อ่านรีวิวฉบับเต็ม
2015-01-21
559 วิว
สำหรับวันนี้จะพาไปหม่ำอาหารอีกหนึ่งสัญชาติ ซึ่งขอสารภาพก่อนเลยว่าเป็นการไปกินอาหารสัญชาตินี้เป็นครั้งแรกของเจ้าของบล็อกเลยหละค่ะ แฮ่..นั่นก็คืออาหารไอริชกับร้าน FLANN O'BRIEN'S IRISH PUB สาขาเอททองหล่อนั่นเองค่ะ (อ่านแบบเป็นภาษาไทยก็ฟลาน โอเบรียนส์ ไอริชผับนะคะ) ซึ่งการไปครั้งนี้ก็ไปตามคำชวนของคุณเปิ้ล จากอิมแพ็คท่านเดิมที่เคยชวนเราไปหม่ำและทำรีวิวมาแล้วทั้ง Ito-Kacho และ สีโบฮาจิสาขาธนิยะ รวมทั้งที่เพิ่งรีวิวไปเมื่อไม่นานนี้กับเทศกาลกินปู ณ สีโบฮาจิสาขานิฮอนมาจินะคะท่านใดสนใจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองไปที่เว็ปไซต์และเฟซบุ๊คของเค้านะคะhttp://flann-obriens.comhttps://www.facebook.com/FlannobriensIr
ท่านใดสนใจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองไปที่เว็ปไซต์และเฟซบุ๊คของเค้านะคะ
http://flann-obriens.com
https://www.facebook.com/FlannobriensIrishPub.com
อ้อๆ ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 9.00-01-00 น.นะคะ เรียกว่าอาหารเช้ายันอาหารดึกเลยล่ะค่ะ หุๆ
สำหรับสาขาของร้านฟลานฯ ทั้งหมดจะมีดังนี้ค่ะ
1. สาขาอิมแพ็ค
2. สาขาเอเชียทีค โกดัง 10
3. สาขาสีลม (ตรงข้ามสีลมพลาซ่า)
4. สาขาทองหล่อ
สำหรับการไปวันนั้นเราขับรถไปค่ะ วิ่งเส้นถนนเพชรบุรีแล้วเลี้ยวเข้าซอยทองหล่อเลยค่ะ ไม่วิ่งจากสุขุมวิท ซึ่งคิดถูกมาก เพราะอีกฝั่งนี่ติดอย่างรุนแรง เหอๆ สำหรับการจอดรถ ต้องวิ่งผ่านหน้าอาคาร EIGHT ทองหล่อแล้วค่อยไปเลี้ยวเข้าข้างๆ อาคารนะคะ อย่าเลี้ยวก่อนหละ เพราะข้าพเจ้าขับผิดมาแล้ว แหะๆ แล้วก็ลงไปจอด แต่มันจะมีที่จอดสำหรับฟู้ดแลนด์โดยเฉพาะด้วย ต้องไปจอดตรงที่เสาทาสีดำๆ นะคะ โดยตัวบัตรจอดรถจะจอดได้สามชั่วโมงค่ะ ถ้าเกินก็ชั่วโมงละ 50 บาทนะคะ เราเกินไปชั่วโมงหนึ่ง (ไปถึงเร็วไปหน่อย แฮ่..) เลยจ่ายไปห้าสิบบาทฮับ
รูปแรกนี่จะเป็นรูปหน้าตึกเอทนะคะ ส่วนอีกสองรูปจะเป็นด้านข้างร้านจากในอาคารที่เดินขึ้นมาจากลานจอดรถ (ร้านจะอยู่หน้าอาคาร ติดถนนทองหล่อเลยค่ะ) กับด้านหน้าร้านฝั่งข้างนอกอาคาร จะเห็นว่าจะมีทั้งในห้องแอร์และนอกห้องแอร์ด้วยค่ะ จะเห็นว่าชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะเลยนะคะ ทั้งด้านนอกและด้านในร้าน (แต่ด้านนอกจะเยอะกว่าค่ะ) ซึ่งด้านในร้านก็จะมีโซนที่อยู่บริเวณหน้าบาร์ กับทางขวามือเข้าไปด้านในค่ะ ซึ่งโซนขวามือนั่นก็จะมีประตูเชื่อมสำหรับเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นลอยด้านบนซึ่งเป็นเอาท์ดอร์ด้วยนะคะ (จะพาชมต่อไปนะฮับ) แต่คนไทยน้อยมากจริงๆ ตอนเราไปเจอแค่อีกโต๊ะค่ะ นอกนั้นชาวต่างชาติล้วนๆ เลย พื้นที่ทั้งหมดนี้จะรับลูกค้าได้ทั้งหมดราว 70 ท่านนะคะ ภาพนี้เป็นโซนฝั่งขวาที่เราบอกค่ะ จะมีพื้นที่มากกว่าฝั่งหน้าบาร์ค่ะ ส่วนข้อความที่อยู่ด้านบนนั่นเป็นภาษาไอริช Ce'ad mile f'ailte (ที่จริงมันไม่ใช่อโพสโตฟี่นะคะแต่เราพิมพ์สัญลักษณ์บนตัวอักษรแบบในแบบไม่ได้ง่ะ ดูตามภาพเอาละกันค่ะ เง่อ) แปลว่า ยินดีต้อนรับ ค่ะ จะเห็นว่าโซนด้านนี้นี่มีการติดธงชาติของเมืองต่างๆ ในไอร์แลนด์ด้วยนะคะ อันนี้คุณเปิ้ลให้ข้อมูลมา ความรู้ใหม่เราอีกแหละ
เราชอบสโลแกนของร้านเค้านะคะ "ไม่มีคนแปลกหน้าที่ฟลาน โอเบรียนส์ มีแต่เพื่อนที่ยังไม่ได้เคยพบกันเท่านั้น" เก๋อ้ะ มาดูเมนูกันค่ะ คือ เราว่าถ้าเป็นร้านลักษณะนี้แล้วก็อยู่ทองหล่อ ราคาไม่ได้แพงนะคะ มาตรฐานของร้านลักษณะนี้เลยแหละ เรามาขึ้นบันไดวนไปชั้นลอยกันค่ะ ตรงนี้ต้องเข้าจากด้านในร้านนะคะ เข้าจากฝั่งเอาท์ดอร์ไม่ได้นะฮับ Smiley บรรยากาศด้านบนค่ะ เป็นเอาท์ดอร์อย่างที่แจ้ง วิวก็ประมาณในภาพหละนะคะ มาร้านนี้ไม่ดื่มเบียร์ก็กระไรนะคะ ผิดผีนะนั่น (ตึ่งโป๊ะ!!) ตัวแรกที่ได้ลองดื่มก็คือMagner's Cider ค่ะ คุณเปิ้ลบอกว่าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้หญิงนะคะ ตัวนี้จะทำจากแอปเปิ้ลล้วนๆ เลยค่ะ ไม่มีข้าวมอลต์ (ซึ่งก็คือเมล็ดข้าวอบแห้งหรือคั่ว ของเมล็ดธัญพืชที่แตกหน่อแล้ว โดยปกติใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์ค่ะ) สำหรับรสชาติ ตัวนี้กลิ่นหอมอ่อนๆ ดีค่ะ ทำให้คิดถึงตัวผลไม้ (ก็แอปเปิ้ลนั่นแล) มีรสเปรี้ยวนิดๆ นำ กินแล้วให้อารมณ์ใกล้เคียงกับการดื่ม sparkling wine นะคะ เราว่าเหมาะกับผู้หญิงที่ไม่ได้ดื่มหนักอะไรมาก (อย่างเรา) หละค่ะ
จานแรกที่มานะคะกับ Caesar Salad with Shrimps (275 บาท) ค่ะ ซีซ่าร์สลัดกุ้งเข้มข้น เข้มข้นถูกใจคนชอบสลัดด้วยผักคอซ พร้อมพาเมซานชีส ฝานเป็นเส้นเต็มคำ พร้อมกุ้งสด และไข่ต้ม และปลาแองโชวี่เพิ่มความหอมและเข้มข้น และเบคอน ขนมปังกรูตองเพิ่มความกรุบกรอบ
สำหรับเมนูนี้นะคะ ผักสดกรอบมาก น้ำสลัดก็รสชาติดี พามิซานชีสมาแบบเป็นแผ่นตู้มมากกกก สำหรับคนชอบกินสลัด (ข้าพเจ้าก็ด้วย) ไม่ควรพลาดเมนูนี้นะคะ อร่อยแหละ Smiley ต่อไปค่ะกับ Irish Leek Soup (170 บาท) ซุปกระเทียม ซุปข้นสไตล์ตะวันตก หอมกรุ่นรสนุ่มด้วยต้นกระเทียมที่นำมาปั่นและกรองจนละเอียดนำไปต้มคู่กับวิปครีมและครีมสด
สำหรับการกินตัวนี้นะคะ ตัวซุปค่อนข้างนุ่มนวลแต่เข้าข้น หวานจางๆ หอมอ่อน แต่ที่เซอร์ไพรซ์สุดคือขนมปังค่ะ มาแบบกรอบนอก เนื้อในแน่น ชอบ texture ของมันมาก เลิศ อร่อยสุดๆ ค่ะ กินเปล่าก็อร่อย พอกินกับซุปก็อร่อยนะคะ แต่ควรกินตอนร้อนค่ะ เพราะพอเย็นแล้ว รสชาติซุปจะหวานขึ้นมาอีกหน่อยค่ะ
