิ้นใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกก เสิร์ฟมาบนเขียงไม้อันใหญ่ทั้งชิ้น เคียงด้วย chips อันเบ้งๆทอดกรอบ สลัด และน้ำจิ้ม 2 รสชาติ (แต่ทำไมมี 3 ถ้วยก็ไม่รู้) มีน้ำเกรวี่ และแจ่วรสเด็ด
พอร์ชอปถูกย่างมาแบบ medium rare ยังเห็นน้ำสีชมพูๆไหลออกมาเวลาหั่น เนื้อหมูสุกแค่เป็นสีชมพูๆ นุ่มมากๆ มีรสชาติครบจากการหมัก ปรุงรสอย่างดี ที่อรุ่อยที่สุดเห็นจะเป็นตรงปลายๆชิ้นเนื้อที่เป็นมัน มันช่างนุ่ม ชุ่มฉ่ำเสียจริงๆครับเมนูที่สาม Fish & Chips ราคา 380 บาท
มากินอาหารในร้านสไตล์อังกริ๊ดดดด ... อังกฤษแบบนี้ก็ต้องสั่งเมนูประจำชาติอังกฤษมาชิมกันนะครับ Fish & Chips นี่ถือเป็นเมนูประจำชาติของคนอังกฤษเลยครับ หน้าตา Fish & Chips ที่ร้าน The Castle นี่คล้ายๆกับ Fish & Chips ที่ขายกันอยู่ในประเทศอังกฤษเลยครับ เนื้อปลาชิ้นใหญ่ๆ หนาๆ ชุบแป้งทอดมาแบบกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมกับ chips แท่งใหญ่ๆ กรอบนอกนุ่มในเช่นกัน และมี ทาร์ทาร์ซอสและ mashed pea เหมือน Fish & Chips ต้นตำหรับด้วยครับ เวลาทานก็มองบรรยากาศในรอบๆร้านด้วย จะให้ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ในอังกฤษเรยคราบ อิอิอิเมนูที่สี่ สปาเกตตี้พะแนงไก่ ราคา 250 บาท
เมนูนี้คนที่ชอบรสจัดๆ เค็ม หวาน เผ็ด ไม่แนะนำให้สั่งเมนูนี้ครับ เพราะซอสพะแนงรสชาติเป็นแบบฝรั่งทานมากครับ ไม่เค็ม ไม่เผ็ด ไม่หวาน รสนวลๆ ไม่แน่ใจว่าใช้ครีมเป็นส่วนผสมหรือเปล่าต่รสชาติมันออกมันๆ นวลๆ ยังไงไม่รู้ครับ ผมเป็นคนที่ชอบรสชาติที่เด่นชัด เช่นพะแนงต้องเผ็ด หวานๆ หอมน้ำพริกแกง ก็เลยรู้สึกว่าเมนูนี้ไม่ถูกปากเอาเสียเลยครับ แต่ถ้าเป็นต่างชาติไม่คุ้นเคยกับอาหารรสจัดแบบคนไทยอาจจะเห็นว่ารสดีก็ได้นะครับเมนูที่ห้า สปาเกตตี้ขี้เมาทะเล ราคา 250 บาท
เมนูนี้สุดยอดไปเลยครับ เส้นลวกมาแบบ al dente’ แบบที่นิยมกันในต่างประเทศ (เมืองไทยชอบลวกกันแบบสุกเกิ๊น) ผัดกับเครื่องปรุงและเครื่องทะเลที่ค่อนข้างสดใหม่ รสชาติแซ่บถูกใจมากๆครับ หอมพริก หอมกระเทียม รสชาติจัดทีเดียว เผ็ด หวานเค็ม แล้วก็ผัดมาแบบไม่มันซะด้วยครับ เมนูถูกใจมากๆเลยคราบเมนูสุดท้าย เป็ดพะโล้ผัดกระเพรา ราคา 350 บาท
เมนูนี้ก็ถูกใจอีกแล้วครับ เป็ดพะโล้เลาะเอาแต่เนื้อนุ่มๆ เอามาผัดกับเครื่องผัดกระเพรา มี พริก กระเทียม ใบกระเพรา ปรุงรสเผ็ดจัดนำ มีรสเค็มและหวานนิดเดียว ผัดมาแบบไม่มันและมีน้ำขลุกขลิกพอให้เอามาคลุกข้าวได้ เมนูนี้ได้ข้าวสวยจานโตๆ และพริกน้ำปลา เท่านี้ก็สุขใจแล้วคราบบบร้าน The Castle เป็นร้านอาหารใน theme อังกริ๊ดดดด ... อังกฤษ ที่มีบรรยากาศดีมากๆ การบริการก็ดูเรียบร้อย น่าชมเชย อาหารก็อร่อย ถูกปากซะเป็นส่วนใหญ่ครับ ถ้าอยากได้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากบรรยากาศแบบอิตาลีก็มาลองสัมผัสกันได้ครับ
 

ที่เขาใหญ่นี่มีร้านขนมเยอะจริงๆนะครับ มีเยอะจนกินไม่หวาดไม่ไหว ขนาดว่าไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน ไปกินขนมแบบเป็นอาหารว่างๆ ไม่นับมื้อในอาหารหลักยังไปชิมมาไม่หมดเลยครับ Entry นี้ก็ยังเป็นร้านขนมเหมือนกันครับ แต่จะแตกต่างจากร้านอื่นๆยังไงไปติดตามกันเลยครับ ..... ขอกระซิบว่าไม่ได้มีบรรยากาศแบบอิตาลีเหมือนร้านอื่นๆด้วยนะคราบ

