13
1
0
ระดับ4
2012-04-29 31 วิว
The Scarlett Wine Bar&Restaurant ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 37 โรงแรม Pullman Hotel G ถนนสีลม ใกล้แยกนราธิวาส-สีลม (หรือ โรงแรมโซฟิเทล เดิม) เป็นห้องอาหารสัญชาติฝรั่งเศสและอาหารฝรั่งเศสฟิวชั่นระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว โดยเชฟ ซิลแว็ง รัวเยร์ ชาวฝรั่งเศส ได้รับเชิญให้ไปรับประทานในงาน Exclusive Blogger ของทาง Openrice (ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ) โดยได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคุณเมลนีย์ (คุณเมย์) ฝ่ายการตลาดของโรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี ค่ะ ซึ่งคุณเมย์บอกว่าที่นี่นอกจากอาหารอร่อยแล้วยังมีไวน์ระดับแนวหน้าให้เลือกสรรดื่มถึง 130 ชนิด มีชีสสดใหม่มากถึง 63 ชนิด ห้องอาหารตกแต่งด้วยโทนสีแดงดำ โดยรอบมีกระจก
อ่านรีวิวฉบับเต็ม
The Scarlett Wine Bar&Restaurant ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 37 โรงแรม Pullman Hotel G ถนนสีลม ใกล้แยกนราธิวาส-สีลม (หรือ โรงแรมโซฟิเทล เดิม) เป็นห้องอาหารสัญชาติฝรั่งเศสและอาหารฝรั่งเศสฟิวชั่นระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว โดยเชฟ ซิลแว็ง รัวเยร์ ชาวฝรั่งเศส ได้รับเชิญให้ไปรับประทานในงาน Exclusive Blogger ของทาง Openrice (ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ) โดยได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคุณเมลนีย์ (คุณเมย์) ฝ่ายการตลาดของโรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี ค่ะ ซึ่งคุณเมย์บอกว่าที่นี่นอกจากอาหารอร่อยแล้วยังมีไวน์ระดับแนวหน้าให้เลือกสรรดื่มถึง 130 ชนิด มีชีสสดใหม่มากถึง 63 ชนิด ห้องอาหารตกแต่งด้วยโทนสีแดงดำ โดยรอบมีกระจกให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากค่ะ มีมุมโซฟาสวยๆ และมุมนั่งเคาน์เตอร์ติดขอบกระจกแบบ Open air ให้มองวิวสวยงามเพลินตา แล้วก็มาถึงช่วงทดลองชิมกันค่ะ ออกตัวไว้ก่อนแล้วว่าเป็นอาหารสัญชาติฝรั่งเศส ชื่อก็จะเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวๆหน่อยนะคะ โดยเมนูที่ได้ทานวันนี้เป็นเมนูสุดยอดที่เชฟคัดสรรมาแล้วว่าอร่อยระดับแนวหน้าซึ่งภูมิใจมานำเสนอจริงๆ มาเริ่มกันเลยค่ะ เมื่อนั่งโต๊ะเค้าก็จะเสิร์ฟขนมปังก่อนเลยค่ะ เมนูแรก Sardines en Boite (Spanish imported sardines, toast and salted butter) ราคา 410 บาท