ช่วงนี้มีโปรเบียร์ตามภาพเลยนะคะ ถ้าสั่งเบียร์ Guinness ตอนนี้ราคาแก้วละ 200 จาก 280 และถ้าสั่ง KILKENNY 4 แก้วได้ร่มฟรีด้วยค่ะ นอกจากนั้นสำหรับอาหารเช้า ตอนนี้ถ้าไปกินก็ลด 50% ด้วยนะคะ คือ ถ้าไม่ได้รับเชิญไปนี่ ขอบอกว่าไม่คิดว่าร้านแนวนี้จะมีอาหารเช้าขายด้วยเลยนะพับผ่าเหอะ เซอร์ไพรซ์อ้ะ (ไอริชผับที่อื่นเค้ามีแบบนี้กันหมดปะคะ อยากรู้จังน่อ)
ให้ดูขนาดแก้วระหว่าง half กับ Pint ค่ะว่าต่างกันประมาณนี้ ถ้าดื่มเก่งๆ เราว่าสั่งเป็น Pint คุ้มกว่าน่อ สำหรับตัวเบียร์ Kilkenny ฟองนุ่มมากๆ นะคะ ความเป็นเบียร์จะชัดกว่าตัว Magner's หละค่ะ (มารอบนี้ได้ชิมเบียร์สามตัวเลยแหละ)
ตอนทำรีวิวนี้เราก็ไปหาเกร็ดเรื่องของการทำเบียร์มาฝากค่ะ ซึ่งก็ไปได้มาจาก
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2ccf274f3e43632c&table=%2Fguru%2F
ความว่า
องค์ประกอบหลักในการหมักเบียร์คือ น้ำ ข้าวมอลต์(คือเมล็ดข้าวอบแห้งหรือคั่ว ของเมล็ดธัญพืชที่แตกหน่อแล้ว โดยปกติใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์) ฮอปส์ และ ยีสต์ และยังมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่นผลเชอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และเมล็ดธัญพืชอื่น เช่น เมล็ดข้าวสาลี (Wheat) เรียกว่า แอดจังท์ (Adjunct) หรือ ส่วนผสมข้างเคียง
น้ำ : เนื่องจากน้ำนั้นเป็นองค์ประกอบหลักของเบียร์ คุณสมบัติของน้ำที่ใช้จึงมีผลต่อรสชาดของเบียร์
มอลต์ : เมล็ดข้าวมอลต์ จากข้าวบาเลย์นั้นเป็นชนิดที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องมาจากมีปริมาณ เอนไซม์อะไมเลส (amylase enzyme) สูง ซึ่งทำให้กระบวนการแตกตัวของแป้งเป็นน้ำตาลนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากข้าวมอลต์จากข้าวบาเลย์แล้ว เมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวสาลี (wheat) ข้าวเจ้า (rice) ข้าวโพด (maize) ข้าวโอ๊ต (oat) และ ข้าวไรย์ (rye) ทั้งแบบที่ทำเป็นข้าวมอลต์ และ เมล็ดปกติ ก็ยังใช้เป็นส่วนผสมอีกด้วย
ฮอปส์ : ส่วนผสมซึ่งให้รสขมในเบียร์ เพื่อสมดุลรสหวานจากมอลต์ นอกจากนั้นยังมีผลเป็นยาปฏิชีวนะ ต่อต้านจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยีสต์ ส่งผลต่อการหมัก
ยีสต์ : ใช้ในกระบวนการหมักเพื่อย่อยสลายน้ำตาล ที่สกัดจากเมล็ดธัญพืช ให้เป็นแอลกอฮอล์ และ คาร์บอนไดออกไซด์ โดยปกติแล้วระดับแอลกอฮอล์ในเบียร์จะอยู่ที่ 4-6เปอร์เซ็นต์ แต่อาจจะต่ำถึง 2 เปอร์เซ็นต์ หรือ สูงถึง 14 เปอร์เซ็นต์ ยีสต์ที่ใช้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ยีสต์หมักลอยผิว ยีสต์หมักนอนก้น ยีสต์ธรรมชาติ
