1. ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำให้พอปั้นเป็นลูกได้ ถ้าเละไปให้เติมแป้ง แต่ถ้าแห้งไปให้เติมน้ำ ย้ำว่าค่อยๆเติมน้ำนะคะ ไม่งั้นต้องเติมไปเติมมา ไปได้ปั้นซักทีค่ะ
2. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตอนกินลุ้นดีค่ะ ระหว่างปั้นก็ต้มน้ำไว้ด้วยนะคะ
3. พอปั้นแป้งเสร็จ น้ำก็เดือด ใส่แป้งลงไปต้มเลยค่ะ ถ้าแป้งลอยขึ้นมาก็แปลว่าสุกแล้ว ช้อนขึ้นไปแช่ในน้ำเย็นก่อนนะคะ แป้งจะได้ไม่เละค่ะ (ครั้งแรกที่ทำช้อนเสร็จเอาไปต้มกับกะทิเลย ตอนนั้นกลายเป็นว่าแป้งเละ น้ำกะทิข้นคลั่กเลยค่ะ เราก็ตกใจยิ่งเย็นยิ่งข้น แต่คนจีนบอกว่าอร่อยมาก)
4. ต้มน้ำกะทิ ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลค่ะ (คนจีนไม่ชอบทานหวานค่ะตอนนั้นเลยไม่ใส่น้ำตาลเยอะ) ใส่ข้าวโพดลงไปต้ม พอเดือดปุดๆ ใส่แป้งบัวลอยตามลงไป คนแล้วต้มต่อสักพัก ปิดไฟ แล้วก็ตักเสิร์ฟได้ค่ะ
นำข้าวโพดหวานไปต้มไม่ได้ทำให้คุณค่าหายไป
การกินข้าวโพดหวานต้ม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งได้ การต้มทำให้ข้าวโพดหวาน
ปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่บางคนเรียกกันว่า แอนตี้ออกซิแดนท์มาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “กรดเฟอรูลิก”
(Ferulic acid ) ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ของเซลล์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
เป็นความจริงที่ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไปสู้กิน ดิบ ๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไปเขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานาน ดังนั้นข้าวโพดหวานยิ่งนำไปต้มยิ่งดีต่อร่างกายด้วย
อ้างอิง : www.umarin.com/board/index.php?topic=1133.0