3
0
0
เบอร์โทร.
02-256-6555
02-256-6551
085-489-0571
ข้อมูลร้านอาหาร
Royal OSHA เป็นร้านอาหารไทยที่ต้องลอง ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการยอมรับจาก Michelin Guide และการันตีด้วยรางวัลระดับนานาชาติมากมายในด้านรสชาติที่ยอดเยี่ยมและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่ธรรมดา มาลิ้มลองมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำที่ Royal Osha เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์อาหารและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง อ่านต่อ
รางวัลที่เคยได้รับ
ร้านอาหารมิชลิน เพลท (2019-2021)
เหมาะสำหรับ
ธุรกิจ
โอกาสพิเศษ
เวลาเปิด-ปิด
วันนี้
12:00 - 23:00
จันทร์ - อาทิตย์
12:00 - 23:00
*Last order at 21:00
วิธีจ่ายเงิน
วีซ่า มาสเตอร์ อเมริกันเอ๊กเพรส เงินสด อื่นๆ
ข้อมูลอื่นๆ
มิชลิน ไกด์
Wi-Fi
ที่จอดรถ
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ร้านอาหารปิดดึก
ห้อง VIP
สำรองโต๊ะ
มีแอร์
เว็บไซต์ร้านอาหาร
http://www.facebook.com/royaloshabkk
ข้อมูลข้างต้นใช้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลกับร้านอาหารอีกครั้ง
วิดีโอ
รูปภาพ
+138
เมนูแนะนำ
ต้มยำโป๊ะแตก ยำหอยนางรม ขนมจีนน้ำพริก หูหมูทอดกรอบ
รีวิว (4)
ระดับ2 2023-09-06
69 วิว
呢間特色餐廳個人幾鍾意去佢未有米芝蓮我已經去食每次去食都會令你有驚喜食材新鮮而且好味道食得出廚師好有心機去整個人最鍾意呢個酸辣湯酸辣湯每次都覺得佢有進步值得回味嘅一間餐廳 อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
ขึ้นชื่อว่าอาหารไทยรับรองว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก ยิ่งเป็นอาหารไทยที่ได้รับความยอมรับจากฝั่งตะวันตกด้วยระยะเวลากว่า 19 ปี ที่ร้าน Osha นั้นทำให้ทางฝั่ง USA ยอมรับว่าอาหารไทยนั้นยอดเยี่ยม เพราะว่ามีการขยายสาขามากถึง 8 สาขา และแน่นอนว่าอาหารไทยยังไงก็ต้องถูกปากคนไทยอย่างผมด้วยแน่นอน ซึ่งก็เป็นเหตุผมที่ Osha Thai Restaurant & Bar จะได้รับการยอมรับเมื่อกลับมาเปิดที่บ้านเราได้ไม่ยาก และขอบอกเลยว่ารสชาติอาหารไทยของที่นี่จัดจ้านแบบไทยๆ แต่ภาพลักษณ์สวยงามไม่แพ้อาหารยุโรปเลยครับแต่ก่อนอื่นขอพาไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านอาหารที่ถือว่าสวยงามแบบไทยๆ แต่ได้กลิ่นอายความทันสมัยแบบนานาชาติ ซึ่งที่นี่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีเข้มขรึม ตัดกับสีทองที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้ดี แม้จะตกแต่งด้วยโทนสีเข้มแบบนี้แต่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในร้านดูอึดอัด เพราะเพดานทรงสูงทำให้บรรยากาศในร้านดูโปร่งสบายๆ นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกความเป็นไทยไว้แทบทุกมุมของร้านที่เด่นชัดคือแชนเดอเลียร์รูปชฎาขนาดใหญ่ ที่สวยงาม โดดเด่นสะดุดตา อยู่ตรงบันไดวนที่จะขึ้นไปชั้นสอง ทำให้ต้องหยิบกล้อง หรือสมาร์ทโฟนมาเก็บภาพกันรัวๆ ทีเดียวและเมื่อขึ้นไปยังชั้นสองที่นี่ก็แสดงความเป็นไทยได้อย่างสวยงาม ด้วยภาพของวรรณกรรมชื่อดังที่ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างรามเกียรติ์ ที่ชูตัวละครหนุมานไว้อย่างโดดเด่นอยู่ริมผนังไว้ได้อย่างเพลินตา ซึ่งพื้นที่ชั้นบนนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่จัดงานไพรเวทดินเนอร์ หรือปาร์ตี้ส่วนตัวกับเพื่อนฝูงได้สบายๆ ด้วยครับยังไม่หมดแค่นี้เมื่อยามค่ำคืนยังมีการโชว์เทคนิค 3D Mapping ด้วยการฉายภาพเคลื่อนไหวบนเพดาน และประตูทางเข้าด้านหน้าร้าน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับมื้อดินเนอร์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจมาดูเรื่องอาหารกันบ้างดีกว่าครับ ที่บอกว่าที่นี่แม้จะดูทันสมัย หรูหรา แต่ว่ารสชาติอาหารนั้นถือว่าจัดจ้านแบบไทยๆ อาหารของที่นี่จึงอยู่ภายใต้คอนเซ็ปท์ The Best Authentic Thai Taste with Modern Twist เพราะว่าได้รับการรังสรรค์จาก เชฟปู ปูริดา ธีระพงษ์ สุดยอดเชฟหญิงระดับแนวหน้าของเมืองไทย ที่มีประสบการณ์ด้านอาหารไทยมานานกว่า 15 ปี กับภัตตาคารชั้นนำทั้งต่างประเทศและในบ้านเรา นอกจากนี้ยังการันตีด้วยตำแหน่งแชมป์ผู้ท้าชิงจากร้านการเชฟกระทะเหล็กแห่งประเทศไทย ซึ่งชนะด้วยเมนูที่ใช้วัตถุดิบหลักอย่างดอกไม้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีทีเดียวครับ และแน่นอนว่าค่ำคืนนี้จะต้องมีเมนูสวยๆ รสชาติดีที่ทำจากดอกไม้แน่นอนครับก่อนอื่นขอเริ่มที่เครื่องดื่ม Signature ของทางร้านนั่นก็คือ OSHA Chada (โอชา ชฎา) เครื่องดื่มที่เลือกได้ว่าจะสั่งแบบ Cocktail หรือ Mocktail เครื่องดื่มที่มีน้ำเสาวรสเป็นตัวชูโรง ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สดชื่น เสิร์ฟมาแบบไทยๆ ด้วยการเพิ่มเติมชฏาทรงสูงเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของร้านแล้วก็เริ่มต้นด้วยเมนู Garden Talk Crispy & Berry Sauce (250 บาท) หรือ ดอกไม้กรอบซอสลูกหม่อน เป็นเมนูทานเล่นที่นำเอาแผ่นแป้งปอเปี๊ยะคลุกเคล้ากับกลีบดอกไม้ที่ทานได้นำไปอบแทนการทอด ทำให้ได้แป้งที่กรอบแต่ไม่แตกง่าย ทานกับซอสลูกหม่อนที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น รสชาติอร่อยเข้ากันอย่างลงตัวครับ เป็นเมนูที่ถือว่าทานง่ายไม่อ้วนด้วยนะครับต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูที่สวยงามและถือว่าเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟปูเลยก็ว่าได้นั่นก็คือ OSHA Ocean & Flora Salad (490 บาท) ยำหอยเชลล์น้ำฟักข้าว เป็นเมนูที่ผมชอบมากเพราะน้ำยำที่ทำจากฟักข้าวนั้นรสชาติจัดจ้าน แถมสีสันก็สวยงาม นอกจากนี้ดอกไม้ที่ประดับอยู่รอบๆ จานก็สามารถนำมาทานคู่กับน้ำยำทำให้อร่อยจัดจ้าน ไม่แพ้ความสวยงามเลยครับถัดไปก็เป็นเมนู Nam Prik Goong (350 บาท) ที่นี่เรียกเมนูนี้ว่าน้ำพริกกุ้งสะเออะ เป็นน้ำพริกที่ชื่อแปลกหู แต่รสชาติรับรองว่าอร่อยถูกใจ เพราะเป็นน้ำพริกที่ปรุงจากการคั้นเนื้อกุ้งกับน้ำมะนาวและเพิ่มรสชาติด้วยไข่เค็มกับพริกสด ทานคู่กับผักสดที่เสิร์ฟมาพร้อมกันได้อย่างอร่อยแบบไทยๆ แน่นอนครับมาต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูอาหารไทยที่ไปที่ไหนก็ขาดไม่ได้นั่นก็คือ Tom Yum Goong (400 บาท) แต่ต้มยำกุ้งของที่นี่เสิร์ฟในรูปแบบแปลกตาด้วยเครื่องต้มแบบวิธีไซฟ่อนด้วยการใช้ไฟทำให้หม้อร้อนแล้วทำให้น้ำต้มยำนั้นเดือดขึ้นไปผสมผสานกับเครื่องต้มยำ จากนั้นก็ทำการแยกน้ำต้มยำออกมาจากเครื่องต้มยำต่างๆ ทำให้สามารถซดน้ำต้มยำได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะติดวัตถุดิบอื่นๆ มาด้วยรึเปล่า นอกจากนี้ยังเพิ่มรสชาติอร่อยๆ และกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลของกุ้งแม่น้ำย่างตัวโต ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวลให้ชวนชิมสุดๆ แม้ว่ารูปลักษณ์จะแตกต่างออกไป แต่รสชาติรับรองว่าอร่อยจัดจ้านตามแบบฉบับต้มยำกุ้งจริงๆ ครับกับข้าวมาเต็มแบบนี้ต้องทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะครบรสอาหารไทยจริงมั้ยครับ แต่ที่พิเศษก็คือข้าวที่ทางร้านนำเสนอเป็น ข้าวกล้องโอชา ซึ่งเป็นการนำข้าวไรซ์เบอร์รี่ไปหุ้งด้วยในลูกมะพร้าวเผา ซึ่งจะทำให้ได้ข้าวที่รสชาติหอมหวาน บอกตรงๆ ว่าทานเปล่าๆ ก็หวานอร่อยสุดๆ แล้วครับจากนั้นก็มาต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูโปรดของผมนั่นก็คือ Classic Yellow Curry Chicken (650 บาท) แกงกะหรี่ไก่ที่พาเอาความอร่อยนุ่มละมุนลิ้นมาเสิร์ฟแบบจัดเต็ม ด้วยน้ำแกงที่หอมเครื่องเทศเข้มข้นแบบไทย น่องไก่ก็นุ่มอร่อย