แต่ถ้าใครอยากอ่านละเอียดๆ ลองไปที่ลิงก์นี้ดูค่ะ เค้าใส่สคริปต์กันก็อปปี้ไว้ เลยเอามาให้อ่านกันที่นี่ไม่ได้นะคะ (ที่จริงมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เราเคยอ่าน ที่พูดเรื่อง เบียร ไวน์ แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้ อ่านสนุกด้วยนะคะ แต่ลืมชื่อหนังสือซะงั้น เสียดาย)
http://www.cocktailthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=210504&Ntype=3
แล้วก็ในเมนูนี่เค้าก็จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ ให้อ่านด้วยนะคะ อย่างที่มาของชื่อร้าน ซึ่งนำมาจากชื่อนักประพันธ์ชาวไอริชท่านนี้เป็นต้นค่ะ
นอกจากนั้นก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับตำรับอาหารแบบไอริชด้วยค่ะ ซึ่งจานเด่นๆ ที่เป็นตัวแทนของอาหารไอริชก็เช่น สตูว์ไอริช เบคอนและกะหล่ำปลี ส่วน coddle and colcannon นี่อิชั้นก็พยายามไปสืบเสาะมา ได้ความว่า coddle เป็นวิธีการทำอาหารที่คล้ายๆ กับการลวกหละค่ะ (to cook (as eggs) in liquid slowly and gently just below the boiling point) ส่วน colcannon คือ potatoes and cabbage boiled and mashed together with butter and seasoning นะคะ
แต่สำหรับนอกประเทศไอร์แลนด์แล้ว ส่วนมากจะคิดว่าอาหารไอร์แลนด์ก็จะเป็นแค่มันฝรั่งกับเนื้อแกะเท่านั้นหละค่ะ แต่ที่จริงแล้วอาหารไอร์แลนด์มีความหลากหลายทางวัตถุดิบมากกว่านั้นนะคะ Smiley
นอกนั้นก็จะมีเรื่องของเซนต์แพทริคและเกร็ดเรื่องอื่นๆ อีกค่ะ สนใจก็ลองอ่านเมนูดูนะคะ อิอิ
นอกจากนั้นที่นี่ก็รับจัดปาร์ตี้ด้วยนะคะ ตามภาพเลยฮับ ตัดฉับเข้าสู่รายการหลักกันค่ะ กับเมนูต่อไปนะคะ Banger and Mash (345 บาท) (ขอบอกว่าแต่ละเมนูนี่มา portion ตู้มๆ ทั้งนั้นนะคะ) ไส้กรอกหมูสไตล์ไอริช เสริฟพร้อมโปเตโต้แมชมันฝรั่งบด เนื้อเนียนราดด้วยซอสเกรวี่รสชาตินุ่มนวล หวานหอมหัวใหญ่และเครื่องเทศสไตล์ไอริช
สำหรับตัวนี้นะคะ ไส้กรอกไม่มีแป้งเลยค่ะ เนื้อหมูมาเต็ม หอมกลิ่นเครื่องเทศแบบเข้มข้นมากค่ะ แล้วด้วยวิธีการทำ เราว่ารสชาติไส้กรอกของเค้ามันต่างจากรสชาติไส้กรอกทั่วไปอ้ะ ส่วนตัวมันบด จะยังมีตัวเนื้อนิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เนียนไปหมดนะคะ น้ำเกรวี่ก็โอในระดับหนึ่งค่ะ อร่อยดีค่ะจานนี้
