9
0
0
ระดับ4
วันนี้จะพาไปร่วมงาน Sparkling Wine Paring ซึ่งเป็นการกินอาหารที่จับเข้าคู่กับไวน์จากอังกฤษคือ Lambrini กันนะคะ โดยงานนี้ก็จัดกันที่โรงแรม Amara สุรวงศ์นั่นเองหละค่ะ วันนั้นเนื่องด้วยเป็นวันศุกร์ค่ะ เราเลยไม่ขับรถไป นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีสามย่าน ขึ้นฝั่งวัดหัวลำโพง นั่งมอเตอร์ไซค์ 20 บาทไปที่รร.นะคะ ด้านหน้ารร.ก็ตามนี้เลยค่ะ หลังจากลงทะเบียนรับเอกสารเรียบร้อยแล้วก็ลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องอาหาร Element ของโรงแรมค่ะ ซึ่งก็มีการจัดสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว วันนั้นนอกจากบล็อกเกอร์แล้วก็มีการเชิญสื่ออื่นๆ และแขกจากสาขาต่างๆ ด้วยนะคะ เซ็ตอัพบนโต๊ะค่าา ก่อนที่จะเริ่มงาน เราไปรู้จักกับ Lambrini กันสักนิดนะคะ แบรนด์นี้เป็นของปร
อ่านรีวิวฉบับเต็ม
วันนี้จะพาไปร่วมงาน Sparkling Wine Paring ซึ่งเป็นการกินอาหารที่จับเข้าคู่กับไวน์จากอังกฤษคือ Lambrini กันนะคะ โดยงานนี้ก็จัดกันที่โรงแรม Amara สุรวงศ์นั่นเองหละค่ะ

วันนั้นเนื่องด้วยเป็นวันศุกร์ค่ะ เราเลยไม่ขับรถไป นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีสามย่าน ขึ้นฝั่งวัดหัวลำโพง นั่งมอเตอร์ไซค์ 20 บาทไปที่รร.นะคะ ด้านหน้ารร.ก็ตามนี้เลยค่ะ

หลังจากลงทะเบียนรับเอกสารเรียบร้อยแล้วก็ลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องอาหาร Element ของโรงแรมค่ะ ซึ่งก็มีการจัดสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว วันนั้นนอกจากบล็อกเกอร์แล้วก็มีการเชิญสื่ออื่นๆ และแขกจากสาขาต่างๆ ด้วยนะคะ

เซ็ตอัพบนโต๊ะค่าา

ก่อนที่จะเริ่มงาน เราไปรู้จักกับ Lambrini กันสักนิดนะคะ แบรนด์นี้เป็นของประเทศอังกฤษค่ะ ผลิตที่เมืองลิเวอร์พูลโดยบริษัท Halewood International ซึ่งผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1994 (พ.ศ. 2537) ซึ่งสำหรับตลาด Perry (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หมักจากลูกแพร์) แล้ว เป็นแบรนด์ที่ครอบครองตลาดสูงถึง 53.6% (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) เลยทีเดียวค่ะ ซึ่งหากใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมของแบรนด์นี้ มีสองลิงก์ด้านล่างให้เป็นข้อมูลนะคะ

website ที่อังกฤษ

http://www.lambrini.co.uk/

เฟสบุ๊คของไทย

https://web.facebook.com/Lambrinithailand/

แต่วันนั้นที่เราได้ดื่มจะมีอยู่สามตัวนะคะ ได้แก่ The Dazzling One Chambrini Sparkling Perry, The Classic One Lambrini Slightly Sparkling Perry และLambrini Slightly Blush Sparkling Perry ค่ะ

เมนูอาหารและเครื่องดื่มที่จะแพร์ริ่งกันในวันนั้นก็ตามนี้เลยนะคะ

ระหว่างรอแขกท่านอื่นๆ ทางผู้จัดงานก็มีของกินเล่นมาให้รองท้องกันก่อนค่ะ เครื่องดื่มเป็น Sparkling พริกมะนาว ที่ออนท็อปด้วย Lambrini นะคะ เมนูนี้ชื่อ Dialo รสชาติแปลดีค่ะ มีความเป็นพริกกับมะนาวแซมมาด้วย ซึ่งอาหารที่จัดมากินแกล้มก็จะมี Oyster Bloody Mary ซึ่งอาหารก็ตรงตัวเลยค่ะ รสชาติแปลกอีกเช่นกัน ส่วนอีกตัวที่เป็นแซลมอนเราไม่ได้ชิมนะคะ แหะๆ

หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การรับประทานอาหารแล้วค่ะ โดยเครื่องดื่มตัวแรกที่เสิร์ฟจะเป็น The Dazzling One Chambrini Sparkling Perry นะคะ

รสชาติของตัวนี้จะซ่าและแรงค่ะ แต่มีความหวานอมเปรี้ยวสดชื่นดี เราค่อนข้างชอบเลยนะคะตัวนี้ แม้ว่าแอลกอฮอล์จะสูงที่สุดในบรรดาสามตัวคือ 10% เลยก็ตาม แต่ดื่มง่ายดื่มลื่นมากค่ะ ชอบๆ

แอบไปเก็บภาพเชฟและผู้ช่วยที่กำลังผลิตอาหารกันอย่างขมักเขม้นค่ะ

ต่อไปเป็นอาหารค่ะ โดยอาหารที่แพร์ริ่งกับเครื่องดื่มตัวแรกจะมีด้วยกันสองเมนูนะคะ โดยเมนุแรกจะเป็นแอพพิไทเซอร์สามตัว ได้แก่ กระเพาะปลาผัดถั่วงอก อกเป็ดซอสเขียวหวาน และกุ้งย่างซอสสามรสค่ะ

ไล่ไปทีละเมนูนะคะ กับกระเพาะปลาผัดถั่วงอก รสจะค่อนข้างอ่อนๆ เบาๆ มีกลิ่นหอมของการผัด และตัวกระเพาะปลานุ่มเด้งดีค่ะ ส่วนเมนูอกเป็ด อกเป็ดแน่นมากค่ะ โดยตัวเนื้ออกมีรสเค็มนิดๆ แต่มีซอสเขียวหวานช่วยสร้างรสให้หลากหลายขึ้น ซึ่งในซอสมีข้าวโพดและมะม่วง ซึ่งช่วยสร้างทั้งกลิ่นและรสและเพิ่มเทกซเจอร์ให้กับเมนูนี้ด้วยค่ะ อร่อยค่ะ คนชอบหลายคนเลย ต่อไปเป็นกุ้งย่างซอสสามรส กุ้งดีค่ะ สด แน่น เด้ง รสซอสออกจะเผ็ดแต่ไม่มีรสอื่นแบบที่ควรเป็นนะคะ รสอื่นเบาไปหน่อยค่ะ

จากนั้นทางพนักงานก็บริการเนยและขนมปังให้เลือกค่ะ มีด้วยกันสามตัว ตัวที่เปนซอฟท์บันกลมๆ นั่นนุ่มอร่อยถูกจริตที่สุดค่ะ แฮร่...

เมนูต่อไปค่ะ Volute of Butternut Pumpkin with seared Scallop and Crispy Parma Ham Bite

สำหรับรสชาติของตัวนี้เราชอบนะคะ รสเข้มข้นแต่นุ่มนวล มีความเค็มของเบคอนแซมอยู่บ้าง ส่วนหอยเชลล์เทกซเจอร์เด้งมาก เด้งจนแปลกใจอะค่ะ รสชาติดีค่ะ อร่อยแหละ

สองเมนูแรกนี่โอทั้งคู่เลยค่ะ แล้วดื่มกับสปาร์คลิ่งไวน์ตัวที่เสิร์ฟก็เข้ากันได้ดีด้วย โอเคเลย

จากนั้นก็เสิร์ฟเครื่องดื่มตัวที่สองค่ะ กับ The Classic One Lambrini Slightly Sparkling Perry

ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์ตัวคลาสสิคของเค้าเลยนะคะ แต่ตอนที่พนักงานบริการไวน์ตัวนี้ ได้ยินพิธีกรบอกว่าเป็นการผลิตเพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของ Lambrini