Clotted Cream, Thames Valley เขาใหญ่

การเดินทางมา Thames Valley เขาใหญ่ ก็ง่ายมากครับ จากถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนะรัชต์ แล้วขับตรงมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ของ Thames Valley เขาใหญ่ เค้าบอกว่าระยะทางจากถนนมิตรภาพมาถึง Thames Valley เขาใหญ่ ประมาณ 18 กิโลเมตรครับ Thames Valley เขาใหญ่ จะอยู่ทางขวามือ อยู่ก่อนถึง Palio กับโรงแรม Balios ครับ ร้าน Clotted Cream เป็นร้านขนมของ Thames Valley ตั้งอยู่ด้านหน้า Thames Valley หลังร้านอาหาร The Castle (ซึ่งจะพาไปชิมใน Entry ถัดไปครับ อิอิอิ)

Thames Valley เป็น Theme รีสอร์ทแห่งใหม่ของเขาใหญ่ครับ ท่าว่าคงจะเบื่อบรรยากาศแบบอิตาลี ก็เลยสร้างบรรยากาศให้เป็นแบบอังกรี๊ดดดดด อังกริดดดด โดยสมมุติให้รีสอร์ทเป็นเมืองเล็กๆในชนบทอยู่บนฝั่งแม่น้ำเล็กๆ ดูเผินๆแล้วคล้ายๆกับเมือง Stratford Upon Avon เลยครับ คิดว่าถ้าต้นไม้ต้นไร่โตกว่านี้ซักนิด คงจะคล้ายกว่านี้มากครับร้าน Clotted Cream เป็นร้านขนมกับร้านกาแฟอยู่ด้านหน้ารีสอร์ท แต่อยู่ด้านหลังร้าน The Castle ความที่ร้าน Clotted Cream อยู่ด้านหลังของร้าน The Castle ทำให้มีจุดเด่นมากๆ เพราะจากในร้าน Clotted Cream สามารถมองเห็นตัวรีสอร์ทได้ทั้งหมด ได้บรรยากาศแบบอังกรี๊ดดดดด อังกริดดดดดดด เลยครับภายในร้าน Clotted Cream ก็ตกแต่งสไตล์ชนบทอังกฤษ มีโน่นนิด นี่หน่อย ให้ได้กลิ่นอายอังกฤษน้อยๆ ไม่ใช่แต่งแบบเอาเหมือน (เพราะถ้าแต่งให้เหมือนเลยมันคงจะไม่เหมือนอยู่ดีแหละครับ) เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในร้านเป็นแบบ mix and match ทำให้ได้บรยากาศแบบอังกฤษดีมากๆเลยครับ แต่ในร้านก็ยังคุมโทนมีขาวๆ ฟ้าๆ ทำให้ดูสบายตามากครับ นั่งเพลินๆ จิบชาร้อนๆ กินขนมไปด้วย แหมมมม ... ช่างมีความสุขซะจริงๆเลยครับเราสมมุติให้เรามาปิกนิกแบบอังกฤษกันครับ (ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เป็นเพราะเพิ่งอิ่มอาหารเช้ามากันหยกๆ แล้วก็มารอพี่ที่รู้จักกันพาไปกินของอร่อยที่ร้าน The Castle นั้นแหละครับ ถึงได้กินอะไรมากไม่ได้ อิอิ) เราก็เลยสั่ง ชุดชา + สโคน ราคา 280 บาท มากินกันครับ ไม่ได้ถามราคาแยกกันนะครับเลยไม่รู้ว่าชาเท่าไหร่และสโคนเท่าไหร่สำหรับชาเป็นชายี่ห้อ TWG ชาสัญชาติสิงคโปร์ครับ เคยทานยี่ห้อนี้บ่อยพอๆกับ Twinnings เลยครับ ผมว่าชา TWG นี่เค้าจะเด่นชาที่เป็นชาดำ กลิ่นแบบผสมเครื่องเทศอ่ะครับ แต่สั่ง English Breakfast มาแทนเพราะไม่อยากกินชารสเข้มมากๆ เดี๋ยวก็ต้องไปกินอาหารมื้อหนักๆแล้วครับScone Set ครับ

ขอบอกว่า scone ที่ร้านนี้อร่อยมากๆจริงๆครับ scone ของร้าน Clotted Cream จะมีแต่ scone ธรรมดาเท่านั้นนะครับ รูปร่างก็สวยงาม เนื้อ scone ก็เนียนสวยมีรอยแตกตรงกลาง เนื้อสัมผัสของ scone ไม่ร่วน ไม่แห้งจนเกินไป สามารถกินเปล่าๆได้โดยไม่ติดคอ เนื้อสโคนชุ่มเนยมากครับที่ร้าน Clotted Cream เค้าจะเสิร์ฟ scone ได้อลังการมากๆครับ จะมีทั้งครีม clotted cream และแยมสตรอเบอรี่แบบโฮมเมดที่สตรอเบอรี่ลูกโตๆใส่มาด้วย ต่างจากร้านอื่นๆที่เคยไปทาน scone มาครับ เพราะบางร้านจะเสิร์ฟ scone กับเนยและแยมผลไม้ บางร้านก็เสิร์ฟ scone กับ clotted cream กับแยม แต่ในเมืองไทยหาร้านที่จะเสิร์ฟ scone กับ clotted ยากมากครับClotted cream ที่ร้านนี้ก็พิเศษกว่าร้านอื่นๆ เพราะเป็น clotted cream สีเหลืองๆ เนื้อ clotted cream นุ่ม มัน หอม หวานนิดๆ อร่อยมากเลยครับ