แถมทานคู่กับโรตีกล้วยทอดรสชาติเข้ากันอย่างลงตัวสุดๆ ครับจากนั้นก็ปิดท้ายขอคาวด้วยเมนู Grilled Lamb Cutlet with Herb Crush (750 บาท) ซี่โครงแกะสมุนไพรชิ้นใหญ่ ย่างมาแบบ medium rare ส่งกลิ่นหอมชวนทาน แถมเนื้อนุ่มสุกกำลังดี มาพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรพิเศษได้บรรยากาศความเป็นไทยขึ้นมาทันที ซึ่งรสชาติอร่อยไม่มีกลิ่นคาวมากวนใจแม้แต่นิด เมนูนี้ถูกใจสุดๆ ครับแล้วก็มาถึงเมนูของหวานบ้างครับ เริ่มที่ Fresh Fruits (280 บาท) ผลไม้รวมที่จัดมาได้อย่างสวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมเชอร์เบทแบบโฮมเมด ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดี ที่สำคัญโต๊ะข้างๆ สั่งเมนูนี้พร้อมปักเทียนวันเกิดถือเป็นเค้กวันเกิดที่สวยแปลกตาจากที่เคยเห็น เก๋ไก๋ไปอีกแบบครับหรือจะเลือกของหวานเบาๆ แต่รสชาติไม่เบาด้วย Ice Cream Sorbet (280 บาท) ไอศกรีมสัปปะรดพริกเกลือ และสตรอเบอร์รี่พริกเกลือ ไอศกรีมเชอร์แบทโฮมเมดที่ผสมผสานรวมเอาผลไม้และพริกเกลือที่ใช้ทานคู่กับผลไม้นำมาทำเป็นไอศกรีมได้ลงตัวสัมผัสได้ถึงรสชาติของพริกเกลือที่แทรกอยู่ในตัวผลไม้ได้ดีทีเดียวสำหรับมื้อนี้นอกจากจะได้ดื่มดำกับอาหารไทยที่สวยงามแต่ได้รสชาติอร่อยจัดจ้านแบบไทยๆ ยังได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศร้านที่สวยสะดุดตา ทำให้รู้สึกได้ว่า Osha Thai Restaurant & Bar ถือว่าเป็น Fine Thai Dining ที่ดีอีกแห่งหนึ่งสำหรับผมเลยก็ว่าได้ครับ สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารไทยในบรรยากาศสวยๆ แบบนี้แวะมาได้ที่ร้าน Osha ปากซอยร่วมฤดีตัดกับถนนวิทยุ แล้วจะหลงรักที่นี่ได้ไม่ยากเลยครับ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
สำหรับวันนี้ก็จะพาไปกินร้านอาหารไทยอีกหนึ่งร้านในย่านถนนวิทยุ ปากซอยร่วมฤดีนะคะ ซึ่งการไปครั้งนี้ ก็เป็นการแลกรีวิวกับเวาเชอร์จากเว็บหนึ่งเช่นเคยค่ะ และน้องเหมียว nanareview ก็แลกไว้เช่นกัน จึงนัดหมายไปพร้อมกันซะเลยนะคะ อิอิป.ล. รูปรอบนี้ เนื่องจากมีงานติดๆ กันมาก กลัวรีวิวไม่ทัน เลยรีบย่อรูปด้วยโปรแกรม photoscape นะคะ ซึ่งคุณภาพรูปจะออกมาด้อยกว่าย่อด้วยโฟโต้เฉาะหน่อยหนึ่งค่ะ ขออภัยทุกท่านด้วยนะฮับป.ป.ล. ปลายก.พ.จะมีพาเพื่อนไปเลี้ยงขอบคุณอีกรอบ แล้วจะมารีวิวเพิ่มเติมนะคะสำหรับพิกัดร้านนี้ก็อยู่ปากซอยร่วมฤดี ตามนี้เลยนะคะวันนั้นเราขับรถไปค่ะ ไปจากทางแยกราชประสงค์ กูเกิ้ลแมพให้วิ่งไปทางเส้นราชดำริ ต่อด้วยสารสิน จนชนทีตันก็เลี้ยวซ้ายแล้วอยู่ขวาเลย เพื่อจะเลี้ยวขวาตรงซอยร่วมฤดีค่ะ เพราะหลังร้านอาหาร (ซึ่งอยู่ปากซอยตรงหัวมุมที่จะเลี้ยวพอดี) จะมี velvet parking นะคะ ให้กุญแจพนักงานไปให้เอารถไปจอดค่ะ แล้วเค้าจะให้กระดาษมา สำหรับตอนที่จะออกก็ให้พนักงานไปเอารถมาก่อนได้ค่ะเดินมาที่ด้านหน้าถนนวิทยุค่ะ ร้านจะอยู่เยื้องๆ อาคารเคี่ยนหงวนตามภาพนะคะหน้าร้านค่ะ ที่จริงข้างๆ ร้านก็มีที่นั่งอยุ่หน่อยหนึ่งนะคะ แต่วันนั้นไม่มีคนนั่งข้างนอกค่ะเป็นอีกร้านที่ได้รับรางวัล Best Restaurant นะคะเข้าไปในร้านก็จะเจอส่วนต้อนรับค่ะ ถ้าจองมาก็แจ้งชื่อไปนะคะ หรือถ้าไม่ได้จองก็แจ้งจำนวนไป พนักงานจะพาไปนั่งค่ะเข้าไปในร้านกันค่าา อลังการพอควรเลยนะคะ ที่นั่งจะมีทั้งด้านล่างและด้านบนค่ะ (เดี๋ยวด้านบนจะพาไปชมอีกทีนะฮับ)ไปถึงก็มีสะเต๊ะไก่ (200 บาท++) ที่น้องเหมียวสั่งให้ลูกสาวกินเล่นอยู่แล้วค่ะ หน้าตาก็แบบนี้นะคะจากนั้นพนักงานก็นำ welcome drink ซึ่งเป็น complimentary มาให้ค่ะ เป็น Osha Sparkling (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) มี Pop Juice รสแพสชั่นฟรุ้ตและสตรอเบอรี่ค่ะ รสชาติออกหอมๆ หวานอมเปรี้ยว อร่อยดีค่ะแล้วก็จะเห็นว่าเค้ามีอุปกรณ์สำหรับเด็ก (ให้ลูกของเหมียว) ด้วยนะคะ ดีจังอ้อๆ ที่นี่มีไวไฟด้วยนะคะบนเพดานของร้านจะเป็น 3D Mapping มีการฉายภาพเรื่องราวต่างๆ ของไทยด้วยค่ะ สวยงามดี ไอเดียเก๋ค่ะ ชอบๆมาดูเมนูกันนะคะ มีทั้งเมนูเครื่องดื่มและอาหารค่ะ ที่นี่รับกรุ๊ปด้วยนะคะ เพราะมีถึง 120-130 ที่นั่งค่ะก่อนที่จะเริ่มรีวิวอาหารที่ได้กินวันนั้น เรามารู้จักร้าน Osha กันก่อนดีกว่านะคะใครอยากอ่านที่เว็บของร้านก็เชิญที่นี่เลยนะคะhttp://www.oshabangkok.com/สำหรับร้าน Osha นี้เปิดครั้งแรกที่เมืองซานฟรานซิสโกนะคะ มีทั้งหมด 9 สาขา แต่ไม่ใช่ Fine dining ทั้งหมดค่ะ ซึ่งสาขาแรกเปิดมาได้ 18 ปีแล้วค่ะ (นี่ตรูไปอยู่ไหนมา ไม่รู้จักร้านนี้อ้ะ) เพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1997 (2540) ค่ะซึ่งเชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ เป็นผู้คิดค้นและสร้างสรรค์เมนูในสไตล์ Molecular Gastonomy นะคะ โดยเราก็ไปหาข้อมูลของการทำอาหารแบบ Molecular Gastonomy ซึ่งได้มาจากลิงก์นี้ ก็ได้ความว่าใครๆ ก็พูดถึงอาหารตำรับ “โมเลกูลาร์” (Molecular Gastronomy) ยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยจึงเรียกทับศัพท์กันไปก่อน หากจะเรียกว่า “อาหารอณูโมเลกุล” อาจจะทำให้นึกถึงชิ้นส่วนของสัตว์หรือพืชจากห้องทดลอง อย่างนั้นอย่าดีกว่า เรียกว่าอาหารโมเลกูลาร์ไปดีแล้วลองนึกถึงค็อกเทล แทนที่จะเสิร์ฟใส่แก้วแต่กลับเอาค็อกเทลที่ผสมแล้วไปใส่แม่พิมพ์น้ำแข็งที่เป็นรูปทรงกลมเหมือนลูกบิลเลียด นำเข้าช่องแช่แข็งประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งรอบนอกที่หนาพอ นำออกมาแล้วเจาะรูด้านบนใช้หลอดดูดยาดูดน้ำตรงกลางลูกบอลออกแล้วเติมค็อกเทลไปใส่แทน หลังจากนั้นนำลูกบอลค็อกเทลไปใส่ในแก้วทรงกระบอกจะให้ดูเป็นงานศิลปะก็ควรจะเป็นค็อกเทลที่มีสีสัน เช่น สีฟ้าหรือสีส้ม เวลาดื่มก็ต้องเอาค้อนเล็กๆ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับลูกบอลค็อกเทลทุบให้แตก ฟังดูยุ่งยาก แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าได้ความตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นกว่าที่จะแค่ยกแก้วซดเข้าปากจากเครื่องดื่มแบบโมเลกูลาร์มาลองทำ ราวิโอลี (Ravioli) กันบ้าง แทนที่จะห่อด้วยแผ่นแป้งสีเหลืองอ่อน เราจะทำราวิโอลีหายตัวได้คือเป็นเกี๊ยวแผ่นใสที่ทำมาจากส่วนผสมของแป้งมันสำปะหลัง เมื่อโดนน้ำแผ่นแป้งก็จะย่อยละลายทันที เมื่อเสิร์ฟจะมองเห็นไส้ของราวิโอลีว่ามีอะไรบ้างและสามารถดัดแปลงไส้ให้แปลกจากไส้ราวิโอลีปกติ เสริมให้อาหารธรรมดามีความเลอค่าเพิ่มขึ้น แต่วิธีทำไม่ได้ง่ายเหมือนพักเกี๊ยว เพราะแผ่นฟิล์มใสจากมันสำปะหลังนั้นต้องเอามาพับให้เป็นกระเปาะสามเหลี่ยม แล้วใช้เครื่องนาบขอบให้ติดกัน หลังจากนั้นก็ต้องใช้หลอดดูดยาฉีดไส้เข้าไปในกระเปาะ ราวิโอลีโปร่งใสนี้มีมาตั้งแต่ปี 2009 โดยเชฟเฟอราน อาดรียา (Ferran Adira) แห่งร้านอาหารระดับโลกชื่อ elBulli ในเมืองโรสเซส เขตคาตาโลเนียของสเปนอาหารโมเลกูลาร์จึงหมายถึงนวัตกรรมการทำอาหารโดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยวิธีการศึกษาองค์ประกอบของเครื่องปรุงอย่างวิทยาศาสตร์ศึกษาปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เครื่องปรุงเปลี่ยนรสหรือเปลี่ยนสี เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ได้ทั้งรูปทรงใหม่ๆ และรสชาติที่แตกต่างจากของเดิม โดยยังอ้างอิงถึงความสวยงามในเชิงศิลปะและการรับรู้ของแต่ละสังคมอีกด้วยเชฟรุ่นใหม่อาจจะชอบเรียกศาสตร์แห่งการปรุงแบบโมเลกูลาร์ว่า Modern Cuisine หรือ Modernist Cuisine มากกว่า Molecular Gastronomy ยังมีนิยามอื่นๆ อีกมาก ซึ่งจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เช่น Experimental Cuisine และ Avant-Garde Cuisine แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็มีคนบางกลุ่มรู้สึกต่อต้าน เพราะเป็นการนำเสนออาหารที่ต้องอาศัยความเข้าใจศาสตร์ชั้นสูงแบ่งแยกชนชั้น และครัวเรือนทั่วไปไม่สามารถทำได้แต่ร้านอาหารที่อาศัยโมเลกูลาร์สไตล์เป็นจุดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่อครัวแม่ครัวที่เก่งและทำอาหารอย่างใส่ใจด้วยความหลงใหลคงไม่ต้องอาศัยเครื่องมือวิทยาศาสตร์มากมาย เพราะเมื่อทำมามากชั่วโมงบินเยอะ สร้างสรรค์เองไว้มาก ย่อมจะสังเกตแล้วว่าเครื่องปรุงชนิดใดทำปฏิกิริยากับความร้อนความเย็นอย่างไร และได้รสชาติออกมาเป็นอย่างไร ส่วนการนำเสนอให้เป็นศิลปะสมัยใหม่ที่ไม่ใช่การแกะสลักผักและผลไม้ คงต้องศึกษาศิลปะสมัยใหม่และองค์ความรู้โลก เพื่อนำมาช่วยในการจัดรูปทรงและสีสันถ้าหากมองในระดับศาสตร์ชั้นสูงเชฟที่จริงจังกับอาหารโมเลกูลาร์จะทดลองแบบวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่อิงนิยายหรือโมเม เช่น การใช้ไขมันมาปรุงอาหารโดยให้มีรสของโหระพา มะกอก (โอลีฟ) และหอมหัวใหญ่ โดยให้น้ำมันคลายรสออกมาอย่างเรียงลำดับไม่ใช่มีสามรสรวมกัน หรือแม้แต่การใช้เนื้อสัตว์ เช่น ปูหรือแซลมอนมาทำไอศกรีมก็ต้องอาศัยความชำนาญทางเคมี เพื่อกำจัดกลิ่นคาวของปูและปลาให้ได้ไอศกรีมปูแทนไอศกรีมคาวปูอย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนำจริตโมเลกูลาร์ที่กล่าวมาไปปะปนกับการทดลองหารสชาติใหม่ๆ โดยการลองไปเรื่อยๆ เช่น ไอศกรีมปลาช่อน ไอศกรีมวาซาบิ ข้าวเกรียบปลาทูหรือกุนเชียงปลา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการลองทำ ลองชิม และลองตลาด อันไหนผู้คนไม่นิยมก็เลิกรากันไปสำหรับคนที่ไม่คุ้นอาจจะรู้สึกว่าอาหารโมเลกูลาร์นั้นพิสดาร เคลือบแคลงในรสชาติ เพราะหน้าตาไม่เหมือนกับที่คุ้นเคยและอาจรู้สึกว่าไม่ได้คุณค่าทางอาหารเป็นอาหารสังเคราะห์ หรือมีสารเคมีหลายชนิด ซึ่งก็ว่ากันไม่ได้ เพราะมีวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ชัดๆ ให้เห็นบ่อยๆ เช่น การใช้ไนโตรเจนเหลวพ่นใส่อาหาร หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเตรียมที่ดูเหมือนเครื่องมือแพทย์ แต่เชฟที่ประดิษฐ์อาหารเหล่านี้มีชื่อเสียงและร้านอาหารระดับโลกเป็นเดิมพัน ดังนั้นแม้ว่าจะมีการใช้ส่วนประกอบเคมี แต่ก็เป็นเคมีที่ทำมาจากธรรมชาติ ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ แปรรูปแล้วให้กินได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อร่างกายและใช้ในปริมาณที่ผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยาของแต่ละประเทศแต่อาหารโมเลกูลาร์คงยังก้าวไปข้างหน้าอย่างแน่นอน เพราะไม่มีขอบเขตจำกัด เราอาจจะอ่านเมนูไม่ค่อยเข้าใจชัดนักและคิดภาพว่าอาหารควรจะหน้าตาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อนำมาเสิร์ฟแล้วอาจจะแทบจำไม่ได้ เช่น แอสพารากัสทำให้เป็นเม็ดกลมขนาดไข่มุกเม็ดใหญ่ เสิร์ฟมาเป็นกองเหมือนไข่ปลาแซลมอนบนช้อนรูปทรงทันสมัย หรือขนมเค้กชิ้นพอดีคำมีโฟมครีมสีชมพูหวานวัยรุ่นท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ด้านบนการปรุงอาหารแบบโมเดิร์นนิสต์อาจไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์จากห้องทดลองวิทยาศาสตร์เสมอไป วิธีการทำอาหารให้สุกที่เรียกว่า ซูสวิด (Sous-Vide) คือการนำอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ใส่ถุงพลาสติกไล่ลมออกให้เป็นสุญญากาศ แล้วนำลงไปแช่ในน้ำร้อนตามอุณหภูมิและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะใส่เวลานานกว่าแต่จะได้เนื้อสัตว์ที่สุกเสมอกัน หรือกึ่งสุกทั่วทั้งชิ้น เนื้อสเต๊กที่ทอดในกระทะหรือบนเตาย่างที่ใช้อุณหภูมิระดับหนึ่ง (เพื่อให้สุกน้อยหรือกึ่งสุก) ผิวนอกของเนื้อจะสุกมากไปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่วิธีการ Sous-Vide ที่ใช้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับของกระทะผิวนอกจะไม่สุกมากเลย แต่ก่อนเสิร์ฟอาจจะใช้ปืนไฟเผาเพื่อให้ดูน่ากิน หรือการทำแคบหมูของทางเหนือ โดยนำหนังหมูที่หั่นแล้วต้มในน้ำมัน แล้วปล่อยแช่ทิ้งไว้ในน้ำมันข้ามคืน วันรุ่งขึ้นเพียงจุดเตาให้น้ำมันร้อนจัดแคบหมูก็จะพองกรอบ วิธีการเหล่านี้เกิดจากการทดลองนอกห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการทดลองในครัวที่ทำกันหลายสิบหลายร้อยหน จนได้เคล็ดลับที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาหลายชั่วคนอาหารทุกชาติมีสิทธิ์ที่จะปรับรูปทรงและดัดแปลงรสชาติ โดยให้มีรสเด่นจากตำรับดั้งเดิม เพื่อให้ระบุถึงที่มาได้ อาหารไทยก็มีสิทธิ์เช่นกัน แต่ต้องเข้าใจคุณลักษณะของเครื่องปรุงทุกชนิด ทั้งเครื่องเทศ เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องปรุงรสให้ถ่องแท้ ถ้าเข้าใจดีไม่ต้องลงทุนห้องแล็บ แต่เมื่อประดิษฐ์ขึ้นมาได้แล้วก็ควรจะต้อง “ทดสอบ” การยอมรับของผู้กินก่อน อาจจะในวงเพื่อนฝูงขยายไปยังบุคคลทั่วไปอ่านจบแล้วก็ต้องออกตัวก่อนว่า..สำหรับเมนูวันนั้นเราไม่ได้สัมผัสกับกรรมวิธีการทำอาหารแบบที่ว่านักนะคะ ที่จริงมีหลายเมนูเลยแหละที่โชว์กรรมวิธีการทำอาหารสไตล์ Molecular Gastonomy แต่เวาเชอร์กำหนดมาแบบนี้ก็เลยกินตามนี้ไปก่อนน่ะค่ะ ถึงอยากไปกินเองอีกรอบหละค่ะ แหะๆเอาหละค่ะ มาสู่เมนูแรกนะคะ กับเครื่องดื่มที่แค่ตอนเสิร์ฟก็ว้าวแล้วค่ะOsha Chada (555 บาท..ค่ะ พิมพ์ราคาไม่ผิด นี่เพิ่งรู้ว่าการซื้ออีเวาเชอร์มันคุ้มขนาดนี้นะนี่ นี่แลกคะแนนมาก็ยิ่งคุ้มค่ะ เหอๆ)จะเห็นว่ามีสองแก้วนะคะ แก้วหนึ่งมีแอลกอฮอล์ของเหมียวค่ะ ส่วนของเราเป็นแบบไม่มีแอลกอฮอล์ค่ะ เพราะเราขับรถมาง่ะนะคะ แหะๆรสชาติของเราเปรี้ยวกำลังดีค่ะ หอมเสาวรสมากๆ อร่อยสดชื่นดีนะคะต่อไปเป็นอะมุชบุชค่ะ รอบนี้เราได้เป็นปอเปี๊ยะไก่ (น้องพนักงานแจ้งว่าแต่ละวันไม่เหมือนกันนะคะ มีการเปลี่ยนเมนูค่ะ)รสเบาๆ นะคะ ออกหวานนำค่ะสำหรับเมนูนี้ระหว่างรอเมนูต่อไปก็ไปเก็บภาพที่นั่งด้านล่างบริเวณอื่นๆ ก่อนค่ะต่อไปค่ะกับเมนูไข่ซูวี่ (พยายามจะขยายดูราคาจากเมนูแล้ว แต่ไม่สำเร็จค่ะ ขออภัย แต่จากใบเสร็จบอกว่า 280 บาท++นะคะ)รสจะออกแนวเบาๆ นะคะ เค็มจากไข่ปลาแซลมอนที่โรยเป็นท็อปปิ้งมา เหมาะที่จะอุ่นท้องก่อนถึงจานหลักค่ะเมนูนี้ลูกสาวน้องเหมียวชอบมากๆ ค่ะ เลยสั่งเพิ่มให้น้องได้หม่ำอีกชามหละ อิอิ กินหมดด้วยนะนั่นจากนั้นพนักงานก็นำโบรชัวร์รายละเอียดต่างๆ ของร้านมาให้ค่ะ ถ้าท่านใดต้องการมาช่วง Happy Hour buy 1 get 1 free ที่ร้านนี้มีโปรฯ ดังกล่าวในช่วงเวลา 17.00-20.00 น.ค่ะนอกจากนั้นก็ยังมีเซ็ตอาหารกลางวันในราคา 285++ (335 net) สำหรับเมนคอร์สด้วยค่ะ แต่ถ้าต้องการจับคู่กับสตาร์ตเตอร์หรือของหวานก็เพิ่มอีก 100++ (118 net) รวมแล้วก็ราวๆ 453 บาทเน็ตนะคะแต่สำหรับดินเนอร์เซ็ต 3 คอร์ส (น่าจะคล้ายกับที่เรากินครั้งนี้) จะเป็นราคา 1700++ (2201 net) ค่ะสำหรับเมนคอร์สของเราวันนั้นเป็นผัดไทยไชยาค่ะ (เช่นกันค่ะ ซูมเมนูดูราคาแล้วไม่สำเร็จง่า ขออภัย แต่ไปดูจากรีวิวเว็บหนึ่งบอกว่าผัดไทยราคา 450 บาท++นะคะ) โดยมีเครื่องปรุงมาให้ด้วยนะคะ แล้วก็มะนาวก็เสียบไม้มาให้บีบได้สะดวกขึ้น ชอบค่ะ แต่มาจานใหญ่มากกกกกกกก เก๊ากินไม่หมดง่ะ เสียดายมากๆสำหรับเมนูนี้ เท่าที่ฟังพนักงาน (ที่เดี๋ยวจะมีรูปให้ดูว่าคนไหนนะคะ) ซึ่งให้ข้อมูลดีมากเล่าให้ฟัง (และพอจะจดทัน เพราะละเอียดมาก ชอบๆ) ก็บอกว่านำเส้นไปผัดกับไข่เค็มไชยา โดยใช้เฉพาะไข่แดง จากนั้นก็นำไปผัดกับซอสพริกเผา ซึ่งกุ้งในเมนูนี้จะเป็นกุ้งแม่น้ำ ตัวผักแนมก็เป็น banana blossom tempura คือการนำปลีไปชุบแป้งทอดค่ะสำหรับรสชาติการกินนะคะ เส้นผัดไทยมีรสเผ็ด หอมน้ำพริกเผา มีความมันของไข่เค็มแฝงมาเบาๆ ไม่เด่นมากกำลังดีค่ะ รสจัดแบบแทบไม่ต้องปรุงเลยนะคะ อร่อยอ้ะ ชอบ (แต่ถ้าเย็นแล้วรสชาติจะดร็อปลงนะคะ แนะนำให้กินตั้งแต่ยังร้อนๆ อุ่นๆ อยู่ค่ะ) ซึ่งเราก็ถามน้องเค้าว่า ชาวต่างชาติจะกินเผ็ดขนาดนี้ได้เหรอ น้องแจ้งว่า สำหรับชาวต่างชาติสามารถสั่งเป็น less spicy ได้ค่ะ (ก็ควรนะ ไม่งั้นไม่น่าจะกินไหวค่ะ หุๆ)นี่คือไข่ซูวี่ที่สั่งเพิ่มมาให้ลูกสาวน้องเหมียวค่ะ...