ต่อไปค่ะกับ Fish and Chips (375 บาท) ตัวปลาเป็นปลาดอลลี่นะคะ มาชิ้นใหญ่ยักษ์เช่นเคยค่ะ แป้งกรอบมาเวอร์มากกกกกค่ะ (คุณเปิ้ลเล่าว่าเป็นแป้งผสมกับเบียร์ Kilkenny ค่ะ) ตัวซอสทาทาเชฟก็ตีเองนะคะ (แต่เป็นสูตรของทางอิมแพ็ค) เนื้อปลาด้านในก็ยังชุ่มฉ่ำอยู่ค่ะ อร่อยค่ะ เป็นอีกตัวที่ต้องกินตอนร้อนนะคะ พอคลายร้อนแล้ว ความกรอบจะลดลง จะทำให้อร่อยน้อยลงค่ะตัวนี้ เอาคำบรรยายวิธีการทำมาแปะให้อ่านกันนะคะ ฟิชแอนด์ชิฟ ปลาดอลลี่ชิ้นโตชุปแป้งสูตรเฉพาะที่ผสมผสานด้วยเบียร์ Kilkenny ช่วยเพิ่มความกรอบนานให้กับเนื้อปลาและมีความฟูกรอบ สีเหลืองทอดน่ารับประทาน เสริฟคู่กับซอสทาร์ทาร์ที่ทางร้านตีเอง เป็นเรียลมายองเนส ผสมเม็ดแคปเปอร์เพิ่มความเปรี้ยวกลมกล่อม ทานคู่กับเครื่องเคียงมันฝรั่งทอดเคล้าด้วยผงปาปริก้าเพิ่มความเข้มข้น และถั่วลันเตาแครอทผัดกับเนย
จานต่อไปค่ะ กับอีกหนึ่ง signature ของร้าน Beef and Guinness Pie (425 บาท) ค่ะ อันนี้มาแบบรูปลักษณ์แรกก่อนนะฮับ
จากนั้นทางคุณเปิ้ลก็ให้พนักงานเอาไปให้เชฟผ่าให้ค่ะ ก็จะออกมาตามภาพเลยนะคะ ข้างในนี่จะเป็นเนื้อสันออสเตรเลีย (เซอร์ลอยด์) นำไปตุ๋นด้วยเบียร์กินเนสอย่างน้อยหกชั่วโมงค่ะ โดยเนื้อสันนี่ก็มีการหมักด้วยกินเนสด้วยนะคะ
ถ้าเอาวิธีการทำแบบเต็มๆ ตามเอกสารก็จะบรรยายไว้ว่า เป็นสตูว์เนื้อตุ๋นด้วยเบียร์ดำกินเนสตุ๋นนานกว่า 4ชั่วโมงใช้เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศ โปะด้านบนเป็นลูกกลมด้วยแป้งพัสเพสตรี้ ที่หอมนุ่มเนย แล้วนำไปอบต่อจนพองโต เมนูมีความนุ่มหอม ด้วยเครื่องเทศสไตล์ไอริชอาทิ ใบไทม์
การกินควรกินพร้อมกับแป้งพายนะคะ เพราะถ้ากินตัวเนื้อตุ๋นเปล่าๆ รสชาติจะเข้มไปค่ะ ไม่ค่อยบาลานซ์เท่าไหร่ สำหรับรสชาตินะคะ มัน...อร่อยมากกกกกกกกกที่สุดในสามโลก เนื้อหอมเข้มข้นมากๆๆ ตัวเนื้อก็นิ่มแต่ไม่เสียความเป็นเนื้อค่ะ สำหรับตัวมันฝรั่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรากินทีหลังตัวเนื้อตุ๋นกับแป้งพายหรือเปล่า ทำให้รู้สึกว่ารสมันจางๆ ไม่โดนแม้แต่น้อยค่ะ
สำหรับมื้อนี้ได้น้องตี๋ (เหมือนจะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของร้านนะคะ ผู้จัดการร้านคนใหม่ที่เพิ่งมาเป็นชาวสวีเดนค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปผจก.มา แหะๆ) มาช่วยดูแลและให้ความรู้ค่ะ อัธยาศัยดี ดูแลดีมากค่ะ น่ารักแหละ
อย่างตัวเบียร์ดำน้องตี๋ก็เล่าให้ฟังว่า จะหมักนานกว่า lager ทั่วไป lager จะใช้เวลาหมักประมาณ 1-2 ปีและตีฟองขึ้นขณะที่เบียร์ดำจะหมักราว 3-5 ปีและใช้ยีสต์ที่ทำให้ฟองตกลง (รวมทั้งการหมักและกลั่นด้วยนะคะ) และจะใช้ไม้ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในไอร์แลนด์เท่านั้นด้วยค่ะ
นอกจากนั้น Kilkenny ก็จะมีการกลั่นน้อยกว่า บางคนก็จะเรียกว่า brown beer ค่ะ แต่ที่จริงแล้วก็เป็นเบียร์ดำนะคะ
ซึ่งข้าพเจ้าก็ไปพึ่งพากุเกิ้ลอีกเช่นกัน แล้วก็ได้ประเภทของเบียร์ต่างๆ มาจากลิงก์นี้นะคะ ซึ่งอ่านแล้วคิดว่า เจ้ากินเนสนี่น่าจะเป็นเบียร์ประเภทเอล ( Ales) แบบ stout ค่ะ เพราะเค้าบอกไว้ดังนี้นะคะ