ร้าน Clotted cream เป็นร้านขนมในบรรยากาศแบบชนบทอังกฤษที่น่ามานั่งชิลล์ๆ จิบชาไป เล็ม scone ไป ชื่นชมกับทัศนียภาพของรีสอร์ทไป นับว่าเป็นความสุขอย่างนึงจริงๆนะครับ

วันนี้พักท้องจากของหนักๆมาเป็นของเบาๆ ในบรรยากาศดีๆ แบบอิตาลี๊ .... อิตาลี่ กันบ้างนะครับ พักนี้เค้าฮิตกันจังนะครับ บรรยากาศแอบอิตาลีนี่ ไม่รู้ว่าทำไม โดยส่วนตัวคิดว่าบรรยากาศแบบอิตาลีมันสวย มีสเน่ห์มากๆครับ วันนี้ก็จะพาไปจิบกาแฟแกล้มขนมอร่อยๆ ที่สถานที่ท่องเที่ยวแห่ง (เคย) ใหม่กันนะครับ

Primo Café, Primo Piazza เขาใหญ่

สถานที่ตั้งของ Primo Piazza เขาใหญ่ ก็ตั้งอยู่ที่เดียวกับ Promo Prosto ที่ปิดไปแล้วนั่นแหละครับ แต่ส่วนของ Primo Piazza เค้าสร้างขึ้นมาใหม่ครับ ตัวผมเองก็ไม่เคยไป Promo Prosto เหมือนกันครับ แต่การเดินทางไปไม่ยากเลยครับ จากถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนะรัชต์ ขับตรงมาเรื่อยๆจนจวนๆถึงทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จุดสังเกตคือจะผ่านกรีนเนอรี่รีสอร์ททางขวามือ ให้เลี้ยวขวาตรงแยกไฟแดงไปทางเส้นผ่านศึก – กุดคล้า ขับตรงต่อไปอีกไม่ไกลครับ อีกประมาณ 4 กิโลเมตรก็จะถึง Primo Piazza อยู่ทางขวามือเลยครับ รับรองไม่หลงแน่ๆ เพราะมีป้ายใหญ่โตเลยครับ

แต่ว่าการจะเข้าไปเดินชม Pirmo Piazza นี่จะต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 100 บาทนะครับ จำไม่ได้ว่าบัตรเข้าชมนำไปเป็นส่วนลดค่าอาหารได้หรือเปล่า (ไม่น่าจะได้นะครับ) ภายใน Primo Piazza ก็จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟ 2-3 ร้าน มีตัวอัลปาก้าให้ดู และมีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะแยะเลยครับ

Pirmo Piazza ก็เช่นเดียวกับสถานที่ส่วนใหญ่ในเขาใหญ่ที่สร้างเลียนแบบเมืองเล็กๆในอิตาลี มีลานกว้างๆ หรือ ปิแอสซ่า (Piazza) ในภาษาอิตาเลียนมีร้านค้าต่างๆ ร้านกาแฟ ร้านอาหารอยู่รายรอบ ส่วยใหญ่จะสร้างด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงๆ ทำให้ดูเก่าๆหน่อย จะได้คล้ายๆกับเมืองเล็กๆในอิตาลีมากยิ่งขึ้นครับ

Primo Café จะอยู่ทางขวามือใกล้กับทางเข้า Primo Piazza ครับ ทางเข้าร้าน Primo Café จะมี 2 ทางครับ คือเดินผ่านทางเข้า Primo Piazza แล้วเดินไปทางขวามือหรือว่าจะเดินไปจนสุดล็อกแรกทางขวามือก็จะมีทางเข้าอีกทางหนึงครับร้าน Primo Café เป็นร้านกาแฟและเบเกอรี่ทีมีขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ มีที่นั่งเท่าที่นับๆดูทางด้านใน 10 กว่าโต๊ะ ไม่รวมกับโต๊ะที่อยู่ด้านนอกซึ่งเป็นบริเวณสำหรับซื้อกาแฟแบบ take away ครับ โต๊ะที่อยู่กลางแจ้งสำหรับ take away นี่มีไม่ต่ำกว่า 15 โต๊ะครับ

การตกแต่งภายในร้านก็เป็นแบบสบายๆ เหมือนทานกาแฟอยู่ในบ้านตัวเองครับ เฟอร์นิเจอร์ในร้านเป็นไม้สีอ่อนๆ (อันนี้ผมว่าขัดกับการตกแต่งภายนอกมากๆ เพราะการตกแต่งแบบอิตาเลียนรัสติกไม่ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนๆแน่ๆ เพราะฉะนั้นการตกแต่งจึงยังไม่ทำให้ผมเชื่อเท่าไหร่วาอยู่ในเมืองเล็กๆของอิตาลี) ตัวร้านมี 2 ชั้น แต่ชั้นบนของร้านสามารถขึ้นไปได้หรือเปล่าไม่แน่ใจนะครับ เพราะอาคารแบบนี้ส่วนใหญ่ชั้น 2 ส่วนใหญ่มักจะทำหลอกๆเอาไว้เท่านั้นครับ พอดีไม่ได้เดินขึ้นไปดูซะด้วย อิอิอิ
หน้าร้านอีกทางด้านนึงมีขนมเค้กให้เลือกมากมายครับ ถัดเข้ามาในร้านก็จะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับชงกาแฟ ถัดเข้ามาในสุดก็จะเป็นที่นั่งสำหรับกาแฟรู้สึกว่าจะเป็นกาแฟของ illy นะครับ (ถ้าผิดท้วงได้นะครับ เพราะเมนูเหมือนกับที่ Vino Café ที่ Toscana Valley ครับ) รสชาติเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว (เสียแต่ว่าไม่ค่อยหอม) ครับ ผมเลือกสั่ง คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

1

คาปูชิโน่ร้อน (Hot cappuccino) ราคา 95 บาท - กาแฟอร่อยแบบม าตรฐาน แต่ไม่ค่อยหอม ...