ตัวนี้รสชาติอ่อนเบากว่าตัวแรกค่ะ (ถ้าจะดื่มเรียงลำดับ (โดยไม่คำนึงถึงความแมทช์ของไวน์กับอาหารนะคะ) ตัวนี้ควรดื่มก่อนตัวแรกค่ะ เพราะพอมาดื่มทีหลัง เลยกลายเป็นตัวนี้อ่อนไป) ถ้าใครชอบแนวเบาๆ ดื่มง่ายๆ ตัวนี้น่าจะถูกจริตค่ะ แต่เรายังประทับใจตัวแรกมากกว่า เข้มข้นและมีเนื้อมีหนังสำหรับเรามากกว่าค่ะ (ทั้งที่ไวน์ตัวแรกก็แอลกอฮอล์สูงกว่าด้วยนะคะ แต่เรากลับชอบกว่าแฮะ)

ส่วนอาหารที่จับมาเข้าคู๋กับไวน์ตัวนี้ วันนั้นมีด้วยกันสองเมนูค่ะคือ Baked Bonito Fish fillet with Trio Mushrooms and Red Curry Sauce ส่วนอีกเมนูที่นำมาจับคู่คือ Baked Pineapple Rice with Chicken and Pork Floss ค่ะ ถ้าแปลเมนูเป็นไทยก็เสต็กปลาหิมะซอสแกง (ที่ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นแพนง) กับอีกเมนูก็คือข้าวผัดสับปะรดกับไก่และหมูหยองค่ะ

นอกจากนั้นก็ยังมีรสชาติและแบบอื่นๆ อีกนะคะ เราแอบไปส่องที่เว็บของอังกฤษมาหละ สนใจตัวโลว์แคลอรี่มากๆ น่าจะทำให้สาวๆ ดื่มได้อย่างสบายใจนะนี่ (ตอนนี้ของไทยยังเอาเข้ามาสามตัวที่รีวิวค่ะ ต่อไปในอนาคตน่าจะมีมากขึ้นนะคะ)

Baked Bonito Fish fillet with Trio Mushrooms and Red Curry Sauce

ตัวนี้เนื้อปลาทำมาดีมากเลยค่ะ สุกกำลังดี ยังคงความหวานของเนื้อปลาอยู่ มีกลิ่นหอม ซอสก็อร่อย (แต่ซอสเขียวหวานของเมนูแรกเด่นกว่านะคะ) แล้วถ้ากินพร้อมเห็ด จะช่วยเพิ่มกลิ่นด้วยค่ะ อร่อยค่ะ เป็นจานหลักที่ดีงามเลยทีเดียว

และอีกหนึ่งเมนูค่ะ ตอนแรกอ่านภาษาอังกฤษนึกว่าข้าวอบสับปะรด แต่พนักงานแจ้งว่าเป็นข้าวผัดสับปะรด ตัวนี้ผัดมาหอมไม่มันดีค่ะ มีกลิ่นบางอย่างที่แตกต่างจากข้าวผัดทั่วไป ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นอะไรนะคะ และมีรสหวานของหมูหยองแซมมาอ่อนๆ แต่รสชาติเราว่าเบาไปนิดสำหรับเราน่ะนะคะ

แต่อาหารทั้งสองตัวแพร์ริ่งกับไวน์แล้วโอทั้งคู่ค่ะ

กับไวน์ตัวสุดท้ายที่ได้ลองวันนั้นนะคะ กับ Lambrini Slightly Blush Aparkling Perry ค่ะ

ตัวนี้รสจะออกแนวฟรุตตี้นะคะ หอมกลิ่นผลไม้ที่สุดในบรรดาสามตัว รสชาติและกลิ่นน่าจะถูกใจสาวๆ กว่าตัวอื่นๆ ค่ะ พิธีกรบอกว่าตัวนี้เพิ่งนำมาขายในไทยไม่ถึงปีค่ะ

ตัวนี้แพร์ริ่งมากับ Durian Panna Cotta with Fruit Skewer

ถ้าแยกกันนะคะ ตัวพันนาคอตต้ากลิ่นทุเรียนชัดมาก อร่อยมากๆ (สำหรับคนโปรดทุเรียนอย่างเรา 555) ผลไม้ที่แนมมาด้วยก็สดอร่อยหมดเลยค่ะ

แต่พอกินคู่กับไวน์ มันตีกันค่ะ ทุเรียนกับฟรุตตี้ง่ะ เราเลยว่า...ไม่เหมาะจะเข้ากันเท่าไหร่ค่ะ กินแยกกันดีงามกว่าเยอะค่ะ แฮร่...

และนี่คือเชฟและทีมงานผู้รังสรรค์อาหารมื้อนั้นให้เราค่ะ

เชฟโคลิน เหลียง (Mr.Colin Liang) เอ็คเซคคูทีฟ เชฟชาวสิงคโปร์นะคะ ซึ่งเชฟเองก็เป็นสมาชิกสมาคมผู้ประกอบอาชีพเชฟมืออาชีพแห่งสิงคโปร์ หรือ The Society of Professional Chefs (Singapore) ด้วยค่ะ

เชฟเริ่มต้นอาชีพที่โรงแรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เมื่อปีพ.ศ.2528 และเคยได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในหมวดหมู่อาหารทะเลจานร้อน (Bronze award for the Hot Seafood Category) ในงาน Food & Hotel Asia ปีพ.ศ.2529 ด้วยค่ะ

มีคลิปตอนเชฟทำของหวานมาให้ดูหน่อยหนึ่งค่ะ (ตอนทำอย่างอื่นมัวแต่ถ่ายรูป ลืมถ่ายเป็นวีดิโอมาซะงั้น)

จากนั้นทางรร.ก็นำพาพวกเราไปที่บาร์ด้านบนกันค่ะ เพื่อจะไปชมวิวและดื่มเครื่องดื่มกันนะฮับ พวกเราก็ขึ้นลิฟท์ไป AKAAZA BAR และสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ที่ชั้น 26 กันค่ะ จะเป็นบาร์ทีอยู่ริมสระว่ายน้ำเลยนะคะ

วันนั้นมีเครื่องดื่มให้ลองกันสี่ตัวค่ะ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ทั้งหมดนะคะ

เรียงจากซ้ายไปขวาจะเป็นเมโลดี้ออฟดรีม อมาเรีย พิงค์ฟอร์เรสท์ และทูเก็ทเตอร์ฟอร์เอฟเวอร์ค่ะ เราได้ดื่มพิงค์ฟอร์เรสท์ โอเคนะคะ เปรี้ยวนำ หวานแซม แอลกอฮอลฺ์ไม่เด้งค่ะ

สรุปสำหรับที่นี่นะคะ

เราชอบทั้งอาหารและ Lambrini Sparkling Wine ทั้งสามตัวเลยค่ะ ดื่มง่าย รสชาติดี เหมาะไปใช้ในปาร์ตี้จริงๆ อ้ะ สายสาวๆ น่าจะชอบนะคะ อาหารนี่ชอบทั้งแอพพิไทเซอร์สามตัวแรก ซุป และเสต็กปลาหิมะ ส่วนของหวานถ้ากินแยกกับเครื่องดื่มก็อร่อยมาก (ทุเรียนเลิฟเวอร์อะน้าา) สรุปแล้วเป็นมื้อหนึ่งที่ประทับใจเลยหละค่ะ
13 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
5 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
2 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
10 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
16 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
9 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
6 วิว
1 ไลค์
0 คอมเมนต์
13 วิว
1 ไลค์
0 คอมเมนต์
5 วิว
1 ไลค์
0 คอมเมนต์
4 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
7 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
18 วิว
1 ไลค์
0 คอมเมนต์
4 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
7 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
4 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
13 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
6 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
7 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
7 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
10 วิว
1 ไลค์
0 คอมเมนต์
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
โพสต์
รายละเอียดคะแนนรีวิว
รสชาติ
การตกแต่ง
บริการ
ความสะอาด
ความคุ้มค่า
วิธีการกิน
รับประทานที่ร้าน