เอลเป็นเบียร์ที่มีสีเข้ม รสชาติเข้มข้น รสขมกว่าและดีกรีสูงกว่าลาเกอร์เบียร์โดยทั่วไปคือมีดีกรีประมาณ 5.5 -6.5 % โดยน้ำหนัก ที่นิยมมี 2 ชนิดคือ
1) Porter
เบียร์สีดำ รสขมอมหวาน ปัจจุบันนิยมน้อยมาก แต่บางประเทศยังผลิตอยู่เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา
2) Stout
ได้รับความนิยมมากกว่า Porter เพราะมีรสชาติดีกว่า ลักษณะเด่นของ Stout คือ มีกลิ่นและรสชาติมาก รสหวานมาก ขมเล็กน้อย Guinness stout ของประเทศไอร์แลนด์ ปัจจุบันผลิตในประเทศอื่นๆด้วย นิยมนำไปผสมเป็นค็อกเทลที่มีชื่อเสียง โดยผสมกับแชมเปญในอัตราส่วนอย่างละครี่งเรียกว่า Black Velvet
นอกจากนั้นคุณเปิ้ลก็บอกด้วยว่า มีคนบอกด้วยว่า ผู้หญิงที่ดื่มเบียร์ดำจะช่วยบำรุงน้ำนมด้วยค่ะ อารมณ์ประมาณหญิงไทยกินแกงเลียงกันเลยทีเดียว...ความรู้ใหม่เอี่ยมของข้าพเจ้าอีกเช่นกันค่ะ
ข้าพเจ้าก็เลยไปค้นหาข้อมูลมาเพิ่ม (ค่ะ..ป้าจขบ.นี้มันบ้า..คงไม่ใช่เพิ่งรู้ใช่มั้ยคะ?) ก็เลยได้รู้ว่า โอ้ว มันมีประโยชน์เกี่ยวกับเลือดไม่ให้เป็นลิ่มและเรื่องของหัวใจตีบด้วยนะคะ
จาก ลิงก์นี้ ซึ่งบอกไว้ว่า
คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยวิสคอนซินแห่งสหรัฐฯ กล่าวยอมรับว่าเบียร์กินเนสส์ อาจจะดีจริง สมตามคำโฆษณาอวดอ้างไว้แต่ดั้งเดิม
คณะผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย กล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่อเมริกาว่า หากดื่มเบียร์ดำวันละ 473 ซีซี อาจจะมีสรรพคุณในการป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เท่าๆกับที่กินยาแอสไพริน ในปริมาณต่ำ โดยที่การกินเบียร์อย่างอ่อนธรรมดา ไม่มีสรรพคุณในเรื่องนี้แต่อย่างใด
บริษัทเบียร์กินเนสส์ เคยโดนถูกห้ามการโฆษณาอวดอ้างนี้ มาก่อนตั้งหลายสิบปีมาแล้ว แม้จนปัจจุบัน บริษัทก็ไม่เคยอวดอ้างสรรพคุณ ในด้านบำรุงร่างกายอีก
ทีมของมหาวิทยาลัยได้เล่าว่า ได้ทดสอบคุณสมบัติในด้านบำรุงสุขภาพ ของเบียร์ดำ เปรียบเทียบกับเบียร์อย่างอ่อนกับสุนัขที่เป็นโรคหลอดเลือดตีบแบบเดียวกับที่เป็นโรคหัวใจ ก็ได้พบว่าเส้นเลือดน้องหมาตัวที่ได้กินเบียร์เสต้าห์ ตีบน้อยลง โดยตัวที่กินเบียร์ธรรมดา อาการไม่ดีขึ้น
อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอาการที่อาจก่อให้หัวใจวายได้ เนื่องจากมันทำให้เส้นเลือดแข็ง
คณะนักวิจัยยังได้รายงานต่อที่ประชุมแพทย์สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน การดื่มเบียร์ดำ ที่จะให้ประโยชน์มากที่สุด คือการดื่มมากสัก 473 ซีซี ระหว่างรับประทานอาหาร
และเพิ่มเติมจาก ลิงก์นี้
ถ้าถามคน Irish ก็็ต้องตอบว่าจริง ดีแท้แน่นอน เพราะเขาเพิ่งฉลองครบรอบ 250 ปีไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาให้กับ Arthur Guinness ผู้ก่อตั้งโรงงานต้มเบียร์ดำ
และถ้าอ้างผลการศึกษาของบุคคลท่านนี้คือProfessor John Folts ( University of Wisconsin School of Medicine and Public Health division of cardiovascular medicine)ก็น่าจะจริง และเป็นที่เชื่อถือได้นะ
โดยได้ทดลองกับ สุนัข 8 ตัวให้ิกินเบียร์ดำ(stout) และกินเบียร์ธรรมดา(lager) ผลคือสุนัขที่กินเบียร์ดำมีเลือดไม่ข้นเป็นลิ่ม(thin blood) จะแปลว่าเลือดบางก็ใช่ที่ เลยลองไปทดลองกับคน ผลที่ได้ก็เหมือนกัน เพราะในเบียร์ดำมีFlavonoids มาก ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถหยุดปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากการรวมตัวของอ๊อกซิเจน(oxidation) กับ cholesterolได้ ตามที่รู้กัน
ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบต่อไปว่า เบียร์ดำ กับ ไวน์แดงป้องกันเลือดจับตัวป็นลิ่ม(clotting) ได้ดีกว่า ไวน์ขาว เบียร์ เหล้า แต่การที่จะดื่มอะไรต้องยึดหลักพอประมาณเท่านั้น สายกลางๆ ถ้ามากไปอาจอ้วนได้ง่ายๆ เพราะใน 1 pint( 1 ขวด 1 แก้ว หรือ 1 กระป๋อง) มีแคลอรี่ถึง 198 เชียวนะ
ผลิตภัณฑ์มีให้เลือก 3 แบบ และปริมาณ alcohol บรรจุ
Draught Guinness 4.2%
Extra Stout 4.2%
Foreign Extra Stout 7.5%
แต่ถ้าจะแจงให้ละเอียดอีก Guinness Draught Beer 1 pint ประกอบด้วย196 calories , 49 mg sodium ,18 g carbohydrate และ 1.6 g protein
ดูจากข้อมูลก็น่าจะคำนาณได้ว่าควรดื่มยังไงถึงเรียกว่าพอดีเนอะ ลืมบอกไปว่า Prof.John ก็เพิ่ม flavonoids ให้กับตัวเองด้วย น้ำองุ่นแดงเฉยๆ หรือไม่ก็ ไวน์แดง 1-2 แก้ว แต่เขาบอกว่า Guinness 1 ขวดเยอะไปสำหรับเขา ดูเอาเถอะ จะสรุปซะหน่อยคนทำวิจัยยังไม่ดื่มเลย
*ปริมาตร 1 pint ในอังกฤษ ยุโรป USA ไม่เท่ากัน
อิชั้นก็เลยต้องลองสั่งมาดื่มค่ะ (แต่จิบไปนิดเดียวพอให้รู้รสชาติมารีวิวได้ค่ะ เพราะตัวเองต้องขับรถกลับง่ะนะ Smiley ) ขอบอกว่าเข้มที่สุดในบรรดาสามตัวที่ได้ชิมเลยหละค่ะ กลิ่นชัด รสชัด ขมสุดและแรงใช้ได้เลยหละค่ะ ภาพนี้พยายามถ่ายให้เห็นฟองเบียร์ที่มันตกลงมา...แต่..ไม่สามารถค่ะ ใครอยากเห็นก็ลองไปสั่งดื่มเองละกันนะ ฮา
ลำดับต่อไปกับของหวานค่ะ (ที่จริงของคาวมีอยู่อีกหนึ่ง แต่จากรสชาติแล้วคิดว่ากินแบบฝาหรั่งให้หมดสิ้นก่อนน่าจะดีกว่าน่ะนะคะ แหะๆ) นั่นก็คือ Irish Bread Pudding (135 บาท) นั่นเอง พุดดิ้งโฮมเมดสไตล์ไอริช เข้มข้นด้วยไข่ไก่ นม ขนมปังชิ้นเล็กและลูกเกด โรยด้วยผงชินนาม่อนทานคู่กับซอสคัสตาร์ดอร่อยลงตัว