สำหรับขนมผมเลือกมา 2 ชิ้นครับ
ชิ้นแรก พายมูสมะม่วง ราคา 110 บาท
อร่อยตามมาตรฐานครับ ไม่ได้อร่อยโดดเด่นอะไร จะมีดีก็ตรงที่มะม่วงเยอะเท่านั้นเองทั้งในเนื้อมูสและทั้งที่แต่งหน้ามา จนบางทีก็แอบสงสัยว่า “จะเยอะไปไหน”ชิ้นที่สอง พายชอคโกแลตกล้วย ราคา 120 บาท
ชิ้นนี้ถูกปากมากครับ ชั้นล่างสุดเป็นพายครัสต์กรอบๆ ไม่หนามาก ชั้นตรงกลางเป็นไส้ชอคโกแลตเข้มๆ เนื้อเหนียวหนุบหนับกำลังดี ชั้นบนเป็นกล้วยหอมสไลด์ให้มาอย่างเต็มที่เลยครับ แล้วยังราดซอสชอคโกแลตมาให้อีกตอนเสิร์ฟครับ เรียกได้ว่าเอาใจ chocolate lovers กันเต็มๆเลยครับร้านกาแฟ Primo Café เป็นร้านกาแฟที่อยู่ใน Primo Piazza ร้านก็สวย บรรยากาศก็ดี ขนมและกาแฟเค้าก็ใช้ได้นะครับ นั่งจิบกาแฟแล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบอิตาลี ก็เกร๋ดีไม่หยอกนะครับ

Chubby Lawyer’s Café’ ………………………………… ร้านอร่อย ....... ตามใจฉัน

สำหรับวันนี้ก็ยังเป็นการแนะนำร้านอาหารในทริปเขาใหญ่อยู่เช่นเดิมครับ ในวันนี้จะพาไปทานอาหารในร้านสวยๆ ร้านอยู่ในไร่องุ่น มีกลิ่นอายของชนบทฝรั่งเศสเล็กๆ ครับ

Vin Cotto, ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่

การเดินทางมาไร่องุ่นกรานมอนเต้นั้นมาง่าย แต่ค่อนข้างจะไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมที่อยู่ในเขาใหญ่หน่อยนะครับ จากเส้นถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าถนนธนรัตช์ วิ่งตรงมาจนถึงแยก ผ่านศึก – กุดคล้า (เลยโรงแรมกรีนเนอรี่มานิดเดียว) เลี้ยวขวาเข้าเส้นผ่านศึก – กุดคล้า วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ผ่าน Primo Piazza ทางขวามือ ขับตรงไปเรื่อยๆ ระยะทางจากแยก ผ่านศึก – กุดคล้าจนถึงไร่องุ่นกรานมอนเต้ประมาณ 13 กิโลเมตรครับ ตามรายทางมีป้ายบอกเป็นระยะๆครับ รับรองไม่หลงแน่ๆ ถ้าถึงไร่ พี.บี วัลเล่ย์แล้ว แสดงว่าเลยคราบ อิอิอิ