ทำไมสวยกว่าของเราที่มาในเซ็ตหละ 555ต่อไปเป็นเมนูที่สั่งมาลองกินกันเพิ่มจากเวาเชอร์ที่ไปใช้ค่ะDancing King Prawn 380 บาท++ค่ะเป็นการนำกุ้งลายเสือ เพราะตัวไม่ใหญ่เกินไปสำหรับการกินดิบน่ะนะคะ ถ้ากุ้งแม่น้ำมันจะใหญ่ไปน่ะ (เห็นด้วยค่ะ) น้องบอกว่า ถ้ากุ้งแม่น้ำจะเป็นฉู่ฉี่ค่ะสำหรับเมนูนี้ กุ้งสดนิ่มดีค่ะ ซอส (กรานิต้าที่ทำจากน้ำจิ้มซีฟู้ด) ถ้ากินใหม่ๆ จะเย็นและสดชื่นกว่าตอนปล่อยละลายนะคะ รสจัดจ้านดีค่ะจากนั้นก็ไปสำรวจห้องน้ำค่ะ ชอบลายเพ้นท์สัญลักษณ์ห้องน้ำมาก เก๋เชียวพอออกมาก็ขออนุญาตเค้าไปเก็บภาพที่ชั้นบนค่ะ ขึ้นบันไดไปกันเล้ยยยสวยงามนะคะ มีอีกหลายที่นั่งพอควรเลยค่ะ เราว่าเป็นส่วนตัวกว่าข้างล่างดีนะคะก่อนจะไปดูชั้นบนด้านใน เก็บภาพโดยรวมของชั้นล่างอีกครั้งค่ะที่นั่งด้านในของชั้นบนค่ะ สวยเนาะข้างบนก็มีป้ายบอกรางวัลที่ร้านนี้เคยได้รับค่ะน้องพนักงานท่านนี้นะคะที่ให้ข้อมูลตลอดเลยค่ะ ถ้าใครต้องการรู้เรื่องอาหารต่างๆ ก็สอบถามกับน้องเค้าได้นะคะในมือเป็นไอแพ็ดสำหรับให้ดูรูปเมนูต่างๆ ค่ะ ตอนนั้นว่าจะสั่งของหวานกัน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถกันทั้งคู่ เสียดายเหมือนกันค่าเสียหายที่จ่ายเพิ่มเติมจากเวาเชอร์ค่ะ ใช้บัตรเครดิตได้นะคะนอกจากนั้นก็มีให้ทำแบบสอบถามประเมินความพอใจด้วยค่ะสรุปสำหรับร้านนี้นะคะเป็นอีกร้านที่เหมาะกับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ ราคาสูงตามระดับและชื่อเสียงของร้าน อาหารวันนั้นเราชอบจานหลัก (ผัดไทยไชยา) มากๆ ค่ะ อร่อยจัดจ้านดี ตัว Dancing King Prawn ก็ดีค่ะ การบริการดีมาก คู่ควรกับเซอร์วิสชาร์จ เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษๆ อยากกินอาหารที่ได้รับการปรุงแต่งในอีกรูปแบบหนึ่งน่ะค่ะ อย่างเราเองก็คิดว่าถ้ามีโอกาส (ซึ่งปลายกุมภานี้ก็คือโอกาสนั้นค่ะ พาเพื่อนไปเลี้ยงขอบคุณ แหะๆ) ก็คงจะไปอีก แต่คงไม่ไปบ่อย เพราะกระเป๋าจะเบาเกินไปนะคะ เหอๆ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
 ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงถนนวิทยุ ปากซอยร่วมฤดีค่ะ ร้านอยู่ริมถนนเลย หาไม่ยากค่ะ พอเข้าไปถึงร้าน จะมีพนักงานมาต้อนรับด้านหน้า พูดจาทักทายอย่างสุภาพ พร้อมทั้งพาไปนั่งที่โต๊ะและเอาเมนูมาให้ดู ซักพักนึงก็จะมีพนักงานมารับออร์เดอร์ พร้อมทั้งคอยอธิบายเมนูต่างๆอย่างละเอียดภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับความเป็นไทย มองดูแล้วเข้ากันอย่างลงตัวแบบไม่น่าเชื่อ มีการตกแต่งด้วยชฎาและด้านบนตรงห้องส่วนตัวมีลักษณะเหมือนบาตรยื่นออกมาดูสวยงาม อลังการดีค่ะส่วนเมนูอาหารของที่นี่ เมนูจะเป็นอาหารไทย แต่ไม่ใช่อาหารไทยธรรมดาๆทั่วไปนะคะ ซึ่งจะไม่ธรรมดายังไงนั้นเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังเป็นแต่ละรายการไปนะคะเมนูที่สั่งมาทานมีด้วยกัน7อย่างค่ะ1.Dancing K.Prawns (380฿)เมนูนี้มันก็คือกุ้งแช่น้ำปลานั่นเองค่ะ ซึ่งแน่นอนละ มันก็ไม่ใช่กุ้งแช่น้ำปลาธรรมดาๆอย่างแน่นอน เมนูนี้มาเสิร์ฟแบบกุ้งกุลาดำตัวโตพร้อมน้ำจิ้มรถแซ่บสีเขียวมาในรูปแบบไอศครีม ซึ่งตัวน้ำจิ้มจะค่อยๆละลายมาทีละน้อยเมื่อตั้งทิ้งไว้สำหรับเมนูนี้ถือว่าเด็ดดวง เพราะน้ำจิ้มมรสแซ่บมว๊ากกกก ทานคู่กับกุ้งกุลาดำตัวโตฟินสุดๆ เอาไปเลย10กะโหลกสำหรับเมนูนี้ ชอบสุดเลย2.Crab Duo (650฿)เมนูนี้มาเสิร์ฟ2อย่างด้วยกันใน1จานตามชื่อ ซึ่งอย่างแรกก็คือปูนิ่มทอดกรอบ1ตัว กับยำปลาดิบและเนื้อปูรสชาติไท้ไทยจัดจ้าน เพราะว่าสมุนไพรมาเต็มเชียว ทั้งตะไคร้ ทั้งหอม มาแบบยำไทยๆอัดก้อน ท๊อปด้วยไข่กุ้ง(มันก็คือไข่ปลานั่นแหละ)เมนูนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ชอบตรงยำปลาดิบเนื้อปู ส่วนปูนิ่มก็กรอบ อร่อยดี เนื้อแน่น3.Tom-Yum (400฿)เมนูที่รอคอย และเป็นเมนูที่ตั้งใจจะมาดู(ไม่ผิดหรอก มาดูจริงๆ มาดูการนำเสนอของเค้า) ซึ่งก็ตื่นเต้นพอสมควรสำหรับเมนูนี้ เพราะว่าเค้ามาเสิร์ฟแบบต้มยำในหลอดวิทยาศาสตร์ โดยการนำเครื่องต้มยำ(ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรู)มาใส่ตรงหลอดด้านบน แล้วนำน้ำร้อนใส่ตรงกาด้านล่าง ซึ่งเค้าจะใช้ไฟลดตรงกาต้มน้ำ แล้วให้น้ำขึ้นมาตรงหลอดด้านบนแบบแรงดัน ให้น้ำมันมาผสมกับพวกสมุนไพรเพื่อเอากลิ่น เมื่อเสร็จแล้วก็จะเอาน้ำต้มยำที่ได้มาเทใส่ชามต้มยำที่มีกุ้งตัวโต2ตัวนอนอยู่ พร้อมทั้งคั้นน้ำมะนาวสดๆใส่ลงไปในชามสำหรับเมนูนี้ชอบการนำเสนอของเค้าค่ะ ดูอลังการ งานสร้างดี ไม่ผิดหวังที่ตั้งใจมาเพื่อเมนูนี้ ถือว่ามันเป็นการบันเทิงอย่างหนึ่ง555 ส่วนเรื่องรสชาติก็อร่อยดีค่ะ ถ้าใครอยากให้รสจัดจ้านก็เพิ่มพริกตำแหลกที่เค้าให้มาเป็นถ้วยเล็กๆแยกไว้ได้ อร่อยดีค่ะ กุ้งตัวโตดี4.Duck Roll (450฿)เมนูนี้จะเป็นคล้ายๆเปาะเปี๊ยอกเป็ดค่ะ โดยตอนมาเสิร์ฟจะมาเสิร์นพร้อมกลิ่นและควันที่รมอยู่ในฝา เมื่อถึงโต๊ะพนักงานก็จะมาอธิบายและรีบเปิดฝาออก(อย่างไว)เลยถ่ายรูปฝาคลอบควันไว้ไม่ทันสำหรับรสชาติอร่อยดีค่ะ ทานคู่กับน้ำจิ้มสีดำ เข้ากันดี5.Squids&Egg (220฿)เมนูนี้ก็คือเมนูปลาหมึกทอดกรอบผัดไข่เค็มนั่นเอง ซึ่งการนำเสนอของเมนูนี้ก็คือ นำปลาหมึกทอดกรอบผัดไข่เค็มมาวางไว้ด้านบนกะลามะพร้าว ซึ่งด้านในมีกลิ่นอยู่ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นอบควันเทียนนะคะ(อันนี้ไม่แน่ใจ) ทานไปก็ได้กลิ่นควันเทียนไปด้วย ได้อารมณ์แบบไทยๆดีค่ะเรื่องรสชาติก็โอเคนะ อร่อยดี ปลาหมึกทอดกรอบดี6.Choo-Chee Silky (780฿)เมนูฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน เมนูนี้เป็นปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบ ไซส์ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตอนมาเสิร์ฟ พนักงานจะเทน้ำฉู่ฉี่ลงไปบนปลาทอดจนหมด การนำเสนอเค้าดีค่ะ สามารถทำเมนูธรรมดาๆให้ดูมีอะไรได้รสชาติก็โอเคนะ แต่เลี่ยนกระทิไปหน่อย ส่วนปลาเนื้ออ่อนอร่อยมาก กรอบๆ ทานได้หมดทั้งตัวเลย7.Taro Rice (120฿)สั่งข้าวเปล่ามาทานกับอาหารค่ะ ซึ่งตอนแรกสั่งเมนูข้าวกล้องที่หุงในน้ำมะพร้าวไป แต่พนักงานมาบอกว่าทำไม่ทัน เลนแนะนำให้เปลี่ยนมาเป็นข้าวหุงกับเผือกแทนก็นำเสนอมาได้น่าสนใจดีค่ะ สำหรับข้าวหุงกับเผือก สามารถเพิ่มมูลค่าในอาหารได้ดี ข้าวหอมดีค่ะส่วนเครื่องดื่มที่นี่มีหลากหลายค่ะ ทั้งไวน์ ทั้งค๊อกเทล น้ำสมุนไพร แต่ที่ไปทานสั่งแค่น้ำเปล่าค่ะ ราคาก็ขวดละ50บาทสรุป นะคะ สำหรับร้านนี้ถือเป็นร้านที่ค่อนข้างมีสไตล์ มีการนำเสนอที่น่าสนใจ ร้านค่อนข้างหรูหรา มีระดับ เหมาะแก่การมาดินเนอร์หรือมานั่งคุยงาน ส่วนตัวคิดว่าร้านนี้ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่ควรค่าแกการมาลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง เพราะมาที่นี่ไม่ใช่แค่มาทานอาหารอย่างเดียว ยังสามารถมาดูการนำเสนอที่แปลกใหม่ที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันสามารถนำมาทำกับอาหารได้ เพลินไปอีกแบบดีนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าใครชอบการนำเสนอแปลกใหม่แบบนี้ก็ไม่ควรพลาดค่ะ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)