เป็นปลาซาร์ดีนกระป๋องธรรมดาๆ ที่เชฟบอกว่าชาวฝรั่งเศสและชาวยุโรปมักจะหยิบออกมาทานกับขนมปังเสมอๆ พยายามจะดูยี่ห้อว่าอะไรแต่ไม่มีป้ายหรือฉลากติดซักนิด วิธีทานก็ทาเนยที่โรยเกลือมาแล้วนั้นบนขนมปังกรอบ แล้วก็โปะปลาซาร์ดีนลงไปเอามีดสับๆเนื้อให้กัดเป็นคำง่ายๆค่ะ ปลารสชาติคล้ายปลาทูน่าในน้ำเกลือ ลองแล้วอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ธรรมดาแบบไม่ธรรมดา ถือเป็นของว่างที่มีสาระประโยชน์และอร่อยได้ทุกที่อย่างที่เชฟว่าไว้จริงๆค่ะ จานที่สอง ‘Oeuf poche’ Meurette (Egg poached in Pinot Noir) ราคา 360 บาท เป็นไข่ต้ม 1 ชั่วโมงที่รักษาอุณหภูมิไว้ประมาณ 60 องศาเซลเซียส มีมา 2 ฟอง แช่อยู่ในซอสไวน์แดงที่เคี่ยวไว้ 12 ชั่วโมง โอ้ววว ไม่บอกแล้วใครจะรู้ว่าทำมายากลำบากขนาดนี้ รสชาติซอสเข้มข้นทานกับไข่ยางมะตูมมันๆที่เคี่ยวไว้ 12 ชั่วโมง ชั่งเข้ากันดีแท้ มีเห็ด ผัก และแฮมในน้ำซอสด้วย ชอบค่ะเมนูนี้ เมนูที่สาม ‘Saint-Jacques d’Hokkaido’ (Grilled Scallops, truffle dressing) ราคา 550 บาท เป็นหอยเชลล์ตัวใหญ่จากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ย่างซอสคล้ายๆซอสเทอริยากิแต่ไม่หวาน ในจานมีมา 2 ตัว ใต้ฐานเป็นมันบด เวลาเสิร์ฟด้านบนจะแปะพอนเซตต้า(ลักษณะเหมือนเบคอนย่างกรอบหอมๆ) ไว้ด้านบน ทานคู่กับผักอีก 3 คำ เนื้อหอยเชลล์สดหวาน หนานุ่ม ตัวใหญ่เต็มคำ ชอบที่สุดเลยค่ะจานนี้ ทานคู่กับไวน์แดงและไวน์ขาวที่เสิร์ฟมา สุดยอดค่ะ อันนี้ขอเติมด้วยอ่ะ จานที่สี่ ‘Quenelle de brochet gratinee’ (River Pike fish dumpling, Chardonnay sauce) ราคา 760 บาท เป็นปลาไพค์ (ปลาน้ำจืดที่อยู่ในแหล่งน้ำอันเย็นเฉียบของอเมริกาตอนเหนือ ยุโรป และเอเชีย) โดยเชฟทำการขูดเนื้อปลาไพค์มาอย่างละเอียดแล้วทำเป็นเหมือนลูกชิ้นปลาลักษณะยาวกลม ราดด้วยซอส Chardonnay สีเหลือง จานนี้ถ้ารสหวานจะคิดว่าเป็นขนมเลยทีเดียว เพราะตัวลูกชิ้นปลานั้นนุ่มด้วยส่วนผสมของเนยและไข่ ส่วนซอสรสออกเค็มนิดๆ มีรสเนยมันๆกลมกล่อม ซอสด้านล่างสุดรสชาติเหมือนเห็ดปั่น โดยรวมจานนี้รสชาติออกจะแปลกนิดๆสำหรับลิ้นชาวไทยนะคะ เมนูที่ห้า ‘Cote d’agneau rotie au beurre pomme fondante’ (Roasted rack of lamb, butter braised potatoes) ราคา 990 บาท เนื้อแกะย่าง เป็นส่วนของสันใน 1 ชิ้น และส่วนหัวไหล่ 2 ชิ้น ความสุก medium rare ซึ่งทำให้ได้สัมผัสเนื้อแกะย่างส่วนสันในที่นุ่มละมุนมากแทบละลายในปาก ส่วนหัวไหล่เนื้อก็เป็นเส้นๆแปลกดี ซอสคล้ายๆซอสบาร์บีคิวรสชาติโอเคเลย