ร้านอาหาร Vin Cotto เป็นร้านอาหารที่อยู่ในไร่องุ่นกรานมอนเต้ครับ อยู่บริเวณใกล้ๆกับอาคารหลักที่ขายไวน์เลยครับ แต่ตัวร้านอาหารจะต้องเดินไปจากที่จอดรถนิดนึงนะครับ แต่ผมว่าดีทีเดียวที่ตั้งร้านอยู่ห่างจากที่จอดรถเล็กน้อย เพราะจะได้เห็นตัวร้านเต็มๆ ตัดกับสนามหญ้าสีเขียวสดและต้นไม้ที่ปลูกอยู่หน้าร้านให้บรรยากาศแบบ Chalet ในแถบตอนใต้ของฝรั่งเศสครับตัวร้านปลูกเป็นร้านแบบ Stand alone ลักษณะเหมือน Chalet แบบฝรั่งเศสทางตอนใต้ขนาดใหญ่ มีที่นั่งทั้งภายนอกและภายใน พอเข้าไปในร้านก็จะเจอส่วนต้อนรับแขกก่อน แล้วจะมีพนักงานพาไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงาม เราไปทานมื้อกลางวันในวันธรรมดาพนักงานจัดให้นั่งทานในห้องหลักของร้าน เป็นห้องโถงขนาดใหญ่จุคนได้กว่า 50 คน ที่เฉลียงด้านนอกห้องก็ยังมีโต๊ะอีกจำนวนหนึ่ง ความจริงโต๊ะที่บรรยากาศดีที่สุดน่าจะเป็นโต๊ะด้านหลังร้านที่เป็นลานยื่นออกไปในสระบัว เห็นมีคนบอกว่าสวยมากๆ แต่ว่าตอนที่เราไปกันบัวในสระตายหมดครับ เค้าก็เลยไม่ได้จัดโต๊ะเอาไว้ให้เมนูอาหารก็จะเป็นอาหารตะวันตกทั้งหมดนะครับ เริ่มตั้งแต่ Appitizer, Main Course จะมีทั้งอาหารทะเล เนื้อ แกะ และไก่ และของหวานครับก่อนที่จะเอาอาหารมาเสิร์ฟ เค้าจะเอาขนมปังกับเนยมาเสิร์ฟก่อน เป็นขนมปังที่แข็งที่สุดที่เคยกินมาครับ ท่าทางจะเป็นการเอาขนมปังที่ทำไว้แล้วไปอุ่นในไมโครเวฟนะครับ อันนี่เสียใจเป็นอย่างยิ่งครับ ที่พ่อครัวไม่ให้เกียรติลูกค้าที่มาทานอาหารเลย การอุ่นด้วยไมโครเวฟนี่มันใช้ได้บางกรณีเท่านั้นนะครับ บางกรณีก็ต้องใช้ตัวช่วยเล็กน้อย เช่นใช้ภาชนะนึ่งของในไมโครเวฟอุ่นซาลาเปาเพื่อจะได้นุ่ม และร้อนในเวลาเดียวกัน การอุ่นขนมปังนี่จะใช้ไมโครเวฟไม่ได้เลยครับ เพราะจะทำให้ขนมปังแข็งมากกกกก (เหมือนเวลาที่อุ่นปลาท่องโก๋ในไมโครเวฟ) การอุ่นขนมปังจะต้องเอาไปอุ่นในเตาอบเม่านั้นครีบ ถึงจะได้ขนมปังที่ร้อนทั่วแลนุ่มเหมือนตอนสุกใหม่ๆ ผมถือว่าเป็นสิ่งที่เชฟจะต้องรู้นะครับ ขนาดผมยังรู้ เชฟคนไหนก็จะต้องรู้ครับมาถึงไร่องุ่นจะไม่สั่งไวน์มากินก็กระไรอยู่นะครับ แต่คุณชายเธอบอกว่ายังวันอยู่เลย จะกินไวน์แล้วเหรอ .... ในเมื่อเธอไม่กิน จะสั่งมากินคนเดียวก็กระไรอยู่นะครับ ก็เลยสั่งน้ำองุ่นสดมาทานกัน
สีคล้ายๆไวน์แดงครับ ยิ่งพอใส่แก้วไวน์แล้วยิ่งเหมือนไวน์แดงเข้าไปใหญ่ รสชาติก็คล้ายๆไวน์แดงครับ มีรสเฝื่อนๆจากเปลือกองุ่นก่อนนิดหน่อย แล้วก็มีรสหวานไม่มากครับ แต่ชื่นใจชะมัด ..... ดื่มมากๆก็คิดว่าเมาไวน์ได้เลยครับ อิอิอิอย่างแรกที่สั่งมาทานเป็น Appitizer ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของทางร้านครับ สลัดกุ้งองุ่นสด ราคา 210 บาท
ไหนๆก็มาถึงไร่องุ่นแล้วก็ต้องเลือกชิมเมนูอะไรที่มีส่วนประกอบของไร่องุ่นบ้างครับ ตอนที่เค้ายกมาเสิร์ฟก็งงๆครับ นึกว่าเป็นเมนูสลัดที่ทางร้านแถมมาให้ เพราะขนาดของสลัดจานนี้เล็กมากๆไม่ค้มกับราคา 210 บาทเลยครับ ความอร่อยของสลัดก็ให้แค่ผ่านครับ น้ำสลัดกับผักอร่อยดีครับ แต่องุ่นมันไม่เข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจานครับ คือทางร้านเอาองุ่นไปคลุกน้ำสลัดมาก่อน แล้วจัดลงจาน วางผักสลัดลงไป ใส่กุ้งต้ม โรยด้วยอัลมอนด์ องุ่นที่คลุกน้ำสลัดมันก็เลยไม่เข้ากับอะไรเลยอ่ะครับเพราะองุ่นมันเป็นลูกกลมๆ ต้องใช้ความพยายามในการจิ้มด้วยส้อมลูกองุ่นถึงจะติดขึ้นมาด้วยเพราะฉะนั้นก็จะไม่ได้ลูกองุ่นในการจิ้มสลัดทุกๆคำ และองุ่นที่ใส่มาก็ไม่ได้มีการปอกเปลือกครับ เพราะฉะนั้นเวลากินลูกองุ่นก็ได้รสขมนิดๆของเปลือกองุ่นนิดหนึงก่อนครับ ทำให้หมดอรรถรสในการกินไปมากๆ ถ้าผ่าองุ่นครึ่งหนึ่ง หรือปอกเปลือกองุ่นมาก่อนจะดีมากๆ มันจะได้มีน้ำๆขององุ่นออกมาด้วยเปรี้ยวๆ หวานๆ เพิ่มรสชาติให้กับสลัดอีกด้วย ที่สำคัญให้องุ่นมาน้อยเหลือเกินครับ แทบจะนับลูกได้ไม่สมกับเป็นไร่ไวน์เลยครับ Almond Flake ที่ใส่มาก็เยอะเกิ๊นครับ มันเลยดูเอาน้ำสลัดไปหมดเลย สลัดมันก็เลยดูแห้งๆไปครับจานที่สอง ทะเลรวมมิตรทอด ราคา 320 บาท
จานนี้ให้เป็นวิจารณญาณของทุกท่านเองก่อนนะครับ คิดว่าอาหารหน้าตาอย่างนี้สมควรจะขึ้นโต๊ะร้านอาหารราคาเป็นร้อยๆเหรอครับ อาหารทะเลที่ทอดมาแห้งมากกกกกครับ ทั้งกุ้งทั้งปลาหมึก มีจำนวนไม่เยอะอีกต่างหาก ที่ดูว่าเยอะนั่นเป็นหอมใหญ่ทอดครับ ใส่หอมใหญ่ทอดมากกว่าครึ่งเชียวครับ จานนี้ผิดหวังมากกกกกกกกกก ครับ เข้าใจนะครับว่าอาหารทะเลที่เขาใหญ่ก็แพงกว่าปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าทำออกมาแล้วจะไม่ดีอย่างนี้สู้บอกลูกค้าไปเลยว่า “เมนูวันนี้ไม่มี” จะดีกว่าที่จะให้ลูกค้าเสียความรู้สึกอย่างนี้มั๊ยครับเมนูที่สามซึ่งเป็นเมนูสุดท้าย Coq au Vin หรือ ไก่อบไวน์ชีราสและเครื่องเทศ ราคา 380 บาท
เมนูนี้ถูกใจถูกปากที่สุดครับจากทั้งสามเมนูที่สั่งมา ถึงแม่จะรู้ว่าเป็นเมนูอุ่นเอามาเสิร์ฟ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเมนูนี้จะต้องใช้เวลาในการทำมาก เพราะฉะนั้นทางร้านจึงต้องทำไว้ก่อนในจำนวนหนึ่งแล้วค่อยมาอุ่นเอา (เป็นความผิดของคนชอบทำอาหารครับ ที่ดั๊นไปรู้ขั้นตอนการทำอาหารด้วย อิอิอิ) แต่ความอุ่น ความนุ่มของชิ้นไก่ ลบเรื่องอื่นๆไปหมดครับ ชิ้นไก่นุ่ม หอมกลิ่นเทศ ได้รสชาติของไวน์ แต่ไม่ใช่รสแบบที่มีอัลกอร์ฮอร์นะครับ มันเป็นรสชาติของไวน์ที่มีการเบิร์นอัลกอรฮอร์ไปหมดแล้ว จะเป็นรสหวานๆเผื่อนๆ ตามรสองุ่นพันธุ์ชีราสที่เค้าเอาไวน์มาตุ๋นกับไก่นี่แหละครับ เมนูนี้ซักไปหมดจาน น้ำซอสก็ไม่เหลือคราบ อิอิอิร้าน Vin Cotto ที่ไร่องุ่นกรานมอตเต้นี้มีที่อร่อย (เท่าที่ชิมไปในวันนี้) อยู่ที่ Coq au Vin เท่านั้นเองนะครับ ถ้าใครเคยชิมเมนูอื่นๆแล้วว่าอร่อยก็มาแชร์กันได้นะครับ แต่ผมก็คงไม่กลับมาเป็นครั้งที่สองอีกแล้วนะครับถึงบรรยากาศดี พนักงานบริการดี แต่อาหารไม่อร่อยถึง 2 เมนูจาก 3 เมนูก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ

Chubby Lawyer’s Café’ ………………………………… ร้านอร่อย ....... ตามใจฉัน

Entry อาจจะไม่ยาวยืดเหมือน entry ก่อนๆ เพราะเป็นร้านไอติมเล็กๆ แล้วก็เป็นของว่างระหว่างมื้อที่กินคนเดียวด้วยครับ

ตอนไปเที่ยวเขาใหญ่ครั้งล่าสุด ได้ไป Sheepland สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของเขาใหญ่ แต่ตอนที่ไปนั้นหมดช่วงหน้าร้อนเริ่มเข้าหน้าฝนแล้ว ฝนก็เริ่มตก เหม็นอึ๊น้องแกะมากๆ แถมวันที่ไปเป็นวันธรรมดาตอนบ่ายๆ ไม่มีคนเรย ฝนก็ตกพรำๆ เค้าก็เลยต้อนน้องแกะขึ้นไปอยู่ในโรงเลี้ยงทั้งหมด เดินเข้าไปไม่เห็นอะไรเลย แกะซักตัวก็ยังไม่เห็น แถมเหม็นอึ๊น้องแกะสุดๆ เลยต้องหนีออกมาหาอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกครับ เดินไปเดินมามาสะดุดเข้ากับป้าย “ไอติมนมแกะ” ที่ติดอยู่ทั่วไปใน Sheepland ครับ ตอนแรกก็ “เบ้หน้า” แล้วคิดว่า “มันจะต้องเหม็นคาวแน่ๆ” แต่พอได้ชิมแล้วรีบเปลี่ยนความคิดเลยครับ