สำหรับผลของการกินนะคะ ตัวเนื้อนุ่มหยุ่น อารมณ์ประมาณหม้อแกงผสมขนมปังผสมไข่ตุ๋นน่ะค่ะ แต่เนื่องด้วยกลิ่นซินนาม่อนมันเด้งออกมามาก เลยไม่ค่อยโปรดเท่าไหร่สำหรับเราค่ะ (เราไม่ชอบกลิ่นซินนาม่อนง่าา) แต่คุณเปิ้ลบอกว่า ส่วนใหญ่สาวๆ จะชอบกันค่ะ (หรือเพราะเราไม่สาวแล้ว?? ตึ่งโป๊ะ )
และปิดท้ายกันด้วยอาหารสไตล์ไทยบ้าง (จากเมนูจะเห็นว่ามีเมนูแบบไทยๆ กึ่งฟิวชั่นด้วยนิดหน่อยนะคะ) กับแซลม่อนแซ่บ (215 บาท) แซลม่อนแซ่บ เมนูฟิวชั่นรสจัดจ้านถูกใจ ด้วยสโมคแซลม่อนอย่างดีราดด้วยน้ำยำรสจัด รองด้วยกะหล่ำปลีหั่นฝอย เพิ่มคุณค่า
สำหรับรสชาตินะคะ แซลมอนสดในระดับหนึ่งค่ะ แต่ไม่ถึงกับว้าวง่ะ แต่รสชาติจัดจ้านดีมากๆ แก้เลี่ยนได้ดีเลยค่ะ ใครชอบกินกับแกล้มแบบรสจัดๆ แกล้มเบียร์น่าจะชอบตัวนี้นะคะ
จากนั้นก่อนกลับเราก็ไปเก็บภาพส่วนอื่นๆ ของทางร้านค่ะ รูปซ้ายนี่คือเชฟขวัญ ไชยกรค่ะ ซึ่งเรียนเรื่องการทำอาหารมาจากกระทรวงแรงงานและสวนดุสิต ซึ่งผ่านงานการทำอาหารมาตั้งแต่ อมารีวอเตอร์เกท เดอะโดม สเตททาวเวอร์ เซนทาราแกรนด์ มีทแอนสวีท (เปลี่ยนเป็นร้านอื่นไปแล้ว) เรือซีทีไอ ก่อนจะมาทำที่นี่ก็ทำที่สวิสลอร์ดคอนแวนต์มาก่อนค่ะ ส่วนรูปทางขวานี้คือนักประพันธ์ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้านนะคะ รูปจะอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์บาร์ค่ะ เก็บภาพแถวเคาน์เตอร์บาร์มาค่ะ จะเห็นว่ามีหัวจ่ายเบียร์แยกเป็นยี่ห้อๆ ไปเลยอ้ะ เก็บภาพหนุ่มๆ แถวเคาน์เตอร์บาร์มาฝากค่ะ ส่วนรูปขวาบนนี่เป็นบัตรจอดรถนะคะ ต้องเอามาสแกนที่บาร์นี่แหละค่ะ จอดได้สามชั่วโมงนะคะ เกินก็ชั่วโมงละห้าสิบบาทนะฮับ เอาหละค่ะ มาสรุปกันสำหรับการรับประทานอาหารมื้อนี้นะคะ
สำหรับการกิน เราถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรซ์ในเรื่องของรสชาติอาหารหละค่ะ เพราะเป็นอาหารชาติตะวันตกที่รสชาติค่อนข้างเข้มข้นมากๆ หลายเมนูนี่เครื่องเทศไม่แพ้อาหารทางฝั่งเอเชียเลยนะคะ เรียกว่าเป็นอาหารฝั่งตะวันตกที่ค่อนข้างมีรสมีชาติและไม่เลี่ยน (หรือถ้าเลี่ยน กินเบียร์แกล้มไปก็แก้เลี่ยนและเข้ากั๊นเข้ากันค่ะ) เรียกว่าเป็นการรู้จักกับอาหารไอริชที่ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียวหละค่ะ ซึ่งไปรอบนั้นเรายังไม่ได้ลองซิกเนเจอร์อีกสองตัวคือ นิวซีแลนด์แลมพ์ช็อปกับเซ็ตอาหารเช้า ซึ่งก็คิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะไปลองชิมอีกครั้งหละค่ะ
แล้วก็ที่นี่ปกติมีวงดนตรีฟิลิปปินส์เล่นด้วยนะคะ แต่ตอนนี้กำลังอยู่ช่วงเปลี่ยนล่ะค่ะ เลยไม่มีเล่น ส่วนสาขาอื่นก็มีที่สีลมทุกวันศุกร์ตอนสามทุ่มกับวงบางกอกบีทเทิลส์ค่ะ ส่วนสาขาที่อิมแพ็คจะมีเฉพาะช่วงเทศกาลแล้วก็ที่เอเชียทีคก็มีเฉพาะศุกร์กับเสาร์เหมือนที่สาขาทองหล่อนะคะ
โพสต์