แต่ถ้ารสเข้มกว่านี้อีกนิดจะดีมากจะได้กลบกลิ่นเนื้อแกะที่ทำให้รู้สึแปลกเล็กๆไปได้อ่ะค่ะ ซึ่งร้านนี้เนื้อแกะกลิ่นแทบไม่มีเลยนะคะ แต่บางคนก็อยากให้มีกลิ่นนิดๆเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อแกะเนอะ เสิรฟ์มาพร้อมกับแท่งมันฝรั่งที่เหมือนกับขูดเนื้อมา ทานคู่กันลงตัวดีและทานกับแครอทหัวเล็กที่น่าจะต้มแล้วไปย่างแปะมาด้านบนก็หวานนุ่มดีค่ะ น่าจะเป็นเมนูที่คนชอบทานเนื้อแกะต้องมาลองให้ได้นะคะ จานหลักจานที่หก เป็นจานสุดท้ายก่อนจะต่อด้วยของหวาน Combinason de ‘Filet et de joue boeuf’ (Pan seared beef tenderloin, 12 hours braise beef chee) ราคา 1,200 บาท เป็นเสต็กเนื้อวัวพันธุ์วากิวที่มีส่วนแก้ม 1 ชิ้น และ สันในอีก 1 ชิ้น ซึ่งแก้มวัววากิวนี้เชฟตุ๋นเป็นเวลาถึง 16 ชั่วโมง ซอสก็จะคล้ายๆซอสบาร์บีคิวซึ่งเข้มข้นกว่าและรู้สึกอร่อยกว่าสเต็กแกะจานก่อนหน้านี้ เนื้อสันใน medium rare อร่อยนุ่มลิ้นมากค่ะ ละลายในปาก ชิ้นนี้สุดยอดจริงๆ ส่วนแก้มวัวก็ชอบนะคะ ลักษณะเนื้อเป็นเส้นๆ อร่อยมากเช่นกัน วิธีทานให้หั่นเนื้อทั้งสองส่วนทานเป็นคำเดียวกันค่ะจะได้กลมกลืนในความแตกต่างลงตัว ที่ซอสก็มีผักและเห็ดด้วยนะคะ แต่จริงๆเวลาเสิร์ฟจานนี้น่าจะมีถ้วยสลัดผัก หรือผักย่างมาด้วยอีกซักหน่อยก็จะเจ๋งมากเลยค่ะ จบเมนูของคาวกันแล้วก็มาต่อที่ของหวาน เชฟแสดงฝีมือเต็มที่มีทั้งหด 5 เมนู เมนูแรกเป็น Rum Baba ราคา 250 บาท ลักษณะเป็นเหล้ารัมหอมหวาน และขมนิดๆ ดีกรีแอลกอลฮอล์คงสูงอยู่เพราะกินไป 2 คำ หน้าร้อนเลยค่ะ ในขวดโหลเป็นขนมปังชิ้นเล็กที่เนื้อหนาเมื่อแช่แล้วพองตัวเต็มขวดโหลในเหล้ารัมหวานเย็นที่ซึมเข้าเนื้อขนมปังได้ที่แล้วก็เสิร์ฟพร้อมวิปครีมเนื้อข้นแทบจะเหมือนไอศครีมอยู่ด้านบนซึ่งหอมหวานกลิ่นวนิลาค่ะ ทานแล้วหวานแต่ขมนิดๆ ไม่กล้าทานมากเดี๋ยวกลับบ้านไม่ถูกแน่(ไม่ค่อยถนัดแอลกอฮอล์แรงๆ) เมนูที่สอง Granny Smith Apple Tart ราคา 250 บาท เป็นทาร์ตแอปเปิ้ลที่แป้งตรงกลางนุ่มกำลังดี ตรงขอบก็กรอบดี มีเนื้อแอปเปิ้ลและซอสราดให้ความรู้สึกและกลิ่นของแอปเปิ้ลแท้ๆยังคงอยู่ รสชาติเปรี้ยวนำแล้วก็หวานกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อมไอศครีมวนิลารูปไข่ ชอบมากค่ะเมนูนี้ ขอเบิ้ล 2 ชิ้นเลย เมนูที่สาม Mille Feuille ‘Grands Augustins’ ราคา 250 บาท มิลเฟยลักษณะเหมือนแป้งพายกรอบที่ซ้อนสลับกับครีมวนิลาเป็นชั้นๆ ด้านบนโรยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง และมีซอสเหมือนนมผสมครีมชีสไว้ 1 ด้วย