ไอติมนมแกะ Dairy Awassi, Sheepland เขาใหญ่

วิธีการเดินทางมาร้าน ไอติมนมแกะ Dairy Awassi มาไม่ยากเลยครับ ร้านไอติมนมแกะ Dairy Awassi อยู่ในบริเวณเดียวกับ Sheepland จะอยู่ในโซนร้านค้า เดินเข้าไปลึกๆ หน่อยครับ วิธีการเดินทางมายัง Sheepland ก็สามารถเดินทางได้ง่ายๆ จากถนนมิตรภาพ เลี้ยวเข้าถนนธนรัชต์ ตรงเข้ามา 4 กิโลเมตร ผ่านโรงเรียนนานาชาติ ทางซ้ายมือ Sheepland อยู่ติดๆกับร้านอาหารครัวยุ้งข้าวเลยครับอย่างที่บอกไปครับ ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ อยู่ในโซนร้านค้าของ Sheepland มีโต๊ะนั่งแค่ 3 ตัวเท่านั้น คงจะเน้นลูกค้าแบบ Take away มากกว่ามั๊งครับ และถึงจะเป็นลูกค้าแบบ dine in ก็คงไม่ใครนั่งอยู่ในชั่วโมงๆกับไอติมแก้วเล็กๆแก้วเดียวมั๊งครับ อิอิอิไอติมร้าน Awassi เป็นไอติมที่ทำมาจากนมแกะครับ เห็นทางร้านเค้าบอกว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีแคลลอรี่ต่ำ มีปริณมาโปแตสเซี่ยม ฟอสฟอรัส และแคลเซี่ยมสูงกว่าไอติมที่ทำมาจากนมวัว มีกรดไขมันไลโนเลอิก ช่วยต่อต้านเซลส์มะเร็งและช่วยชะลอความแก่ของเซลส์ในร่างกาย (คุณสมบัติข้อสุดท้ายเหมือนจะถูกใจเป็นอย่างยิ่ง อิอิอิ) มีให้เลือกหลายรสครับ ทั้งกีวี่ สตรอเบอร์รี่ กาแฟ ชอคโกแลต เสาวรส มิกซ์เบอร์รี่ และรสธรรมดาครับไหนๆก็จะลองของแปลกแล้วก็ต้องลองแบบสุดๆไปเลยนะครับ ผมเลือกลองไอติมรสธรรมดาครับ ราคา scoop ละ 55 บาทเนื้อไอติมจะเนียน นุ่มกว่าไอติมที่ทำมาจากนมวัวนะครับ รสเข้มข้นกว่ามากๆ เนื้อเนียน นุ่ม เหนียว ที่สำคัญไม่มีกลิ่นเหม็นความแบบที่คาดไว้ตอนแรกครับ ถ้าไม่บอกว่าคิดไปว่ากินไอติมวนิลลาแบบที่หอมกลิ่นวนิลลามากๆเท่านั้นเองครับถ้าได้ไป Sheepland ก็อย่าลืมแวะไปชิมไอติมนมแกะกันได้นะครับ ถึงไม่ได้ตั้งใจจะไป Sheepland ก็แวะไปชิมกันได้ครับ เพื่อสุขภาพที่ดีคราบ

Chubby Lawyer’s Café’ ………………………………… ร้านอร่อย ....... ตามใจฉัน

กลับมาที่ร้านอาหารอร่อยในทริปเขาใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่มัวแต่ไปแนะนำร้านอาหารแถวๆอัมพวามาซะ 1 วัน กลับมารีบโพสร้านอาหารที่เขาใหญ่ให้หมด เพราะมีอยู่ในคิวอีกหลายสิบร้านครับ อิอิ

ร้านอาหารที่เขาใหญ่ที่จะมาแนะนำในวันนี้เป็นร้านขึ้นชื่อแถบๆเขาใหญ่เลยครับ อาจจะไกลไปซักนิดนึง แต่ว่าอร่อย ถูกใจ คุ้มค่ากับการขับรถมากินมากๆครับ