รสชาติซอสออกรสเนยนมหวานนิดๆ ราดลงไป ให้ความรู้สึกกรอบนอกนุ่มในครีมที่แทรกอยู่ละมุนละไมมากค่ะ จานนี้ก็ชอบค่ะ เชฟบอกว่าแป้งพายที่เห็นบางกรอบนี้ นำเข้าตู้เย็น แล้วมาอบ สลับกันแบบนี้อยู่หลายรอบในเวลา 8 ชั่วโมงกว่าจะได้แป้งพายที่ได้ที่แบบนี้ออกมา โอ้ววว แล้วใครจะรู้บ้างคะ รู้แต่ว่ามันอร่อยลงตัวภายในเวลา 3 นาที เมื่อตอนทานจานนี้ไป 3 คำใหญ่ๆ เมนูที่สี่ Grand Marnier ‘Souffle’’ ราคา 250 บาท เป็นเหมือน soft เค้กแต่มีครีมเนยและไข่ผสมอยู่ ซึ่งเนื้อซูเฟล่นุ่มชุ่มฉ่ำลิ้นมากๆ หอมมากค่ะ รสชาติก็ไม่หวานเกินไป ด้านบนเป็นเหมือนเกล็ดน้ำตาลที่แข็งตัวจากการอบ เมนูนี้ก็ชอบมากเช่นกันค่ะ และเมนูสุดท้าย Chocolate Fondant ราคา 280 บาท เป็น Soft เค้กช็อคโกแลตด้านในมีลาวา เสิร์ฟพร้อมไอศครีมวนิลารูปไข่ เค้กช็อกโกแลตอุ่นๆทานกับไอศกรีมช่างลงตัว แต่ลาวาออกหวานไปหน่อยนะคะ(ส่วนตัวชอบช็อคโกแลตขมนิดๆน่ะค่ะ) เวลามาทานมีเพิ่ม Service Charge 10% และ Vat อีก 7% ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเมนูที่สุดยอดจริงๆทั้งวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงและรสชาติดี ยิ่งได้รู้ว่ากระบวนการทำบางเมนูใช้เวลาและขั้นตอนการทำนานมากยิ่งทึ่ง ใครชอบอาหารฝรั่งเศสก็ไปทดลองกันได้ค่ะ เพราะถ้าทานแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าราคาเค้าไม่แพงค่ะ ยิ่งบรรยากาศร้านตกแต่งอย่างสวยงามมีมุมมองลงมาเห็นวิวสวยๆด้วยแล้วละก็รับรองไปแล้วจะติดใจ (เหมาะทุกโอกาสโดยเฉพาะสวีทกับคู่รักอันนี้ก็ความรู้สึกส่วนตัวนะคะ) อ่านรีวิวเพิ่มเติม -->>http://www.nanareview.com/content-TheScarlettWineBarRestaurant-4-2156-58555-1.html
19 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
27 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
18 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
18 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
24 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
37 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
48 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
33 วิว
0 ไลค์
0 คอมเมนต์
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
โพสต์
รายละเอียดคะแนนรีวิว
รสชาติ
การตกแต่ง
บริการ
ความสะอาด
ความคุ้มค่า
วันที่ไปกิน
2012-04-26
ราคาต่อคน
฿800
เมนูแนะนำ
  • ‘Saint-Jacques d’Hokkaido’
  • Combinason de ‘Filet et de joue boeuf’