ครัวลุงชุบ เขาใหญ่

การเดินทางมาครัวลุงชุบก็ง่ายมากครับ จากถนนมิตรภาพแยกเข้าถนนธนะรัชต์ แล้งวิ่งตรงตลอดพอผ่านแยกที่จะไปเส้น ผ่านศึก – กุดคล้า ให้เล็งซ้ายมือเอาไว้ครับ จะผ่านร้านครัวหญ้าคา ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารกรุงไทย ก็จะถึงร้านครัวลุงชุบครับ อยู่ก่อนถึงทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ประมาณ 2 กิโลเมตรครับร้านครัวลุงชุบเป็นร้านบ้านๆ เล็กๆ ครับ ตัวร้านเป็นอาคารโถงโล่งๆ แต่ว่ารอบๆร้านปลูกต้มไม่เยอะทีเดียวก็เลยทำให้ดูร่มรื่น เย็นสบาย ยิ่งถ้าไปตอนฝนตก หรือตอนที่ฝนเพิ่งหยุดใหม่ๆก็จะรู้สึกเย็นมากๆ เย็นแบบสะท้านๆเชียวครับภายในร้านแบ่งเป็นโต๊ะใหญ่ๆ จำนวนไม่มาก เดาเอาจากสายตาน่าจะไม่เกิน 15 โต๊ะครับ แต่โต๊ะที่ร้านครัวลุงชุบตัวใหญ่นะครับ นั่งได้ 6-8 คนเป็นอย่างต่ำ ต่อโต๊ะนึงครับ ถ้าไปกัน 2 คนนี่ก็รู้สึกเกรงใจมากๆ อิอิอิสำหรับเมนูของร้านครัวลุงชุบเป็นเมนูอาหารพื้นบ้านครับ ไม่มีอะไรหวือหวา เมนูมีไม่มากครับ แค่ 2 หน้ากระดาษเท่านั้น แต่ทางร้านก็มีบอร์ดอันใหญ่ สำหรับเขียนเมนูแนะนำของร้านด้วยครับเมนูแรก หมูแดดเดียว ราคา 80 บาท
แค่เมนูแรกก็ถูกใจแล้วครับ หมูแดดเดียวชิ้นไม่ใหญ่มากนัก ตากแดดแบบไม่แห้งมากครับ หมูไม่เหนียว ทอดมาแบบกรอบๆตรงขอบๆ ตรงกลางๆยังนุ่มๆอยู่ เวลาทานจิ้มซอสพริกที่ทางร้านเสิร์ฟมาด้วยกันเข้ากันดีมากๆครับ เมนูนี้จะทานเปล่าๆ จะกินแกล้มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ หรือว่าจะกินกับข้าวสวยก็อร่อยเหมือนๆกันครับเมนูที่สองเป็นเมนูแนะนำของทางร้าน ยำตะไคร้ 100 บาท
เมนูนี้สั่งเพราะขึ้นป้ายว่าเป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของทางร้าน ทางร้านเลือกเอามาแต่ตะไคร้ต้นอ่อนๆ เอามาซอยให้ละเอียดๆ เวลากินเข้าไปแล้วไม่มีเสี้ยนเลย คลุกเคล้ากับเครื่องยำหลายๆอย่างเช่น หมูแผ่นกรอบๆ ถั่วลิสงทอด พริกขี้หนูซอย และใบสะระแหน่ ปรุงรสให้ออกเปรี้ยวๆ มากกว่าเผ็ด เคี้ยวสนุกมากครับ ทั้งเคี้ยวสนุก ทั้งหอมตะไคร้กับหอมใบสะระแหน่ เมนูนี้ก็เช่นกันครับจะเอามาทานเปล่าๆก็ไม่ผิด หรือจะเอามาทานแกล้มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ก็ได้ หรือว่าจะกินเป็นกับข้าวก็ไม่มีใครว่าอะไรครับเมนูที่สาม ผัดเผ็ดหมูป่า ราคา 80 บาท
เมนูนี้เป็นเมนูอยากลองครับ เพราะว่าร้านเค้าว่ากันว่าเด่นที่อาหารพื้นบ้านรสจัด เพราะฉะนั้นก็ต้องลองสั่งอาหารกึ่งๆอาหารป่ารสแซ่บมาลองดูซิว่าจะแซ่บจริงอย่างที่เค้าว่ากันหรือเปล่า ปรากฏว่า “เมนูนี้ชนะเลิศครับ” ถูกใจมากมายเลยทีเดียว เนื้อหมูป่าก็ไม่เหนียวมากครับ มีหนังกรุบๆให้เคี้ยวกันอย่างสนุกปาก รสชาติของผัดเผ็ดก็สมกับชื่อผัดเผ็ดจริงๆครับ เผ็ดนำมาเลย แต่ก็มีรสเค็มหน่อยๆหวานนิดๆตามมา เวลาทานก็ให้ทานไปพร้อมๆกันทั้งชิ้นเนื้อหมูป่า กระชาย พริก ใบมะกรูดนะครับ มันสุดยอดมากจริงๆครับเมนูนี้ ได้เมนูนี้มาต้องเอาข้าวสวยมาเสิร์ฟแล้วครับ เอาน้ำปลาพริกมาถ้วยใหญ่ๆเลยนะครับเมนูที่สี่ คะน้าผัดหมูกรอบ ราคา 80 บาท
เมนูสั่งมาเพราะกะเอาไว้ว่าจะให้เป็นเมนูแก้เผ็ด รสชาติก็อร่อยใช้ได้เลยครับ ทางร้านเลือกเอามาแต่คะน้าใบอ่อนๆ ส่วนของต้นที่อ่อนๆ เอามาผัดแล้วทานเข้าไปไม่มีเสี้ยนเลย ที่ถูกใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นที่ว่าเมนูนี้ให้ใบอ่อนๆของคะน้าเยอะมากๆ เพราะเจ้าของบล็อกโปรดใบคะน้ามากๆ ส่วนหมูกรอบนั้นธรรมดาๆครับ ส่วนรสชาติของเมนูนี้มาตรฐานครับเมนูสุดท้ายเป็นเมนูแนะนำของทางร้านครับ ต้มยำไก่บ้าน ราคา 150 บาท
เมนูสุดท้ายที่สั่งมาขอเป็นเมนูสำหรับซดน้ำนะครับ เมนูนี้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดเท่าๆกัน ตามด้วยความเค็ม และความหวานของเนื้อไก่นิดๆ เหมาะสำหรับการซดน้ำมากๆครับ เนื้อไก่บ้านจะเหนียวหน่อยๆ เคี้ยวมันส์มากครับ นอกจากนั้นยังมีเครื่องต้มยำอื่นๆเช่น เห็ดฟาง ตะไคร้ ผักชีใบเลื่อย รวมทั้งหอมใหญ่ ทำให้ซดเมนูนี้เข้าไปแล้วโล่งจมูกมากๆเลยครับ

ร้านครัวลุงชุบ เป้นร้านอาหารบ้านๆ แต่รสเด็ดอย่าบอกใคร ถ้าใครผ่านไปผ่านมาอถวเขาใหญ่ โปรดอย่าเกี่ยงว่าต้องเลี้ยวรถเข้ามาไกลเลยครับ ของอร่อย ก็ต้องแลกด้วยระยะทาง .... จริงมั๊ยครับ อิอิอิ
Chubby Lawyer’s Café’ ………………………………… ร้านอร่อย ....... ตามใจฉัน